คนหนุ่มสาว
ฟื้นตัว จาก ความด้านชาทางวิญญาณ
เรากำลังตกอยู่ในอันตรายทางวิญญาณเมื่อเราหยุดรู้สึกถึงพระวิญญาณ แต่ด้วยความช่วยเหลือของพระคริสต์เราสามารถเอาชนะความด้านชาทางวิญญาณนั้นได้
โรคเรื้อนเป็นโรคติดต่อที่เราอ่านพบในคัมภีร์ไบเบิล สาเหตุมาจากแบคทีเรียที่ทำให้เกิดรอยแผลรุนแรงบนผิวหนัง แต่อาการหลักของโรคนี้คืออาจทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อระบบประสาท และส่งผลให้สูญเสียความไวต่อการสัมผัส ความร้อน ความเจ็บปวด หรือความรู้สึกอื่นๆ ผู้ที่ติดเชื้อจะรู้สึกชา
แม้ว่าโรคเรื้อนจะไม่ร้ายแรงหรือเป็นเรื่องปกติเหมือนที่เคยเป็นมานานแล้ว แต่ทุกวันนี้ผู้คนก็สูญเสียความสามารถในการรู้สึก แต่แทนที่จะสูญเสียความสามารถทางร่างกายเรากลับเสี่ยงต่อความด้านชาทางวิญญาณ
เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ (1926–2004) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายว่าสถานะของความรุนแรงนี้อาจมาจากการเพิกเฉยต่อการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และไม่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า ท่านสอนว่า
“การที่เรารู้สึกว่าสามารถควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ในหลายๆ ด้าน แต่ไม่กระทำเมื่อความรู้สึกของเรากระตุ้นเราให้ทำดี เราทำให้ความสามารถที่จะรู้สึกเช่นนั้นหมดไป เพราะความละเอียดอ่อนที่พระเยซูทรงมีต่อความต้องการของคนรอบข้าง ทำให้พระองค์ทรงตอบสนองด้วยการกระทำได้
“ที่ปลายอีกด้านหนึ่งทางวิญญาณคือบุคคล เช่นพี่ชายที่ทำผิดของนีไฟ นีไฟสังเกตความรู้สึกที่ด้านชาของพวกเขาที่มีขึ้นเรื่อยๆ ต่อเรื่องทางวิญญาณ: ‘[พระผู้เป็นเจ้า] พูดกับพี่ด้วยเสียงสงบแผ่วเบา, แต่ใจพี่เกินกว่าจะรู้สึก, พี่จึงสัมผัสพระวจนะของพระองค์ไม่ได้’ [1 นีไฟ 17:45]”1
มีอันตรายอย่างมากเมื่อเราหยุดรู้สึกถึงพระวิญญาณ หรือแม้เมื่อเราไม่แน่ใจว่าพระวิญญาณตรัสกับเราอย่างไร โลกสามารถดึงความสนใจของเราหรือทำให้เราต้องอ่อนล้าลงในแต่ละวันได้อย่างง่ายดาย ซึ่งเป็นเหตุให้เรารู้สึกด้านชาไปกับเสียงสงบแผ่วเบาแต่ทรงพลังที่พร้อมจะนำทางเราทุกวัน ( ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–12)
แต่ถึงแม้เราจะรู้สึกว่าเราอาจมี “โรคเรื้อนทางวิญญาณ” บางครั้งก็สามารถรักษาได้
เราควรจำไว้เสมอว่าพระเยซูคริสต์คือผู้ที่รักษาคนโรคเรื้อนในระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ พระองค์เป็นผู้ที่สามารถรักษาความด้านชาทางวิญญาณของเราในวันนี้และช่วยให้เรารู้สึกถึงพระวิญญาณอีกครั้ง คำแนะนำบางอย่างต่อไปนี้จะช่วยท่านได้:
การรู้สึกถึงพระวิญญาณ
กุญแจสู่ความรู้สึกอีกครั้งมาจากความสามารถของเราในการรับฟังและจดจำเสียงกระซิบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังที่โมโรไนสอนว่า “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:5) เราสามารถขจัดความรู้สึกด้านชาและแสวงหาการเปิดเผยส่วนตัวและรู้สึกด้วยตนเองถึงความจริงของทุกเรื่อง
ระหว่างการเดินทางกลับไปหาความรู้สึกถึงพระวิญญาณ ถามตนเองด้วยคำถามเหล่านี้เพื่อเข้าใจความสัมพันธ์ของท่านกับการเปิดเผย:
-
ครั้งล่าสุดที่ฉัน ได้รับ การเปิดเผยส่วนตัวคือเมื่อใด?
-
ครั้งล่าสุดที่ฉัน ทูลขอ การเปิดเผยส่วนตัวคือเมื่อใด?
-
ครั้งสุดท้ายที่ฉันทูลขอให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงช่วยให้ฉัน รู้ถึง การเปิดเผยส่วนตัวในชีวิตคือเมื่อใด?
โดยรวมแล้วท่านกำลังแสวงหาการเปิดเผยที่แท้จริงจากพระเจ้าหรือไม่? เป็นเรื่องยากที่จะรู้สึกถึงผลอันน่ายินดีของพระวิญญาณเมื่อดูเหมือนว่าฟ้าสวรรค์ปิดลง (ดู กา- ลาเทีย 5:22–23) แต่การแสวงหาการเปิดเผยอย่างกระตือรือร้นในชีวิตประจำวันเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดฟ้าสวรรค์และอัญเชิญพระวิญญาณกลับเข้ามาในชีวิตท่าน
ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเปิดเผย
แต่ในที่นี้ประสบการณ์ทางวิญญาณและการเปิดเผยส่วนตัวอาจทำให้ท่านสับสนได้
เมื่อเราพูดเกี่ยวกับการเปิดเผยส่วนตัว ความคิดของเรามักจะนึกไปถึงการเห็นนิมิต การมาเยือนของทูตสวรรค์ หรือเสียงดังกึกก้อง และเมื่อเราไม่ประสบกับสิ่งเหล่านี้ เราอาจรู้สึกสิ้นหวังที่จะรับการนำทางจากพระวิญญาณ เราอาจรู้สึกว่าเรามีบางอย่างผิดปกติ ซึ่งจะทำให้เราเลิกแสวงหาพระวิญญาณไปด้วย
แต่เราจำเป็นต้องตระหนักว่าความรู้สึกถึงพระวิญญาณไม่ได้เกี่ยวข้องกับช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่แบบโลกสั่นสะเทือน ทั้งไม่ได้เป็นเรื่องที่พระเจ้าตรัสกับเราโดยเฉพาะเกี่ยวกับการตัดสินใจครั้งสำคัญในชีวิตเรา หลุมพรางอีกอย่างหนึ่งที่เราตกลงไปคือเรามักจะหันไปหาพระเจ้าเพื่อขอความช่วยเหลือเฉพาะการตัดสินใจครั้งใหญ่ เช่น การศึกษา อาชีพ การแต่งงานและครอบครัว แต่เราละเลยที่จะหันไปหาพระองค์ในทุกความคิด (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 6:36) แต่พระบิดาบนสวรรค์ก็ตรัสกับเราบ่อยๆ พระองค์ตรัสกับเราในแบบที่เรารับรู้ว่าดีที่สุดสำหรับแต่ละบุคคล พระองค์ทรงชี้นำเราได้ทุกวันแม้ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของชีวิตเรา
การเตรียมตัวรับการเปิดเผย
ในการได้ยินเสียงสวรรค์ เราต้องเปิดหูรับฟังสิ่งที่มาจากสวรรค์ก่อน ต่อไปนี้เป็นวิธีการบางอย่างที่เราสามารถเปิดหูของเราและพร้อมจะรับฟังพระเจ้า
เชื่อ ในการเอาชนะโรคเรื้อนทางวิญญาณ เราอาจจำเป็นต้องเปลี่ยนทัศนคติของเราและเชื่ออย่างแท้จริงในพระบิดาบนสวรรค์และมีศรัทธาว่าพระองค์ จะ ประทานการเปิดเผยแก่เรา อันที่จริง เราควรคาดหวังให้พระองค์ทำเช่นนั้น เราสามารถทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยให้เรารู้ว่าพระองค์ตรัสกับเราอย่างไร เราควรคาดหวังว่าจะมีประสบการณ์ทางวิญญาณบ่อยๆ เมื่อเราพยายามติดตามพระผู้ช่วยให้รอดและรักษาบัญญัติของพระองค์
ทุ่มเทความพยายามทุกวัน เรายังสามารถรู้สึกไวต่อพระวิญญาณผ่านการสวดอ้อนวอนด้วยความจริงใจ การศึกษาพระคัมภีร์ การรับส่วนศีลระลึก การเข้าพระวิหาร การมีส่วนร่วมในงานประวัติครอบครัว การฟังเพลงทางวิญญาณ การปฏิบัติศาสนกิจหรือสิ่งอื่นใดก็ตามที่ท่านรู้สึกใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า ยิ่งเราเข้าใกล้พระองค์มากเท่าใด เราก็ยิ่งเปิดใจเรารับการรักษาโรคเรื้อนทางวิญญาณและรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง
เชื่อฟัง อีกแง่มุมที่สำคัญอย่างหนึ่งของการอัญเชิญพระวิญญาณกลับเข้ามาในชีวิตท่าน คือความเต็มใจทำตามสิ่งที่พระวิญญาณบอกท่าน ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดสอนว่า
“เมื่อท่านแสดงให้เห็นว่าท่านเต็มใจเชื่อฟัง พระวิญญาณจะทรงส่งการกระตุ้นเตือนมาให้มากขึ้นเพื่อทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านทำเพื่อพระองค์
“เมื่อท่านเชื่อฟัง การกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณจะมาบ่อยขึ้น เข้าใกล้มากยิ่งขึ้นต่อการมีพระวิญญาณอยู่ด้วยตลอดเวลา พลังความสามารถในการเลือกสิ่งที่ถูกต้องจะเพิ่มขึ้น”2
ความเต็มใจที่จะทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอาจเป็นเรื่องยากในบางครั้ง แต่เรามักจะได้รับพรพร้อมกับความสามารถทางวิญญาณที่เพิ่มขึ้นเมื่อเราทำเช่นนั้น แม้แต่การเชื่อฟังด้วยวิธีเล็กๆ น้อยๆ ตั้งแต่การเลือกจ่ายส่วนสิบของเรา การรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ หรือแม้แต่การทำตามการกระตุ้นเตือนให้รับใช้ผู้อื่นก็สามารถช่วยให้เรามีที่สำหรับพระวิญญาณในชีวิตเรา
ความรู้สึกถึงพระวิญญาณคือของประทาน
เราควรจำคำสัญญาที่อยู่ในพันธสัญญาบัพติศมากับพระเจ้า สำหรับพวกเราที่ได้รับของประทานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับสัญญาว่าเราจะมีพระวิญญาณอยู่กับเราทุกวัน เพราะเราพยายามรักษาพันธสัญญาของเรา (ดูหลักคำสอนและพันธ-สัญญา 20:77, 79)
พระบิดาบนสวรรค์ทรงมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เรา และทรงต้องการให้เรารับของประทานนั้นในความสมบูรณ์ ความเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ รู้สึกสบายใจเมื่อมีความท้าทาย เติบโตทางวิญญาณ รู้สึกสงบและปีติ และรู้จักวิธีรับใช้ผู้อื่น ช่างเป็นของประทานอย่างแท้จริง
การรักษาความด้านชาทางวิญญาณขึ้นอยู่กับศรัทธาและความเต็มใจของเราที่จะพยายามเอื้อมออกไป แม้เมื่อเราไม่รู้สึกอะไรเลย ขณะที่เราพยายามอัญเชิญพระวิญญาณเข้ามาในชีวิต เราจะรับความประทับใจทีละเล็กทีละน้อยเมื่อเราฟังและปฏิบัติตาม การดำเนินชีวิตสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าช่วยให้เราพัฒนาความรู้สึกไวต่อพระวิญญาณและค่อยๆ เยียวยาเราจากความรู้สึกด้านชา ถ้าเราเอื้อมออกไปหาพระผู้ช่วยให้รอดแม้ในยามที่เราไม่รู้สึกอะไรเลย พระองค์จะทรงช่วยให้เรารู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ที่นั่น (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:63)