มองหาแสงสว่างเมื่อความมืดปกคลุมท่าน
ดิฉันหวาดกลัวและไม่รู้จะไปต่อได้อย่างไร แต่พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าดิฉันจำเป็นต้องมีสิ่งใด
สองสามปีก่อน ดิฉันกับเพื่อนๆ ไปเที่ยวไอร์แลนด์ ขณะเราอยู่ที่นั่น ดิฉันเป็นคนขับรถให้คณะของเรา ช่วงแรก ดิฉันคิดว่าการขับรถบนฝั่งตรงข้ามของถนนในต่างประเทศนั้นคงจะน่ากังวล จึงรู้สึกแปลกใจที่การขับรถกลับเป็นไปตามธรรมชาติสำหรับดิฉัน ระหว่างเดินทางไม่มีสักครั้งที่ดิฉันรู้สึกกลัวขณะขับรถบนถนนที่ทั้งแคบ ขรุขระ และคดเคี้ยว
เป็นอย่างนั้น จนถึงวันที่เราตั้งใจว่าจะกลับบ้าน
เที่ยวบินกลับบ้านของเราออกเดินทางเช้ามาก ดังนั้นดิฉันและเพื่อนๆ อีกหกคนต้องอัดกันเข้าไปในรถทั้งที่ยังงัวเงียตั้งแต่ตีสี่ (04:00 น.) ระหว่างขับรถเกือบหนึ่งชั่วโมง ดิฉันตื่นอยู่คนเดียว เวลานั้นทั้งเงียบ ทั้งฝน และมืดสนิท ขณะขับรถดิฉันรู้สึกกลัวจนแทบจะทนไม่ได้ มองอะไรบนถนนเบื้องหน้าก็ไม่ค่อยเห็น ดิฉันตระหนักดีว่ามีชีวิตอันล้ำค่าหกชีวิตอยู่ในมือ ดิฉันอยากจอดรอข้างทางจนอากาศดีกว่านี้ แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะเราจะพลาดเที่ยวบิน
พบแสงสว่าง
ความกลัวทวีหนักขึ้น ดิฉันทำสิ่งที่นึกออกเพียงอย่างเดียวขณะนั้น—สวดอ้อนวอน
ดิฉันทูลพระบิดาบนสวรรค์ว่ากลัวมากเพียงใดและทูลขอให้พระองค์ทรงช่วยให้เราถึงสนามบินอย่างปลอดภัย แต่ฝนก็ยังตกหนักเหมือนเดิม
ขณะที่ดิฉันเกือบจะร้องไห้และรู้สึกว่าจะขับต่อไปไม่ไหวแล้ว ทันใดนั้นถนนที่มีไฟส่องทางตลอดก็ปรากฏขึ้นเหมือนไม่รู้ว่ามาจากไหน ทำให้เส้นทางของดิฉันสว่างขึ้น ดิฉันนึกถึงพระผู้ช่วยให้รอดขึ้นมาทันทีและคิดว่าพระองค์ทรงนำแสงสว่างเข้ามาในชีวิตดิฉันมากมายเพียงใด ดิฉันรู้และไม่สงสัยเลยว่าพระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ทรงตระหนักถึงดิฉันขณะดิฉันรู้สึกถึงพระเมตตาอันละเอียดอ่อนของทั้งสองพระองค์ที่ทรงมีต่อดิฉัน
พระองค์ทรงทราบถึงความกลัวของดิฉันและทรงลบมันออกไปในเวลาเพียงไม่กี่วินาทีด้วยแสงสว่าง
ดิฉันขับรถต่อไป เต็ม่ไปด้วยความมั่นใจที่กลับคืนมา อย่างไรก็ตาม ภายในเวลาที่รู้สึกเหมือนไม่กี่วินาที ดิฉันพลันพบตนเองตกอยู่ในความมืดอีกครั้ง โดยเห็นแสงสว่างเลือนรางอยู่เบื้องหลัง โชคดีที่ด้วยความมั่นใจเล็กน้อยที่ได้รับจากไฟส่องทาง ความมืดไม่ส่งผลกระทบที่รุนแรงอีกแล้ว
การขับรถช่วงที่เหลือเป็นแบบนี้ไปตลอด ทุกครั้งที่ดิฉันเกือบจะร้องทูลพระบิดาบนสวรรค์เพราะความกลัว และคิดว่า “ฉันไม่ไหวแล้ว” แสงสว่างจะปรากฏขึ้น ทำให้ดิฉันไปต่อได้ และในที่สุดเราก็ไปถึงสนามบิน
ท่านสามารถหันไปหาพระคริสต์ได้เสมอ
ประสบการณ์นี้เตือนให้ดิฉันนึกถึงการเดินทางผ่านชีวิตนี้ของเรา เราต้องเผชิญกับฝน ความมืด ความกลัว ทางที่ไม่เคยผ่าน และความอ้างว้างในบางครั้งของตัวเราเอง มีช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าจะไปต่อไม่ไหว ช่วงเวลาที่ไม่มีแสงสว่างส่องถึงเรา ความสามารถของเราไม่พอ หรือไม่มีใครเข้าใจความมืดมนที่เราพบว่าปกคลุมเรา แต่ดิฉันอยากแบ่งปันกับท่านถึงพยานส่วนตัวของดิฉันว่าผู้ที่เข้าใจยังมีอยู่
พระเยซูคริสต์ “แสงสว่างและชีวิตของโลก” (3 นีไฟ 9:18) พระองค์ผู้ทรงทนทุกข์เพื่อเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว พระองค์ทรงรู้จักท่าน และพระองค์ทรงรู้ถึงความกลัวของท่าน และทรงยื่นพระหัตถ์ออกมา ทรงพร้อมที่จะช่วยเหลือท่าน
ทุกครั้งที่พบว่าตนเองอยู่ในความมืด ไม่ว่าจะด้วยการเลือกของเราเองหรือการเลือกของคนอื่นหรืออยู่ในสภาวการณ์ที่ร้ายแรงเกินกว่าเราจะควบคุมได้ เราสามารถไปต่อได้โดยเลือกที่จะหันไปหาพระองค์ และพระองค์จะประทานแสงสว่างแก่เรา แม้แสงสว่างอาจไม่มาโดยทันทีเสมอไป เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นขณะดิฉันขับรถในไอร์แลนด์ พระเยซูคริสต์ทรงอยู่กับเราเสมอและจะประทานความเข้มแข็งที่เราจำเป็นต้องมีเพื่อรุดหน้าต่อไปยังแสงสว่างนั้น
ในช่วงเวลามืดสนิทที่สุด ดิฉันได้รับโอกาสที่จะพึ่งพาความหวังและศรัทธา ดิฉันได้รับการเตือนใจว่าดิฉันไม่ได้อยู่ตามลำพังและโดยพระองค์ดิฉันสามารถเอาชนะทุกสิ่งที่เข้ามาในเส้นทางของดิฉันได้ เอ็ลเดอร์ทิโมธี เจ. ไดคส์ แห่งสาวกเจ็ดสิบเป็นพยานในการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนปี 2021 ว่า “ขณะที่เราเพิ่มความเข้มข้นให้ศรัทธาของเราในพระคริสต์ เราได้รับความสว่างในระดับที่เข้มข้นจนขับไล่ความมืดมิดทั้งหมดที่อาจรุมล้อมเราอยู่”1
ดิฉันเชิญท่านที่จะทำให้ศรัทธาและความวางใจของท่านในพระผู้ช่วยให้รอดลึกซึ้งขึ้น พระองค์ทรงพร้อมที่จะส่งแสงสว่างเข้ามาในชีวิตท่านไม่ว่าในรูปแบบใดที่ท่านจำเป็นต้องมี และทรงสามารถขจัดความมืดใดๆ ที่อาจปกคลุมท่านอยู่ ดังที่เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเตือนเราว่า “เป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะจมดิ่งลงไปลึกกว่าความสว่างอันไม่มีขอบเขตจากการชดใช้ของพระคริสต์จะส่องถึง”2
ทั้งหมดที่เราต้องทำคือหันไปหาพระองค์