ดิจิทัลเท่านั้น
นำพระกิตติคุณมาบัลแกเรีย
เราเรียนรู้เกี่ยวกับพลังของงานเผยแผ่ศาสนาได้มากจากเหตุการณ์เหล่านี้ในประวัติศาสนจักร
วันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 1899 มิสชา มาร์โคว์ผู้สอนศาสนาชาวเซอร์เบียที่สั่งสอนทั่วยุโรปให้บัพติศมาอาร์เจอร์ ดิมิทรอฟผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวบัลแกเรียคนแรกใกล้เมืองคอนสตันซา โรมาเนีย1
ในโรมาเนีย มาร์โคว์กับดิมิทรอฟสั่งสอนในสี่ภาษาและให้บัพติศมาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสหลายคนก่อนถูกเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเนรเทศ2 ในเดือนมิถุนายนปี 1900 มาร์โคว์กับไมเคิล ดิมิทรอฟผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสชาวบัลแกเรียคนหนึ่งในบูคาเรสต์สั่งสอนในเมืองรูเซและโซเฟียในบัลแกเรีย3 หลังจากสั่งสอนในโซเฟียหลายสัปดาห์ มาร์โคว์ถูกจับ ถูกไต่สวน และถูกเนรเทศก่อนให้บัพติศมาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส4
ไม่มีการสั่งสอนพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูในบัลแกเรียอีกเลยเป็นเวลา 90 ปี เมื่อสิ้นสุดยุคคอมมิวนิสต์ เอ็ลเดอร์รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองในขณะนั้นเดินทางไปเมืองโซเฟียกับผู้นำศาสนจักรท่านอื่นๆ ในเดือนกุมภาพันธ์ปี 1990 ระหว่างเข้าพบเจ้าหน้าที่รัฐบาล เอ็ลเดอร์เนลสันถามว่าศาสนจักรจะทำอะไรเพื่อบัลแกเรียได้บ้างและเจ้าหน้าที่ขอให้ส่งครูสอนภาษาอังกฤษมา
ฤดูใบไม้ร่วงปีนั้น ผู้สอนศาสนาหกคน เกือบทุกคนมีประสบการณ์ด้านการสอนอย่างเป็นทางการ เริ่มสอนชั้นเรียนภาษาอังกฤษในเมืองโซเฟีย พราเวสต์ และสโมลยัน ในโซเฟีย เอ็ลเดอร์มอร์ริสและซิสเตอร์แอนเนตตา โมเวอร์พบสมาชิกหลายคนของศาสนจักร—รับบัพติศมาจากที่อื่นในยุโรป–อยู่ในเขตนั้นแล้ว วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ. 1990 สามีภรรยาโมเวอร์เริ่มจัดการประชุมศาสนจักรทุกสัปดาห์ในอะพาร์ตเมนต์ของพวกเขา ภายในหนึ่งเดือนมี 50 กว่าคนแออัดเต็มอะพาร์ตเมนต์เล็กๆ นั้นเพื่อร่วมการประชุมประจำสัปดาห์5 เมื่อผู้สอนศาสนาด้านการเผยแผ่กลุ่มแรกมาถึงในเดือนพฤศจิกายน มีหกคนรอรับบัพติศมา6 ขณะที่ความสนใจศาสนจักรเพิ่มขึ้น ความจำเป็นที่ต้องมีคณะเผยแผ่ในบัลแกเรียจึงชัดเจนทันที
เช้าวันหนึ่งในเดือนเมษายนปี 1991 คิริลกับเนเวนคา คิริอาคอฟอยู่ที่บ้านของพวกเขาในเวอร์จิเนียเมื่อโทรศัพท์ดัง เนเวนคาจำเสียงคุ้นหูได้ทันที “ขอคุยกับบราเดอร์คิริอาคอฟได้ไหมครับ?” เอ็ลเดอร์โธมัส เอส. มอนสันในขณะนั้นถาม7
“ได้ค่ะ” เธอตอบ แต่ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ให้คิริล เอ็ลเดอร์มอนสันพูดต่อว่า “คุณจะรู้สึกอย่างไรถ้าสามีคุณได้รับการเรียกให้เป็นประธานคณะเผยแผ่คนแรกในบัลแกเรีย?”8
คิริลกับเนเวนคาหนีจากบัลแกเรียในปี 1963 พร้อมกับจูเลียและปีเตอร์ลูกๆ ของพวกเขา และเข้าร่วมศาสนจักรในฝรั่งเศสก่อนมาตั้งรกรากในสหรัฐ ถึงแม้ผู้ทรงอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์ขู่จะฆ่าคิริลและจำคุกครอบครัวเขาตลอดชีวิตถ้าพวกเขากลับไป แต่คิริลได้รับสัญญาในพรว่าเขาจะสั่งสอนพระกิตติคุณในบัลแกเรีย เมื่อรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแทน พวกเขารู้สึกปลอดภัยที่จะกลับไป ทั้งที่กังวลเรื่องสุขภาพของคิริลมาก แต่เขากับเนเวนคากล้ายอมรับการเรียกให้รับใช้9 “ดิฉันอยากเจอญาติพี่น้องและเพื่อนๆ ทุกคน” เนเวนคากล่าว “และแบ่งปันพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ให้กับพวกเขา”10
ขณะที่คิริลกับเนเวนคาเตรียมกลับไปบ้านเกิด ผู้สอนศาสนากลุ่มแรกที่จะรับใช้ภายใต้การนำของพวกเขามาถึงศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนาในโพรโว ยูทาห์ สหรัฐอเมริกา ครูสอนภาษาที่ทักทายพวกเขาในวันแรกคือจูเลีย คิริอาคอฟ แคสเวลล์บุตรสาวของคิริลกับเนเวนคา11
ในเดือนกรกฎาคมปี 1991 คณะเผยแผ่บัลแกเรีย โซเฟียเปิดอย่างเป็นทางการ โดยผ่านศรัทธา ความไม่ย่อท้อ และความพยายามของสมาชิกในท้องที่และผู้สอนศาสนา ไม่นานศาสนจักรก็ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ12 ก่อนสิ้นปี 1991 วิสุทธิชนชาวบัลแกเรียกว่า 150 คนรับบัพติศมา13
พระเจ้าทรงเริ่มเตรียมการมาหลายทศวรรษก่อนโอกาสสั่งสอนพระกิตติคุณในบัลแกเรียจะกลายเป็นความจริง แม้ไม่มีศาสนจักรในประเทศเป็นเวลานานและมีความยุ่งยากในช่วงแรก แต่ศรัทธาและความเพียรพยายามของคนที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ได้เปิดประตูให้อีกหลายคนรับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู
พระเจ้าทรงเตรียมใครให้ท่านแบ่งปันพระกิตติคุณกับพวกเขา? พระองค์ทรงเตรียมทางให้ท่านอย่างไร? จงรู้ว่าปาฏิหาริย์รอท่านอยู่ขณะท่านหาโอกาสประกาศพระกิตติคุณ “ตามส่วนนั้นของพระวิญญาณและอำนาจซึ่งจะให้ [ท่าน]” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 71:1)