“จงวางใจพระผู้เป็นเจ้าและให้พระองค์ทรงมีชัย,” เลียโฮนา, ส.ค. 2022.
จงวางใจพระผู้เป็นเจ้าและให้พระองค์ทรงมีชัย
บทเรียนขั้นสูงสุดของหนังสือโยบคือบทเรียนที่สอนว่าเราแต่ละคนสามารถเลือกดำเนินชีวิตที่วางใจพระผู้เป็นเจ้าและแผนของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ทำไมเรื่องร้ายจึงเกิดกับคนดี? ข้าพเจ้าสงสัยว่าแม้แต่อาดัมกับเอวาก็ถามคำถามนี้กับตนเอง ส่วนโยบนั้นถามแน่นอน นักวิชาการ นักปรัชญา นักศาสนศาสตร์หลายคนพยายามหาคำตอบ
หนังสือโยบกล่าวถึงคำถามแต่ไม่ได้ตอบเรื่องเหตุผล โยบเรียนรู้ว่าการวางใจพระผู้เป็นเจ้าและไม่พึ่งพาความเข้าใจของตนเองคือวิธีจัดการกับความยากลำบากในชีวิต คำสอนเหล่านี้สนับสนุนให้เรายอมให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยเพื่อที่เราจะยังมองโลกในแง่ดีและเปี่ยมความหวังแม้มีเรื่องท้าทาย
บาปและความทุกข์ทรมาน
ความเข้าใจในหนังสือโยบจะง่ายขึ้นเมื่อเราพิจารณาประโยคคู่ประโยคนี้ “บาปทุกอย่างก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน แต่ความทุกข์ทรมานทุกอย่างไม่ได้เกิดจากบาป” เพราะการทำบาปทุกอย่างไม่แสดงผลร้ายแก่ผู้ทำผิดโดยทันที (ดู มาลาคี 3:13–18) เราจึงอาจเชื่ออย่างโง่เขลาและหลงผิดว่าเราเจตนาทำบาปและหลีกเลี่ยงผลของบาปนั้นได้ ผลเหล่านั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่การกลับใจทำให้เราปีติยินดีและก่อให้เกิดปีติต่อพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาบนสวรรค์ของเรา บาปของเราจะทำให้พระผู้ช่วยให้รอดทรงทุกข์ทรมานโดยปราศจากความผิด พระองค์ทรงจ่ายค่าบาปเพื่อว่าหากเรากลับใจเราจะไม่ต้องทนกับความทุกข์ทรมานอันเป็นโทษที่เราต้องรับ แต่อย่าเข้าใจผิด: บาปทุกอย่างก่อให้เกิดความทุกข์ทรมาน
โยบและเพื่อนคิดว่าความทุกข์ทรมานทุกอย่างเกิดจากบาป ความคิดนั้นเป็นความเท็จระดับรากฐานเช่นกัน โยบเป็นคนดีที่สูญเสียทุกอย่างและรับทุกข์ทรมานแสนสาหัส เมื่อเพื่อนของท่าน “ปลอบโยน” ท่าน พวกเขาสันนิษฐานว่าโยบต้องทำบาปอันใหญ่หลวงที่สาสมกับความทุกข์ทรมานเช่นนั้น
โยบเชื่อเช่นกันว่าบาปเท่านั้นที่ก่อให้เกิดความทุกข์ทรมานและท่านต้องการพิสูจน์ต่อเพื่อนและพระผู้เป็นเจ้าว่า “การลงโทษ” ที่ท่านได้รับนั้นเกินกว่าบาปที่ท่านละเมิด ท่านให้เหตุผลว่า ผลของข้อพิสูจน์นั้นจะยับยั้งความทุกข์ทรมานของท่าน
ในที่สุด พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยบจากลมหมุน เมื่อตรัสอธิบายถึงความทุกข์ทรมานของโยบ พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงปกป้องพระองค์เอง ทั้งไม่ได้ทรงตอบสนองที่โยบอ้างว่าท่านปราศจากความผิด แทนที่จะทรงทำเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้ากลับทรงตำหนิการสนทนาที่ยืดเยื้อของโยบกับเพื่อน โดยตรัสว่า “นี่ผู้ใดหนอที่ให้คำปรึกษามืดมนไปด้วยถ้อยคำอันปราศจากความรู้?” (โยบ 38:2) เพื่อเน้นให้เห็นความโง่เขลาของพวกท่าน พระผู้เป็นเจ้าทรงตั้งคำถามซึ่งบัญชาให้โยบตอบอย่างน้อย 66 ข้อ โยบตอบไม่ได้ (ดู โยบ 38-42)
ดูราวกับว่าพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยบอย่างอดทนและกรุณา “หากเจ้าไม่สามารถตอบคำถามของเราแม้หนึ่งข้อเกี่ยวกับแผ่นดินโลกที่เราสร้าง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้าไม่เข้าใจกฎนิรันดร์ที่มีอยู่? มีสมมติฐานที่เจ้าตั้งอย่างไม่ถูกต้องอยู่หรือไม่? เจ้าเข้าใจแรงจูงใจของเราและวิธีทำงานของแผนแห่งความรอดและความสูงส่งของเราหรือไม่? และเจ้าสามารถเห็นจุดหมายอนาคตของเจ้าล่วงหน้าหรือไม่?”
พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้ในพระปรีชาญาณของพระองค์ว่าส่วนสำคัญที่สุดของประสบการณ์มรรตัยของเราคือการไม่รู้ทุกสิ่ง มีบางสิ่งเกี่ยวกับการวางใจพระองค์ที่เปิดทางให้เราเจริญก้าวหน้าเป็นเหมือนพระองค์
แต่แรกโยบไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ แต่ท่านไม่ได้โดดเดี่ยว พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนเรา
“เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ
“เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น” (อิสยาห์ 55:8–9)
โยบรับข่าวสารของพระผู้เป็นเจ้า ท่านยอมรับอย่างนอบน้อมว่าท่านไม่เข้าใจ และท่านกลับใจเรื่องที่ท่านเห็นว่าความทุกข์ทรมานของท่านมาจากบาป (ดู โยบ 42:3, 6) โยบรับรู้ว่าความทุกข์ทรมานทุกอย่างไม่ใช่การลงโทษจากพระเจ้า เพราะความทุกข์ทรมานของท่านไม่ได้เกิดจากบาป งานของโยบคือวางใจพระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โยบต้องจำไว้ว่าพระผู้เป็นเจ้า “ทรงรักลูกๆ ของพระองค์” แม้ว่าโยบจะ “ไม่รู้ความหมายของเรื่องทั้งหมด” (1 นีไฟ 11:17)
คงความซื่อสัตย์
เช่นเดียวกับโยบ เราจำเป็นต้องวางใจพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์และคงความซื่อสัตย์ในทุกสภาวการณ์ ยิ่งทั้งสองพระองค์ทรงมีอยู่จริงในชีวิตเรา เราก็ยิ่งวางใจทั้งสองพระองค์ ยิ่งเราทำเช่นนั้นมากขึ้นเท่าใด เราก็จะยิ่งจดจ่ออยู่กับแผนแห่งความรอดและความสูงส่งของพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นเท่านั้น ยิ่งมุมมองนิรันดร์คงอยู่ในระยะที่ภาพคมชัดเท่าใด การยอมให้พระผู้เป็นเจ้าทรงมีชัยก็ยิ่งง่ายขึ้นเท่านั้นและสภาวการณ์ต่างๆ ในชีวิตเราก็มีผลน้อยลงเท่านั้น 1 ดังที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “ด้วยสายตาซีเลสเชียล การทดลองที่ไม่มีทางเปลี่ยนจะกลายเป็นการทดลองที่เราทนได้”2
ด้วยข้อคิดเหล่านี้ในใจ กษัตริย์เบ็นจามินทรงกระตุ้นเตือนเราว่า “จงเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า; จงเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่, และว่าพระองค์ทรงสร้างสิ่งทั้งปวง, ทั้งในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก; จงเชื่อว่าพระองค์ทรงมีปรีชาญาณทั้งหมด, และเดชานุภาพทั้งหมด, ทั้งในฟ้าสวรรค์และในแผ่นดินโลก; จงเชื่อว่ามนุษย์ไม่เข้าใจทุกสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงเข้าพระทัยได้” (โมไซยาห์ 4:9)
ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) สอนไว้อย่างน่าชื่นชมว่าสภาวการณ์ในชีวิตเราไม่ได้ตัดสินทัศนะของเรา ท่านกล่าวว่า: “ผลักไสชายคนหนึ่งเข้าไปในคุกแล้วล่ามโซ่เขาไว้จากนั้นให้เขาเปี่ยมไปด้วยคำปลอบโยนและเปี่ยมไปด้วยรัศมีภาพแห่งนิรันดร แล้วคุกนั้นจะเป็นพระราชวังสำหรับเขา อีกครั้ง ให้นำชายคนหนึ่งนั่งบนบัลลังก์พร้อมพลังอำนาจและการครอบครองโลกนี้ ปกครองผู้คนเป็นล้านล้านคน โดยไม่มีสันติสุขซึ่งหลั่งไหลมาจากพระเจ้าจอมโยธา ไม่มีความพึงพอใจและปีติที่มาจากสวรรค์ พระราชวังของเขาก็คือคุก ชีวิตของเขาจะเป็นภาระของตนเอง เขามีชีวิตในความกลัว ในความหวาดหวั่น และในความโศกเศร้า แต่เมื่อบุคคลใดเปี่ยมด้วยสันติสุขและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ทุกสิ่งดีกับเขา”3
เนื่องจากความวางใจในพระผู้เป็นเจ้าของเขา โยบเรียนรู้ว่า “[เมื่อพระผู้เป็นเจ้า] ทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ” (โยบ 23:10) โยบจะได้รับการขัดเกลาจากประสบการณ์ที่ได้รับ โดยรู้ว่าความทุกข์ทรมานทุกอย่างไม่ได้เกิดจากบาปและรู้ว่าท่านวางใจพระผู้เป็นเจ้าได้ ลีไฮกล่าวว่า:
“และบัดนี้ เจคอบ … ในวัยเด็กของลูกลูกต้องรับความทุกข์และโทมนัสยิ่ง …
“กระนั้นก็ตาม, … ลูกรู้จักความยิ่งใหญ่ของพระผู้เป็นเจ้า; และพระองค์จะทรงอุทิศความทุกข์ของลูกให้เป็นพรของลูก” (2 นีไฟ 2:1–2)
อย่ากลัวเลย
แม้ขณะรับทุกข์ทรมาน พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยได้ในความยากลำบากของเรา พระองค์ตรัสกับเราว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเราอยู่กับเจ้าอย่าขยาด เพราะเราเป็นพระเจ้าของเจ้า: เราจะเสริมกำลังเจ้า เราจะช่วยเจ้า เราจะชูเจ้าด้วยมือขวาอันชอบธรรมของเรา” (อิสยาห์ 41:10) พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเราแม้ในการเผชิญหน้ากับเรื่องท้าทายที่ท่วมท้น พระองค์ตรัสว่า:
“เมื่อเจ้าลุยข้ามน้ำ เราจะอยู่กับเจ้า และเมื่อข้ามแม่น้ำ มันจะไม่ท่วมเจ้า เมื่อเจ้าเดินผ่านไฟ เจ้าจะไม่ถูกไหม้ และเปลวเพลิงจะไม่เผาเจ้า
“เพราะเราคือยาห์เวห์เป็นพระเจ้าของเจ้า” (อิสยาห์ 43:2–3)
เมื่อเรารับรู้พรเหล่านี้ ความวางใจในพระผู้เป็นเจ้าจะเพิ่มขึ้น เราจะตระหนักว่าความทุกข์ทรมานใดๆ “จะได้รับการแก้ไขโดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์”4 ในทางกลับกัน ยิ่งเรา “เสื่อมโทรมอยู่ในความไม่เชื่อ, และออกจากทางที่ถูกต้อง, และไม่รู้จักพระผู้เป็นเจ้าซึ่งในพระองค์ [เรา] ควรวางใจ.” (มอรมอน 9:20) มากเท่าใด สภาวการณ์ดังกล่าวก็ยิ่งกินวงกว้างขึ้นเท่านั้น เมื่อเราหยุดวางใจพระผู้เป็นเจ้า เราจะวิตกกังวลและจำนนต่อความคับข้องใจและความสิ้นหวัง
พระเยซูคริสต์ทรงชนะโลก เพราะพระองค์ เราจึงมีสันติสุขในโลกนี้และ “มีใจกล้าได้” (ยอห์น 16:33) ประจักษ์พยานของโยบในพระผู้ช่วยให้รอดสร้างแรงบันดาลใจหลายพันปีหลังจากที่ท่านประกาศ ท่านประกาศว่า:
“แต่ข้าเองทราบว่า พระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่ และในที่สุดพระองค์จะทรงปรากฏบนแผ่นดินโลก:
“และหลังจากผิวหนังของข้าถูกทำลายไปอย่างนี้แล้ว ในเนื้อหนังของข้า ข้าจะเห็นพระเจ้า” (โยบ 19:25–26)
พระเยซูคริสต์ทรงรักที่จะฟื้นฟูสิ่งที่ท่านฟื้นฟูไม่ได้ รักษาบาดแผลที่ท่านรักษาไม่ได้ ซ่อมสิ่งที่พังจนซ่อมไม่ได้ 5 และชดเชยความอยุติธรรมที่ท่านทนรับ อันที่จริง หากเรายอมต่อพระองค์ พระองค์จะทรงอุทิศความทุกข์ทรมานของเราให้เป็นพรและทำให้เราพ้นจากความโศกศัลย์อย่างสุดซึ้งของเรา 6 พระองค์จะไม่เพียงปลอบประโลมเราและนำสิ่งที่สูญเสียไปคืนมา (ดู โยบ 42:10, 12–13) แต่จะทรงใช้การทดลองของเราเพื่อประโยชน์ของเราด้วย
พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีเดชานุภาพที่จะแก้ไขทุกสิ่งให้ถูกต้องและทรงปรารถนาที่จะทำเช่นนั้น พระองค์ทรงรักที่จะซ่อมแม้ใจที่แตกเป็นเสี่ยงๆ ให้คืนดีอย่างถาวร (ดู สดุดี 147:3) บทเรียนขั้นสูงสุดของหนังสือโยบคือบทเรียนที่สอนว่าเราแต่ละคนสามารถเลือกดำเนินชีวิตที่วางใจพระผู้เป็นเจ้าและแผนของพระองค์ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น