พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ช่างน่าอัศจรรย์
การถ่ายทอดการอบรม S&I ประจำปี 2022 กับประธานบัลลาร์ด
วันศุกร์ที่ 21 มกราคม ค.ศ. 2022
คำนำ
ผมขอเริ่มโดยแสดงความสำนึกคุณต่อทุกสิ่งที่คุณทำเพื่อหนุนใจเยาวชนและคนหนุ่มสาวทั่วศาสนจักร คุณมีอนาคตของศาสนจักรอยู่ในชั้นเรียนอย่างแท้จริง และผมได้รับแรงบันดาลใจจากวิธีที่คุณรับใช้และดูแลนักเรียนของคุณ พี่น้องทั้งหลาย พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ช่างน่าอัศจรรย์
วันนี้ผมอยากจะพูดถึงวิธีที่เราจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเกี่ยวกับศรัทธา ประจักษ์พยาน และธรรมชาติ อันน่าอัศจรรย์ ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
เพื่อเป็นการเกริ่นนัยสำคัญ ผมจะอธิบายงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ผมชื่นชมมานานแล้วแต่บางครั้งก็ถูกมองข้ามไป หลายปีก่อน ผมได้รับคำแนะนำจากเพื่อนที่เป็นอาจารย์ในพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์บอสตัน เธอแนะนำว่าเมื่อคุณจัดวางผลงานศิลปะในบ้านคุณ สิ่งสำคัญคือต้องหมุนปรับทิศเป็นระยะเพื่อหลีกเลี่ยงการ “มองไม่เห็น” งานศิลปะที่มีอยู่นั้น ผมกับภรรยาชื่นชมภาพวาดของคาราวัจโจที่มีชื่อว่า พระเยซูทรงเรียกนักบุญมัทธิว เนื่องจากภาพวาดนี้แขวนอยู่ที่เดิมในบ้านของเรามาหลายปี ผมแทบไม่เคยหยุดชื่นชมความงดงามของภาพดังกล่าว ฤดูใบไม้ร่วงนี้ ผมย้ายภาพวาดไปไว้ในห้องทำงานที่สำนักงานใหญ่ของศาสนจักร อย่างไรก็ตาม การได้เห็นภาพวาดในที่ใหม่ทำให้ผมหยุดคิดไตร่ตรองอีกครั้งเกี่ยวกับการออกแบบภาพวาดอันน่าทึ่งและความสำคัญทางวิญญาณ ในลูกาเราอ่านถึงมัทธิวว่า “หลังจากเหตุการณ์เหล่านั้นแล้ว พระองค์เสด็จออกไป และทอดพระเนตรเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่งชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า ‘จงตามเรามาเถิด’ เขาก็ลุกขึ้น สละทิ้งทุกสิ่งและตามพระองค์ไป” 1 ที่น่าสนใจคือคาราวัจโจวาดภาพบรรยายถึงชั่วขณะที่พระคริสต์ให้การเรียก แต่ ก่อน ที่มัทธิวจะแหงนมองไปที่สายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอด คุณสามารถเห็นพระหัตถ์ที่เหยียดออกของพระคริสต์และแสงที่ส่องผ่านห้องลงมายังมัทธิวที่ปลายโต๊ะโดยที่มือของเขายังคงถือเงินอยู่ คาราวัจโจจับภาพมัทธิวในช่วงเวลาที่เขาตัดสินใจละทิ้งทุกสิ่งและติดตามพระเยซูคริสต์ ทุกครั้งที่ผมหยุดดูภาพนี้ ผม รู้สึกอัศจรรย์ใจ กับความหมายของภาพนี้
พี่น้องทั้งหลาย พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ช่างน่าอัศจรรย์! การประสูติ พระชนม์ชีพ การปฏิบัติศาสนกิจ การชดใช้ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องราวที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่เคยมีมา ถึงกระนั้น ในช่วงเวลาที่น่ากลัวนี้ 2 เราเดินผ่านข่าวสารอันน่าอัศจรรย์นี้ได้แม้ในขณะที่เราพยายามช่วยเหลือผู้อื่นที่กำลังลำบาก ดังที่ประธานเนลสันสอนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “พี่น้องที่รัก นี่ คือ ยุคสุดท้าย หากท่านและข้าพเจ้าต้องต้านทานภยันตรายและแรงกดดันที่จะเกิดขึ้น เราแต่ละคนจำเป็นต้องมีรากฐานทางวิญญาณอัน มั่นคง ที่สร้างบนศิลาของพระผู้ไถ่ พระเยซูคริสต์ 3
ตอบคำถามเกี่ยวกับศรัทธาของนักเรียน
ปัจจุบัน นักเรียนของเรากำลังเผชิญกับความท้าทายด้านศรัทธาซึ่งทำให้พวกเขาสงสัยในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู ความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน และแม้แต่พระสิริของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตพวกเขา คำบรรยายดิจิทัลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพระกิตติคุณมีอยู่มากมาย แหล่งข้อมูลเหล่านี้ไม่ใช่สาเหตุของปัญหาด้านศรัทธาทั้งหมด แต่สามารถขยายคำถามที่มีอยู่แล้วและเพิ่มคำถามใหม่ ผมขอแบ่งปันเรื่องราวของบุคคลสามคนที่คุณอาจเห็นสะท้อนอยู่ในชีวิตของนักเรียนคุณเอง
สเตฟานี: สเตฟานีเติบโตในศาสนจักรแต่รู้สึกไม่เป็นส่วนหนึ่งในวอร์ดและกลุ่มเพื่อนมาโดยตลอดเพราะปัญหาการแต่งงานของพ่อแม่เธอ เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งนี้นำไปสู่ความขมขื่นซึ่งเธอเชื่อมโยงกับศาสนจักรด้วยเหตุผลบางประการ สเตฟานีเริ่มมองหาแหล่งข้อมูลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนจักรอย่างแข็งขัน โดยมุ่งเน้นที่การวิพากษ์วิจารณ์โจเซฟ สมิธแต่เพิกเฉยต่อหลักฐานใดๆ เกี่ยวกับบทบาทการเป็นศาสดาพยากรณ์ของท่าน ตอนนี้สเตฟานีมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดียเป็นหลักเพื่อโจมตีสิ่งที่เธอเห็นว่าเป็นความเชื่อที่ผิดและล้าสมัยของเพื่อนๆ เธอ สิ่งนี้ทำให้เธอยิ่งโกรธ และตอนนี้เธอมีแนวโน้มมากขึ้นที่จะรับมูลเหตุหรือกลุ่มใดๆ ที่รู้สึกว่าเป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนจักร
เดวิด: คำถามของเดวิดมุ่งไปที่ประวัติศาสตร์ศาสนจักรในทำนองเดียวกัน แต่สถานการณ์ของเขาค่อนข้างแตกต่าง เขาเริ่มต้นด้วยศรัทธาเต็มเปี่ยม แต่หลังจากงานเผยแผ่ เขาเริ่มถามคำถามเกี่ยวกับหัวข้อที่เขาไม่ทราบก่อนเป็นผู้สอนศาสนา คำถามเหล่านี้นำเขาไปสู่แหล่งข้อมูลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อศาสนจักร และเขาเริ่มสับสนเกี่ยวกับประจักษ์พยานของเขาและสิ่งที่เขาเชื่อจริงๆ แม้จะมีประสบการณ์ก่อนหน้านี้หลายครั้งที่เขาได้รับพยานถึงความจริงแท้ของพระกิตติคุณ เดฟหยุดศึกษาถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตและหยุดอ่านพระคัมภีร์มอรมอน เสียงอื่นๆ เริ่มครอบงำคำถามทางวิญญาณของเดวิด เขาไม่ได้มุ่งร้ายต่อศาสนจักร แต่เขาสับสนถึงขนาดหยุดชะงัก ซึ่งทำให้การเข้าร่วมสถาบันและการนมัสการในวันอาทิตย์ของเขาลดลง
คอนนี่: คอนนี่ไม่ต่อต้านเหมือนสเตฟานีและไม่หยุดชะงักเหมือนเดฟ เธอมีปัญหาความท้าทายในชีวิตเกี่ยวกับการแยกทางของบิดามารดาเมื่อเร็วๆ นี้และรูปแบบทารุณกรรมทางวาจาและทางอารมณ์ในบ้านของเธอ ความเจ็บปวดนี้ทิ้งบาดแผลและเธอพยายามค้นหาทางบรรเทา แต่แทนที่จะแสวงหาการเยียวยาผ่านพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ คอนนี่กลับหันไปคบหาสมาคมทางโลกเพื่อแสวงหาความเห็นใจและความเข้าใจที่เธอต้องการอย่างยิ่ง เธอปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่นที่กำลังดิ้นรนกับปัญหาสุขภาพจิต ปัญหา LGBTQ และใครก็ตามที่ประสบกับความผิดหวังและความสงสัยในชีวิตของตน คอนนี่พบการปลอบโยนในกลุ่มเหล่านี้ แต่เธอได้เจอคำถามใหม่ๆ ด้วย เธอกับเพื่อนๆ มักกล่าวโทษศาสนจักรสำหรับปัญหาของพวกเขา โดยหวังว่าหากพวกเขาเพียงเพิกเฉยต่อกฎของพระผู้เป็นเจ้า ความเจ็บปวดของพวกเขาก็จะหมดไป 4 เธอไม่เพียงหยุดเข้าร่วมศาสนจักรและสถาบันเท่านั้น แต่เธอยังเริ่มปฏิบัติตามกลุ่มพฤติกรรมที่เธอหวังว่าจะบรรเทาความเจ็บปวดของเธอและทำให้เธอหลีกเลี่ยงเส้นทางที่ยากลำบากในการเปลี่ยนแปลงและให้อภัยผู้อื่น
นักเรียนเหล่านี้แต่ละคนกำลังเผชิญวิกฤตศรัทธา แต่ธรรมชาติของวิกฤตนั้นแตกต่างกันไปสำหรับแต่ละคน คนหนึ่งขมขื่นและกบฏอย่างเปิดเผย อีกคนสับสนและถูกครอบงำโดยเสียงจากภายนอก และคนที่สามติดอยู่ในความเจ็บปวดและพยายามซ่อนจากสิ่งที่เธอเห็นว่าเป็นเส้นทางที่ยากลำบากในศาสนจักร พวกเขายังสะท้อนถึงประเภทของนักเรียนรุ่น Z (หรือ Gen Z) ที่ไม่ไว้วางใจสถาบันที่เป็นทางการ เข้าโบสถ์น้อยลง และเหนือสิ่งอื่นใดคือจิตสำนึกของคติสัมพัทธภาพทางศีลธรรมที่ระบุว่าไม่มีมาตรฐานอย่างเป็นทางการสำหรับสิ่งที่ถูกและผิด ผลการศึกษาล่าสุดโดยกลุ่มบาร์นาอธิบายว่า “คติสัมพัทธภาพทางศีลธรรมไม่ได้เข้ามาในโลกทัศน์ของคน Gen Z เพียงอย่างเดียว แต่เป็นความคิดเห็นส่วนใหญ่ในตอนนี้” 5
ในฐานะครูสอนพระกิตติคุณ เรา ต้อง หาวิธีเอื้อมมือช่วยนักเรียนอย่างสเตฟานี เดวิด และคอนนี่ คำถามและข้อกังวลของพวกเขามีอยู่จริงและไม่ควรมองข้าม เราควรเข้าหาข้อกังวลของพวกเขาด้วยความเห็นใจและจิตกุศล ให้พวกเขาถามคำถามในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและมีการบำรุงเลี้ยง เราต้องพัฒนาความสามารถของเราในการทำความเข้าใจและตอบสนองต่อข้อกังวลของพวกเขาอีกด้วย การได้มาซึ่งความรู้ทางวิญญาณในแหล่งช่วยเซมินารีและสถาบันศาสนา [S&I] กล่าวว่า “บางครั้งเราอาจค้นพบข้อมูลใหม่หรือมีคำถามเกี่ยวกับหลักคำสอน ระเบียบปฏิบัติ หรือประวัติของศาสนจักรซึ่งดูเหมือนเข้าใจยาก การถามคำถามและแสวงหาคำตอบเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งเมื่อเราพยายามเรียนรู้ความจริง” 6 แหล่งช่วย S&I นี้ให้แนวคิดเกี่ยวกับวิธีตอบคำถามเรื่องศรัทธาของนักเรียนโดยสอนให้ (1) กระทำด้วยศรัทธา (2) พินิจแนวคิดด้วยมุมมองนิรันดร์ และ (3) ใช้แหล่งช่วยที่เชื่อถือได้ เช่นเดียวกัน เมื่อเร็วๆ นี้ งานค้นคว้าวิจัยของบีวายยู ได้ตีพิมพ์แหล่งข้อมูลเพิ่มเติมชื่อ “A Teacher’s Plea (คำวิงวอนของครู)” ซึ่งผู้เขียนสนับสนุนให้นักการศึกษาศาสนาสอนทักษะการเลือกและความสำคัญของแหล่งข้อมูลของเราเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องราวที่ดูเรียบง่ายเกินไปและยินดีตรวจสอบข้อกังวลที่มาจากใจของหลายคน 7 ในทำนองเดียวกัน งานวิจัยล่าสุดของอีริคและซาราห์ ดีเอเว็คนีส เกี่ยวกับ “การกลับใจใหม่” สนับสนุนให้เราช่วยเหลือผู้คนจัดการกับข้อกังวลทางศาสนาด้วยวิธีที่ไม่ทำให้พวกเขาหันไปจากความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า 8 และแน่นอนว่าศาสนจักรเองได้สร้างชุดหัวข้อพระกิตติคุณที่สามารถใช้เป็นแหล่งช่วยเพื่อทำความเข้าใจได้ดีขึ้นและหาคำตอบสำหรับคำถามที่นักเรียนของเราหลายคนมีเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และหลักคำสอน รับทราบ ตอบคำถาม แต่อย่าใช้เวลามากไปกับคำถามรอง
รับทราบ ตอบคำถาม แต่อย่าใช้เวลามากไปกับคำถามรอง
ผมต้องการให้นักการศึกษาศาสนาของเรา ทุกท่าน เข้าใจถ่องแท้ว่ามีแหล่งช่วยที่ดีมากมายเหล่านี้และแหล่งช่วยอื่นๆ ที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยให้นักเรียนของเราเอาชนะวิกฤตศรัทธาและหาคำตอบสำหรับคำถามพระกิตติคุณ อันที่จริง ผมไม่มั่นใจว่าเราจะเป็นครูสอนพระกิตติคุณที่มีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมปัจจุบันเว้นแต่เราจะตระหนักถึงความท้าทายด้านศรัทธาที่นักเรียนหลายคนเผชิญ เราจำเป็นต้องใช้แหล่งช่วยเหล่านี้มากขึ้นเพื่อช่วยให้นักเรียนจัดการกับคำถามของพวกเขา
แต่ในการช่วยนักเรียนแก้ไขข้อกังวลของพวกเขา เราต้องระวังเช่นกันที่จะไม่จดจ่อกับคำถามศรัทธาของพวกเขาจนเราพลาดโอกาสสอนพวกเขาว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ช่างน่าอัศจรรย์ เพียงใด ดังที่บราเดอร์แชด เอช. เว็บบ์อธิบายให้ผมฟังว่า “มันเหมือนกับการพยายามช่วยให้ผู้คนออกจากหมอกแห่งความมืดโดยมุ่งความสนใจไปที่ความมืด” เราไม่ควรเพิกเฉยต่อการมีอยู่ของความมืด และอย่าทำให้เป็นจุดสนใจเดียวของเรา เอ็ลเดอร์ลอว์เรนซ์ อี. คอร์บริดจ์กล่าวอย่างมีนัยสำคัญถึงเรื่องการให้คำถามรองเข้ามาแทนที่คำถามหลัก ในคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณของบีวายยู เอ็ลเดอร์คอร์บริดจ์กล่าวว่า
“คำถามรองมีมากมายไม่จบสิ้น คำถามรองรวมถึงคำถามเกี่ยวกับประวัติศาสนจักร สมรสซ้อน ลูกหลานชาวแอฟริกากับฐานะปุโรหิต สตรีกับฐานะปุโรหิต การแปลพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า ดีเอ็นเอกับพระคัมภีร์มอรมอน การแต่งงานกับเพศเดียวกัน เรื่องราวต่างกันของนิมิตแรก และอื่นๆ
หากท่านตอบคำถามหลัก คำถามรองก็จะได้รับคำตอบเช่นกัน หรือจะทำให้คำถามรองดูมีความสำคัญน้อยกว่าและท่านจะสามารถรับมือกับสิ่งที่ท่านเข้าใจและสิ่งที่ท่านไม่เข้าใจ กับสิ่งที่ท่านเห็นด้วยและสิ่งที่ท่านไม่เห็นด้วยโดยไม่ออกจากศาสนจักร” 9
ใช่แล้ว ฟังข้อกังวลของนักเรียน สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับพวกเขาในการถามคำถาม และใช้แหล่งช่วยที่เชื่อถือได้ แต่ในกระบวนการนี้ อย่าพลาดที่จะสัมผัสถึงธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เช่นเดียวกับเรื่องราวของผมเกี่ยวกับผลงานชิ้นเอกของคาราวัจโจ อย่าพลาดชมธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของสิ่งที่อยู่ตรงหน้าคุณ อีกวิธีหนึ่งในการพิจารณาเรื่องนี้คือการคำนึงถึงความผิดปกติทางสายตาที่เรียกว่าโรคจุดภาพชัดที่จอตาเสื่อม ซึ่งจะปิดกั้นการมองเห็นทั้งหมดยกเว้นการมองเห็นรอบข้าง บุคคลที่มีโรคนี้จบลงด้วยการ “ทดแทน” สิ่งที่พวกเขามองไม่เห็นต่อหน้าพวกเขาด้วยการตีความสิ่งที่พวกเขาเห็นรอบข้าง อย่าปล่อยให้การมองเห็นรอบข้างของนักเรียนบิดเบือนทัศนะของพวกเขาเกี่ยวกับธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของพระกิตติคุณ ซึ่งสามารถและควรอยู่ตรงหน้าพวกเขา ดังที่ประธานโอ๊คส์สอนว่า “เว้นแต่เราจะยึดความจริงเหล่านี้เป็นหลักการและสมมติฐาน [ศูนย์กลาง] ของเรา เราไม่สามารถแน่ใจได้ว่าข้อสรุปของเราเป็นความจริง” 10 ตัวอย่างเช่น แม้แต่ความพยายามที่ได้รับการดลใจของเราในการ “สร้างนวัตกรรมสถาบัน” จะล้มเหลวหากเราพลาดการจดจ่อกับศูนย์กลางนี้ เราได้กระตุ้นคุณให้เกี่ยวโยง เข้าถึง และเป็นส่วนหนึ่งมากขึ้นในการสอนของคุณ แต่ความพยายามอันสูงส่งเหล่านี้เสี่ยงที่จะเป็นคำถามรองหากพวกเขาล้มเหลวในการรวมหลักธรรมสำคัญของการเปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเยซูคริสต์ รากฐานทางวิญญาณที่สร้างบนพระผู้ช่วยให้รอดเป็นวิธีเดียวที่นักเรียนของเราจะเอาชนะภยันตรายและแรงกดดันของยุคสุดท้ายนี้ได้ในที่สุด 11
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ช่างน่าอัศจรรย์
วันนี้ผมแถลงหลายครั้งว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ช่างน่าอัศจรรย์ ผมได้ยินการอ้างอิงถึงแนวคิดนี้ครั้งแรกจากเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เมื่อท่านพูดกับกลุ่มนักการศึกษาศาสนาเกี่ยวกับความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขาในการสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์ของพระกิตติคุณกล่าวอย่างมีนัยสำคัญถึงพระผู้ช่วยให้รอดขณะที่พระองค์สอนคนที่ไม่เชื่อในธรรมศาลาว่า “พอถึงวันสะบาโต พระองค์ทรงเริ่มสั่งสอนในธรรมศาลา และคนจำนวนมากที่ได้ยินพระองค์ก็ ประหลาดใจพูดกันว่า ‘คนนี้ได้ความคิดแบบนี้มาจากไหน?’ 12 เมื่อจบคำเทศนาบนภูเขา เราเรียนรู้ว่า “เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็ อัศจรรย์ใจ ด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” 13 ลาโมไนในพระคัมภีร์มอรมอน “ฉงนอย่างยิ่ง” ต่อความซื่อสัตย์ของแอมัน 14 ในตัวอย่างเหล่านี้และอื่นๆ อีกมากมาย ใช้คำว่า อัศจรรย์ใจ, ประหลาดใจ, ฉงน ในการอ้างอิงถึงคนที่ประสบปัญหากับความเชื่อแต่ในที่สุดก็ตระหนักถึงพลังและปาฏิหาริย์ของพระกิตติคุณ เราเห็นสิ่งนี้ในหนังสือของฮีลามันเมื่อผู้คน “ฉงนยิ่ง, ถึงขนาดที่พวกเขาล้มลงสู่พื้นดิน; เพราะพวกเขาไม่เชื่อคำที่นีไฟพูด” 15 ดูเหมือนว่าจะเกิดความประหลาดใจเมื่อความไม่เชื่อเผชิญกับธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์และคำสอนของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเรื่องจริงสำหรับทุกคนที่ต่อสู้กับความสงสัย และจะเป็นจริงสำหรับสเตฟานี เดวิด และคอนนี่ที่ผมกล่าวถึงก่อนหน้านี้ พวกเขาจะเอาชนะความขมขื่น ความสับสน และความเจ็บปวดที่พวกเขารู้สึกได้ก็ต่อเมื่อสัมผัสถึงธรรมชาติอันน่าอัศจรรย์ของพระคริสต์เท่านั้น
พี่น้องทั้งหลาย โปรดฟัง รัก และเห็นใจผู้เผชิญปัญหากับคำถามเรื่องศรัทธา ทำเช่นนั้นด้วยความรักที่สร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับผู้เรียน ทุกคน โดยชี้ให้พวกเขาไปยังแหล่งช่วยที่เชื่อถือได้และช่วยแก้ไขข้อกังวลของพวกเขา แต่ขอให้เราอย่ามองข้ามคำตอบอันน่าอัศจรรย์ของคำถามหลักของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
ขอให้เรา “หมุนปรับทิศภาพวาด” ในชีวิตเราด้วยวิธีที่ช่วยให้นักเรียนหยุดและไตร่ตรองถึงพระลักษณะอันน่าอัศจรรย์อย่างแท้จริงของพระผู้ช่วยให้รอดที่อยู่ตรงหน้าพวกเขา แน่นอนว่ามีความท้าทายต่างๆ—ซึ่งนั่นเป็นส่วนหนึ่งของการเดินทางในความเป็นมรรตัยของเรา แต่ขอให้เราช่วยคนหนุ่มสาวของเราให้รับรู้ถึงวิธีนับไม่ถ้วนที่พระเยซูคริสต์ทรงเปลี่ยนเส้นทางโดยพื้นฐานในชีวิตของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า
ตัวอย่างเช่น ผมรู้สึกอัศจรรย์ใจกับวิธีที่เยาวชนในเมืองของผมจากบอสตันที่รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และการนำพวกเขาไปเป็นผู้สอนศาสนา ศึกษาที่วิทยาลัย แต่งงานในพระวิหาร และตอนนี้มีบทบาทเป็นบิดามารดาและผู้นำในศาสนจักร แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเมื่อคำนึงถึงจุดเริ่มต้นของพวกเขา ผมนั่งนึกประหลาดใจเมื่อนึกถึงบิดาหนุ่มคนหนึ่งในเมืองแซนแอนโทนิโอที่ผมกับซิสเตอร์กิลเบิร์ตพบไม่นานมานี้ เขากลัวว่าเขาจะเทียบไม่ได้กับความคาดหวังของพระกิตติคุณ และในที่สุดจึงรู้ว่าไม่มีใครในพวกเราดีพร้อมและมีเพียงในและโดยผ่านพระเยซูคริสต์เท่านั้นที่เราแต่ละคนสามารถเป็นได้มากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ นี่คือบราเดอร์หลุยส์ วาร์กัสกับแอนเดรีย ภรรยาของเขาและโซเฟีย ลูกสาวของพวกเขา ในคืนที่เขาให้คำมั่นว่าจะรับบัพติศมาหลังจากพบกับผู้สอนศาสนามาห้าปี ผมประหลาดใจเมื่อมองเห็นการเปลี่ยนแปลงและความเชื่อของเขาในพระคริสต์ เช่นเดียวกัน ผมประหลาดใจเมื่อพบจอห์น ราสส์ เพื่อนของผม ซึ่งไม่เข้าร่วมศาสนจักรเป็นเวลา 30 ปีทั้งๆ ที่ภรรยาและลูกๆ ของเขาเป็นแบบอย่างที่ซื่อสัตย์ ในช่วงเวลาของความอ่อนน้อมถ่อมตนที่เชื่อมโยงกับวิกฤตครอบครัว บราเดอร์ราสส์ขอพรและให้คำมั่นว่าจะพบกับซิสเตอร์ผู้สอนศาสนา การตัดสินใจนั้นนำไปสู่บัพติศมาของเขา พร้อมกับบัพติศมาของลูกชายและลูกสาวคนหนึ่งของเขา ทำให้พวกเขาอยู่บนเส้นทางพันธสัญญา ในชีวิตผมเอง ผมนั่งนึกประหลาดใจเมื่อได้ยินพระเจ้าตรัสกับผม ทรงยืนยันประจักษ์พยานของผม ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนสำหรับผู้ที่ผมรับใช้ในงานมอบหมายและผู้ที่ผมปฏิบัติศาสนกิจให้ รวมทั้งตามความต้องการของลูกๆ ของผม
พี่น้องทั้งหลาย พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ช่างน่าอัศจรรย์! พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปลี่ยนชีวิตบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าในวิธีที่ยั่งยืนและทรงพลัง พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราเปลี่ยนแปลงและดีขึ้น รับใช้ผู้อื่น และเป็นมากกว่าที่เราจะเป็นได้ด้วยตัวเราเอง ขอให้เราสอนด้วยวิธีที่แสดงให้นักเรียนเห็นว่าพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ! ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน