2021
ช่วยให้ผู้อื่นได้รับการเยียวยาจากพระเจ้า
มิถุนายน 2021


ช่วยให้ผู้อื่นได้รับการเยียวยาจากพระเจ้า

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา

เราฝึกศิลปะของผู้เยียวยาเมื่อเราช่วยนำพรแห่งการเยียวยาของพระเจ้าไปให้ผู้กำลังประสบความเจ็บป่วยทางร่างกาย จิตใจ และวิญญาณ

ภาพ
painting of woman with hands up

การปลดปล่อย โดย เจเนดี เพจ ไม่อนุญาตให้ทำสำเนา

วันอาทิตย์วันหนึ่งดิฉันอ่านพระคัมภีร์ “ตามจริงแล้ว, ตามจริงแล้ว, เรากล่าวแก่เจ้า, นี่คือกิตติคุณของเรา; และเจ้ารู้สิ่งที่เจ้าจะต้องทำในศาสนจักรของเรา; เพราะงานที่เจ้าเห็นเราทำมาแล้วเจ้าจงทำด้วย” (3 นีไฟ 27:21; เน้นตัวเอน)

ดิฉันคิดในใจว่า “งานของพระคริสต์บนแผ่นดินโลกมีอะไรบ้าง” หลักๆ แล้วดิฉันคิดว่ามีสองอย่างคือ การรับใช้และการเยียวยา การรับใช้ดิฉันทำได้ แต่การเยียวยาเล่า ดิฉันไม่สามารถเยียวยาผู้อื่นได้แน่นอน—หรือดิฉันทำได้

เมื่อเร็วๆ นี้ดิฉันอยู่ระหว่างพักฟื้นจากการผ่าตัดที่ตามมาด้วยอาการแพ้รุนแรง ดิฉันนึกถึงคนที่เคยช่วยดิฉันในขั้นตอนการเยียวยาทันที และรายชื่อของพวกเขายาวเหยียด ถ้าพวกเขาช่วยดิฉันเยียวยาได้ ดิฉันจะเยียวยาคนอื่นแบบเดียวกันไม่ได้หรือ

เราแต่ละคนสามารถเรียนรู้ศิลปะของผู้เยียวยา1 เราแวดล้อมไปด้วยคนที่ประสบความเจ็บป่วยทางร่างกาย จิตใจ และวิญญาณผู้จะได้รับพรจากความช่วยเหลือของเรา

เยี่ยมคนเจ็บป่วย

โมไซยาห์ 4:26 กล่าวว่า “ข้าพเจ้าอยากให้ท่านมอบทรัพย์สินของท่านแก่คนจน, ทุกคนตามทรัพย์สินที่ตนมี, เป็นต้นว่าเลี้ยงอาหารคนหิวโหย, ให้เสื้อผ้าคนเปลือยเปล่า, เยี่ยมคนเจ็บป่วยและให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาทุกข์คนเหล่านั้น, ทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายโลก, ตามความต้องการของพวกเขา”

ความเจ็บป่วย—ไม่ว่าทางร่างกาย จิตใจ หรือวิญญาณ—ทำให้รู้สึกโดดเดี่ยวมาก ผู้คนใช้เวลาอยู่คนเดียวหลายชั่วโมงในห้องนอนหรือห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลขณะพยายามฟื้นฟูตนเอง และนั่นทำให้วิญญาณพวกเขาหดหู่ได้ง่าย เมื่อความมืดย่างกรายเข้ามา การมาเยือนของเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวที่ห่วงใยจะนำความสว่างเข้ามาในชีวิตพวกเขา

วิธี ที่เราเยี่ยมคนเจ็บป่วยสำคัญเช่นกัน สตรีหลายท่านตอบคำถามของดิฉันที่ว่าคนอื่นเคยช่วยให้พวกเขาผ่านขั้นตอนการเยียวยาอย่างไร จูดีจากรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกาบอกว่า “การฟัง … ช่วยได้มากในยามทุกข์ ฟังและ ไม่ ตัดสิน” การฟังอย่างอดทน จริงใจ และด้วยความรักเป็นแรงหนุนที่มีค่าต่อคนที่กำลังพยายามเยียวยา

ลินดาจากรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกาบอกว่าการเยี่ยมของเพื่อนช่วยเธออย่างไร “ดิฉันจำคนพิเศษเหล่านั้นในชีวิตได้—โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ฟังจริงๆ และถ่ายทอดคำแนะนำที่ไพเราะของพระวิญญาณ หลังจากเป็นม่ายเมื่ออายุ 30 ปีและอยู่กับลูกอายุยังน้อยห้าคน ดิฉันรู้สึกถึงความรักของพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดลึกซึ้งขึ้นเพราะคาเร็นเพื่อนที่ดีของดิฉัน เธอรับรู้เสมอและมี ‘หูที่คอยฟัง’ ตลอดเวลา ดิฉันไม่เคยรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะเธอเตือนดิฉันเสมอให้นึกถึงความผูกพันอันสวยงามที่ดิฉันมีในฐานะธิดาของพระผู้เป็นเจ้า”

บราเดอร์และซิสเตอร์ผู้ปฏิบัติศาสนกิจสามารถแสดงศิลปะของผู้เยียวยานี้ได้ การรับรู้ความต้องการของผู้กำลังประสบความทุกข์เป็นเรื่องสำคัญ บางครั้งควรเยี่ยมไม่นานเพราะพวกเขาเหนื่อยมาก บางคราวพวกเขาเหงาและเบื่อ พวกเขาอาจต้องการให้เยี่ยมนานขึ้น การรับรู้บุคลิกภาพของพวกเขาเป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน บางคนต้องการความเป็นส่วนตัวและอยู่เงียบๆ ขณะที่คนอื่นต้องการปฏิสัมพันธ์และการสนับสนุนอย่างมาก เราควรพิจารณาความต้องการของพวกเขาก่อนแล้วจึงยื่นมือช่วยเหลือตามนั้น

แบกภาระของกันและกัน

แอลมาพูดถึงข้อผูกมัดของเราในการทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดไว้น่าฟังที่สุดเมื่อเขาถามผู้เชื่อในพระคัมภีร์มอรมอนว่าพวกเขาเต็มใจ “เข้ามาสู่คอกของพระผู้เป็นเจ้า, และเรียกว่าเป็นผู้คนของพระองค์, และเต็มใจจะแบกภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา” หรือไม่ (โมไซยาห์ 18:8)

เราแต่ละคนแบกภาระหลายแบบ ภาระเหล่านี้จัดการได้ยากที่สุดเมื่อเราป่วยหรือกำลังต่อสู้กับความเจ็บป่วยทางจิตหรือความยุ่งยากทางวิญญาณ หนึ่งในศิลปะของผู้เยียวยาคือช่วยแบกภาระของผู้อื่นเมื่อพวกเขากำลังประสบความทุกข์

แชนนอนจากรัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกาแบ่งปันว่าเพื่อนบ้านช่วยเธออย่างไร “วันที่เราฝังลูกชายตัวน้อยของเรา เรากลับจากสุสานมาพบว่าเพื่อนบ้านรวมตัวกันจัดสวนให้เราใหม่ในช่วงที่เราอยู่งานศพ พวกเขาปลูกไม้พุ่ม ไม้ใหญ่ และดอกไม้สวยๆ ให้เรา และปลูกหญ้าให้ใหม่ ช่วงที่เราโศกเศร้าสุดพรรณนา การแสดงความรักและความสนับสนุนของพวกเขาเริ่มขั้นตอนเยียวยาให้เรา เตือนสติเราว่าความรักและชีวิตดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ทุกปีที่สวนสวยของเรากลับมามีชีวิตอีกครั้ง [นั่น] เป็นประสบการณ์เชิงสัญลักษณ์และศักดิ์สิทธิ์อย่างแท้จริงที่เราจะไม่มีวันลืม”

เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าดิฉันเป็นมะเร็งเต้านม ดิฉันกำลังรับใช้เป็นประธานสมาคมสงเคราะห์และลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมของสภาเทศบาล สามีดิฉันตกงาน และเราประสบการทดลองแสนสาหัสอีกมากมายในช่วงนั้น ที่ปรึกษาของดิฉันตั้งใจ “แบกภาระของกันและกัน” และช่วยแจกจ่ายภาระที่ดิฉันแบกอยู่ อธิการรับทำความรับผิดชอบบางอย่างของดิฉัน สามีดิฉันรับหน้าที่หลายอย่างที่บ้านและทำอาหาร ดิฉันรู้สึกถึงความมีน้ำใจของพวกเขาอย่างยิ่งที่เห็นว่าพวกเขาไม่ได้เอาภาระของดิฉันไปแต่ใช้ศิลปะของผู้เยียวยาช่วยแบ่งเบา

ปลอบโยน

แอลมาสอนเช่นกันว่าผู้ติดตามพระคริสต์ “เต็มใจที่จะโศกเศร้ากับคนที่โศกเศร้า; แท้จริงแล้ว, และปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน” (โมไซยาห์ 18:9)

การปลอบโยนหมายรวมถึงความเอาใจใส่ ความกรุณา ความอาทร ความห่วงใย ความรัก และจิตกุศล คือการโอบผู้เจ็บป่วยหรือคนมีทุกข์ไว้ในอ้อมแขนแห่งความรักเพื่อช่วยพวกเขาเผชิญความทุกข์ของตน

ลูแอน (นามสมมติ) ประสบปัญหาทางวิญญาณและทางศีลธรรม เธอครุ่นคิดถึงประสบการณ์ของเธอกับคนที่ปลอบโยนเธอ “พวกเขามองข้ามตัวตนปัจจุบันของดิฉันและเห็นศักยภาพที่หวังว่าจะดีของดิฉัน ศักยภาพที่จะเป็นคนดียิ่งขึ้น ฉลาดขึ้น และอ่อนโยนมากขึ้น ดิฉันหวนนึกถึงอดีตของตนเองและบางครั้งรู้สึกไม่สบายใจกับความละอายใจค่อนข้างมากเพราะความเขลาของดิฉัน—ความอับอายค่อนข้างมากเพราะการล่วงละเมิดและความบาปหนาของตนเอง แต่ความเจ็บแปลบของความละอายใจและความอับอายมักจะตามมาด้วยพิมเสนที่ใช้เยียวยา นั่นก็คือพระคุณ ความเมตตา การให้อภัย และความรัก เมื่อดิฉันเห็นคนรอบข้างโปรยปรายสิ่งเหล่านั้นให้ดิฉัน ความเจ็บแปลบก็หายไป ดิฉันเห็นพวกเขากำลังช่วยดิฉันเยียวยา ถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้นคือพวกเขากำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยรอบตัวดิฉัน—รังไหมของพระคุณ—เพื่อให้พระผู้ช่วยให้รอดพระผู้เชี่ยวชาญการเยียวยาทรงทำงานกับดิฉันได้ ทรงเปลี่ยนแปลงดิฉัน ทรงเปลี่ยนใจดิฉัน”

ภาพ
painting of Christ with children

ส่วนหนึ่งจากภาพ พิมเสนแห่งกิเลอาด, โดย แอนนี เฮนรี เนเดอร์

ส่วนสำคัญของการปลอบโยนคนเจ็บป่วยคือการให้พวกเขาหันไปหาพระผู้เชี่ยวชาญการเยียวยา ซาบรินาจากรัฐยูทาห์กล่าวว่า “ไม่มีการเยียวยาใดดีไปกว่าการเยียวยาของคนที่ช่วยให้ท่านค้นหาหรือกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า นั่นอาจจะเป็นเครื่องเตือนใจให้ท่านนึกถึงสิ่งที่ท่านรู้แล้ว—ว่าท่านกำลังพยายามมากเกินจำเป็น ทำทุกอย่างด้วยตนเอง และไม่พึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าเลย”

การปลอบโยนคนเจ็บป่วยและช่วยให้พวกเขาคิดบวกต้องอาศัยความรู้สึกไวต่อพระวิญญาณ มีอยู่ช่วงหนึ่งในชีวิตที่ดิฉันนอนไม่เต็มอิ่มนานหลายเดือน มักจะนอนหลับๆ ตื่นๆ คืนละสองถึงสามชั่วโมง ดิฉันรู้สึกวิตกกังวลมากและเหนื่อยล้า ดิฉันไปพบแพทย์หลายคนแต่ไม่เกิดประโยชน์อันใด ในที่สุด เพื่อนคนหนึ่งบอกดิฉันให้ไปพบแพทย์วิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้วินิจฉัยอาการของดิฉันได้ถูกต้องทันที แต่สิ่งที่เขาพูดต่อจากนั้นทำให้ดิฉันประหลาดใจ “เมอร์ริลี สิ่งสำคัญที่สุดที่คุณต้องทำคือให้พระผู้เป็นเจ้าช่วยคลายความวิตกกังวลของคุณ” จากนั้นเขากระตุ้นให้ดิฉันตรึกตรอง “พระคริสต์ผู้ทรงชนม์: ประจักษ์พยานของอัครสาวก” เป็นเวลาสั้นๆ ทุกวัน

ดิฉันพยายามตรึกตรองสองสามครั้งแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ แต่ดิฉันต้องการการเยียวยาอย่างยิ่ง วันรุ่งขึ้น ดิฉันตรึกตรองถ้อยคำอันทรงพลังนี้อย่างเงียบๆ “เรามอบประจักษ์พยานของเราถึงความจริงในพระชนม์ชีพอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์และพระบารมีอันหาที่สุดมิได้ของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันยิ่งใหญ่ของพระองค์”2 ดิฉันรู้สึกตื่นเต้นขณะเริ่มไตร่ตรองประจักษ์พยานของพระผู้เยียวยาที่ยิ่งใหญ่และรู้ว่าดิฉันพบการปลอบโยนและสันติสุขในจิตวิญญาณของตนแล้ว

ใส่ใจ

ขณะศึกษาพระคัมภีร์เพื่อเลียนแบบพระเยซูในงานการเยียวยาของพระองค์ เราอ่านพบว่าพระเยซูทรงทำสิ่งหนึ่งซ้ำแล้วซ้ำเล่า นั่นคือ พระองค์ทรงใส่พระทัยคนรอบข้าง

พระคริสต์ทรงสังเกตผู้คน พระองค์ตรัสกับหญิงชาวสะมาเรียแม้จะมีข้อห้ามทางวัฒนธรรม พระองค์ทรงใช้เวลาให้พรเด็ก พระองค์เสวยกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป ทรงปฏิบัติศาสนกิจต่อคนโรคเรื้อนและคนที่สังคมไม่ยอมรับ พระองค์ใส่พระทัยแต่ละคน

ในฐานะผู้ติดตามพระคริสต์ที่หมายมั่นเรียนรู้ศิลปะของผู้เยียวยาจากพระองค์ เราสามารถเริ่มมองคนด้วยพระเนตรของพระคริสต์ เราสามารถใช้เวลากล่าวทักทาย ยิ้ม ถามสารทุกข์สุกดิบของพวกเขา เราอาจไม่รู้ว่าความพยายามของเราอาจเป็นพิมเสนที่ใช้รักษาคนรอบข้างเราผู้โดดเดี่ยว หดหู่ เจ็บป่วย อ่อนแอ หรือประสบความทุกข์ แม้แต่การแสดงความรักแบบเรียบง่ายก็สามารถมีอิทธิพลอันทรงพลังได้

เมื่อเราทำงานของพระคริสต์และมีส่วนร่วมในการเยียวยาผู้อื่น พรมากมายจะหลั่งไหลมา ดังที่พระคริสต์ตรัส “ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย” (มัทธิว 25:40) แด่พระองค์ผู้ทรงเยียวยาเราแต่ละคน แด่พระองค์ผู้ทรงโอบเราไว้ในพระพาหุแห่งความรักของพระองค์บ่อยเกินกว่าเราจะรู้ แด่พระองค์ผู้ทรงมอบพิมเสนแห่งการชดใช้ของพระองค์ให้รักษาเรา เราสามารถมอบความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ของเราให้ช่วยเยียวยาพี่น้องชายหญิงของเรา นี่คือศิลปะของผู้เยียวยาอย่างแท้จริง

อ้างอิง

  1. ดู “พระเจ้าขอข้าตามพระองค์” เพลงสวด บทเพลงที่ 106.

  2. “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์: ประจักษ์พยานของอัครสาวก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2017, ปกหน้าด้านใน.

พิมพ์