2010–2019
บิดา
เมษายน 2016


15:59

บิดา

วันนี้ข้าพเจ้าจะมุ่งเน้นสิ่งดีๆ ที่ผู้ชายจะทำได้ในบทบาทสูงสุดของลูกผู้ชาย นั่นคือสามีและบิดา

วันนี้ข้าพเจ้าจะพูดเรื่องบิดา บิดาเป็นรากฐานในแผนแห่งความสุขของพระเจ้า และข้าพเจ้าต้องการเปล่งเสียงให้กำลังใจผู้ที่กำลังพยายามทำการเรียกนั้นอย่างดี การสรรเสริญและส่งเสริมความเป็นบิดาและบิดาทั้งหลายไม่ใช่การทำให้อับอายหรือลดคุณค่าใครก็ตาม วันนี้ข้าพเจ้าจะมุ่งเน้นเพียงสิ่งดีๆ ที่ผู้ชายจะทำได้ในบทบาทสูงสุดของลูกผู้ชาย นั่นคือสามีและบิดา

เดวิด แบลงเคนฮอร์น ผู้เขียนหนังสือ Fatherless America [อเมริกาไร้บิดา] กล่าวว่า “ทุกวันนี้ สังคมอเมริกาโดยพื้นฐานแล้วมีแนวคิดแบ่งแยกสองฝักสองฝ่ายในเรื่องความเป็นบิดา บางคนถึงกับจำไม่ได้ บางคนขุ่นเคืองกับเรื่องนี้ คนอื่นๆ รวมถึงนักวิชาการครอบครัวจำนวนหนึ่งเพิกเฉยหรือรังเกียจแนวคิดดังกล่าว หลายคนไม่ได้ต่อต้าน แต่ก็ไม่สนใจ หลายคนหวังว่าเราทำได้ แต่เชื่อว่าสังคมของเราทำไม่ได้หรือจะไม่ทำอีกแล้ว”1

เราเชื่อในบิดา
บิดานำด้วยความรักและความชอบธรรม

ในฐานะศาสนจักร เราเชื่อในบิดา เราเชื่อใน “อุดมคติของชายที่ให้ความสำคัญกับครอบครัวก่อน”2 เราเชื่อว่า “โดยแบบแผนของพระผู้เป็นเจ้า บิดาเป็นผู้นำครอบครัวด้วยความรัก ด้วยความชอบธรรม และรับผิดชอบที่จะจัดหาสิ่งจำเป็นต่างๆ ของชีวิต และคุ้มครองครอบครัว”3 เราเชื่อว่าในหน้าที่ครอบครัวที่สัมพันธ์กันของพวกเขา “บิดาและมารดามีหน้าที่ช่วยเหลือกันในฐานะหุ้นส่วนเท่าๆ กัน”4 เราเชื่อว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมีบิดา บิดามีลักษณะพิเศษเฉพาะตัวและแทนที่ไม่ได้

บิดามารดามีหน้าที่ซึ่งส่งเสริมกัน
บิดาไม่สามารถทดแทนได้

บางคนมองเห็นสิ่งดีของความเป็นบิดาในทางสังคม เป็นบางสิ่งที่ผูกมัดชายกับลูกๆ ของเขา จูงใจให้พวกเขาเป็นพลเมืองดีและให้นึกถึงความต้องการของผู้อื่น เปลี่ยนแนวคิดที่ว่า “มารดามีหน้าที่รับผิดชอบต่อบุตรด้วยการเป็นทั้งบิดามารดามีหน้าที่รับผิดชอบต่อบุตร … สรุปคือความสำคัญของผู้ชายคือการเป็นบิดา ความสำคัญของบุตรที่จะมีบิดา ความสำคัญของสังคมที่จะสร้างบิดา”5 ขณะที่การพิจารณาดังกล่าวเป็นความจริงและสำคัญแน่นอน เรารู้ว่าความเป็นบิดาเป็นมากกว่าโครงสร้างของสังคมหรือผลของวิวัฒนาการ บทบาทของบิดามีต้นกำเนิดจากสวรรค์ โดยเริ่มกับพระบิดาในสวรรค์ และกับท่านบิดาอาดัมในโลกมรรตัย

แบบอย่างความเป็นบิดาแห่งสวรรค์ที่ดีพร้อมคือพระบิดาบนสวรรค์ พระอุปนิสัยและพระคุณลักษณะของพระองค์รวมถึงความดีงามที่ล้นเหลือและความรักที่สมบูรณ์แบบ งานและรัศมีภาพของพระองค์คือการพัฒนา ความสุข และชีวิตนิรันดร์ของบุตรธิดาของพระองค์6 บิดาในโลกที่ตกแล้วนี้ไม่มีค่าอันใดเลยเมื่อเทียบกับองค์กษัตราธิราชเบื้องบน แต่โดยสุดความสามารถพวกเขาพยายามเป็นเหมือนพระองค์ และโดยแท้แล้วพวกเขาก็ลงแรงในงานของพระองค์ พวกเขาได้รับเกียรติด้วยความไว้วางใจพิเศษและจริงจัง

สำหรับผู้ชาย ความเป็นบิดาเผยความอ่อนแอและความต้องการของเราเองที่จะปรับปรุงตัว ความเป็นบิดาเรียกร้องการเสียสละ แต่ก็เป็นแหล่งแห่งความพึงพอใจที่หาเปรียบมิได้ แม้เป็นปีติสุข อนึ่ง แบบอย่างที่สูงสุดคือพระบิดาบนสวรรค์ ผู้ทรงรักเราผู้เป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์ จนพระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดเพื่อความรอดและความสูงส่งของเรา7 พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการสละชีวิตเพื่อมิตรสหายของตน”8 บิดาแสดงความรักนั้นเมื่อพวกเขาสละชีวิตของตนวันแล้ววันเล่าในการทำงานรับใช้และค้ำจุนครอบครัว

บางทีงานสำคัญที่สุดของบิดาคือการหันใจลูกของเขาไปหาพระบิดาบนสวรรค์ ถ้าโดยแบบอย่างและถ้อยคำของบิดา เขาสามารถแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตประจำวันได้ บิดาคนนั้นได้มอบกุญแจสู่สันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึงแก่ลูกของเขา9 บิดาที่อ่านพระคัมภีร์ให้ฟังหรืออ่านกับลูกของเขาทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับพระสุรเสียงของพระเจ้า10

บิดาอ่านพระคัมภีร์

เราพบในพระคัมภีร์หลายครั้งถึงการเน้นย้ำพันธะรับผิดชอบของบิดามารดาที่จะสอนลูกของตน

“และอนึ่ง, ตราบเท่าที่บิดามารดามีลูกในไซอัน, หรือในสเตคหนึ่งสเตคใดของนาง, ซึ่งจัดตั้งขึ้น, ที่มิได้สอนพวกเขาให้เข้าใจหลักคำสอนเรื่องการกลับใจ, ศรัทธาในพระคริสต์พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์, และเรื่องบัพติศมาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือ, เมื่ออายุแปดขวบ, บาปย่อมอยู่บนศีรษะของบิดามารดา …

“และพวกเขาพึงสอนลูกๆ ของตนให้สวดอ้อนวอนด้วย, และให้ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระเจ้า.”11

ในปี 1833 พระเจ้าทรงตำหนิสมาชิกในฝ่ายประธานสูงสุด ที่ให้ความสนใจต่อหน้าที่การสอนลูกๆ ของพวกเขาไม่เพียงพอ พระองค์ตรัสกับคนหนึ่งอย่างเจาะจงว่า “เจ้ามิได้สอนแสงสว่างและความจริงแก่ลูกๆ, ตามพระบัญญัติ; และคนชั่วร้ายคนนั้นยังมีอำนาจ, ในเวลานี้, เหนือเจ้า, และนี่เป็นเหตุแห่งความทุกข์ของเจ้า.”12

บิดาต้องสอนกฎและงานของพระผู้เป็นเจ้าใหม่ต่อคนทุกรุ่น ดังที่ผู้เขียนหนังสือสดุดีประกาศไว้

“เพราะพระองค์ทรงสถาปนาพระโอวาทไว้ในยาโคบ และทรงตั้งธรรมบัญญัติไว้ในอิสราเอล ซึ่งพระองค์ทรงบัญชาแก่บรรพบุรุษของเรา ว่าให้แจ้งเรื่องราวเหล่านั้นแก่ลูกหลานของพวกเขา

“เพื่อคนรุ่นหลัง คือลูกหลานที่จะเกิดมา จะทราบเรื่อง และจะลุกขึ้นบอกลูกหลานของพวกเขาต่อไปอีก

“เพื่อพวกเขาจะตั้งความหวังไว้ในพระเจ้า และไม่ลืมพระราชกิจของพระเจ้า แต่รักษาพระบัญญัติของพระองค์”13

บิดากับลูกสาวเต้นรำ

แน่นอนว่าการสอนพระกิตติคุณเป็นหน้าที่ร่วมกันระหว่างบิดากับมารดา แต่พระเจ้าทรงบอกอย่างชัดเจนว่าพระองค์ทรงคาดหวังบิดาที่จะรับผิดชอบในการให้ความสำคัญสูงสุดกับสิ่งนี้ (และจำไว้ด้วยว่าการคุยเล่นกัน การทำงานและเล่นด้วยกัน และการฟังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการสอน) พระเจ้าทรงคาดหวังให้บิดาช่วยขัดเกลาบุตรของตน และเด็กต้องการและต้องมีแบบอย่าง

บิดากับลูกชายทำงานด้วยกัน

ข้าพเจ้าได้รับพรที่มีบิดาเป็นแบบอย่างที่ดี ข้าพเจ้าจำได้เมื่อเป็นเด็กอายุ 12 ขวบ คุณพ่อข้าพเจ้าเป็นผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งสภาเทศบาลเมืองในชุมชนเล็กๆ ของเรา ท่านไม่ได้รณรงค์หาเสียงเลือกตั้งอย่างเอิกเกริก—ข้าพเจ้าจำได้เพียงว่าคุณพ่อให้ข้าพเจ้ากับพี่ชายไปแจกจ่ายใบปลิวตามบ้าน กระตุ้นให้ผู้คนเลือกพอล คริสทอฟเฟอร์สัน มีหลายคนที่ข้าพเจ้ายื่นใบปลิวให้กล่าวชื่นชมว่าพอลเป็นคนดีและซื่อสัตย์ พวกเขาเต็มใจจะเลือกท่าน หัวใจเด็กหนุ่มเล็กๆ ของข้าพเจ้าพองโตด้วยความภาคภูมิใจในคุณพ่อข้าพเจ้า ซึ่งทำให้ข้าพเจ้ามีความมั่นใจและปรารถนาจะเดินตามรอยเท้าท่าน ท่านไม่ได้ดีพร้อม—ไม่มีใครดีพร้อม—แต่ท่านซื่อตรง เป็นคนดี และเป็นแบบอย่างให้บุตรคนหนึ่งอยากจะเป็นเหมือนท่าน

วินัยและการลงโทษเป็นส่วนหนึ่งของการสอน ดังที่เปาโลกล่าว “เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงตีสอนผู้ที่พระองค์ทรงรัก”14 แต่ในวินัยบิดาต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเพื่อไม่ให้เป็นการกระทำที่ทารุณ ซึ่งจะไม่มีวันมีเหตุผลในการทำเช่นนั้นเลย เมื่อบิดาลงโทษ แรงจูงใจของเขาต้องเป็นความรัก และนำทางโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์

“จงว่ากล่าวโดยไม่ชักช้าด้วยความเฉียบขาด, เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ; และจากนั้นในเวลาต่อมาจงแสดงความรักเพิ่มขึ้นต่อคนที่ท่านว่ากล่าว, เกลือกเขาจะถือว่าท่านเป็นศัตรูของเขา;

“เพื่อเขาจะรู้ว่าความซื่อสัตย์ของท่านแข็งแกร่งยิ่งกว่าเชือกแห่งความตาย”15

วินัยในแบบแผนแห่งสวรรค์ไม่ใช่เรื่องของการทำโทษแต่เป็นเรื่องของการช่วยคนที่เรารักตามเส้นทางแห่งการควบคุมตนเอง

บิดาที่ทำงาน
ทำงานหาเลี้ยงชีพ

พระเจ้าตรัสว่า “เด็กทุกคนมีสิทธิ์ได้รับการดูแลจากบิดามารดาของตนจนกว่าพวกเขาจะบรรลุนิติภาวะ”16 การหาเลี้ยงครอบครัวเป็นงานศักดิ์สิทธิ์ การจัดหาให้ครอบครัว แม้โดยทั่วไปจะเรียกร้องการใช้เวลาจากครอบครัว แต่สอดคล้องกับความเป็นบิดา—นี่คือแก่นหลักของการเป็นบิดาที่ดี “งานและครอบครัวเป็นความรับผิดชอบที่ซ้อนทับกัน”17 แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ได้หมายความว่าชายคนหนึ่งจะเพิกเฉยต่อครอบครัวเพื่อทำแต่งาน หรือในอีกขั้วหนึ่ง ไม่พยายามทำงานและต้องการผลักหน้าที่รับผิดชอบของตนเองไปให้ผู้อื่น กษัตริย์เบ็นจามินกล่าวว่า

“ท่านจะไม่ปล่อยให้ลูกๆ ของท่านหิวโหย, หรือเปลือยเปล่า; ทั้งท่านจะไม่ปล่อยให้พวกเขาล่วงละเมิดกฎของพระผู้เป็นเจ้า, และต่อสู้และทะเลาะกัน, …

“แต่ท่านจะสอนพวกเขาให้เดินในทางแห่งความจริงและความมีสติ; ท่านจะสอนให้พวกเขารักกัน, และรับใช้กัน”18

เราทราบถึงความทุกข์ของชายที่ไม่สามารถหาหนทางและรายได้ในการค้ำจุนครอบครัวอย่างเพียงพอ ไม่มีความอับอายสำหรับผู้ที่ในเวลานั้น แม้จะพยายามสุดความสามารถแล้ว แต่ก็ไม่สามารถทำหน้าที่การงานทั้งหมดของบิดาได้ “ความพิการ ความตาย หรือสภาพการณ์อื่นๆ อาจทำให้แต่ละบุคคลจำต้องปรับตัว ญาติพี่น้องควรให้ความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น”19

บิดามารดาผู้เปี่ยมด้วยความรัก
บิดามารดากำลังเต้นรำ

ความรักที่มีต่อมารดาของลูกๆ—และการแสดงความรักนั้น—เป็นสิ่งดีที่สุดสองสิ่งที่บิดาทำได้เพื่อลูก สิ่งนี้ยืนยันความเชื่อมั่นและเสริมสร้างชีวิตแต่งงานซึ่งเป็นพื้นฐานของชีวิตครอบครัวและความมั่นคง

บิดากับลูกชายวัยรุ่น

ชายบางคนเป็นพ่อเลี้ยงลูกคนเดียว พ่อบุญธรรม หรือพ่อเลี้ยง หลายคนพยายามอย่างยิ่งและทำสุดความสามารถในบทบาทที่บ่อยครั้งยากมาก เรายกย่องผู้ที่ทำสุดความสามารถด้วยความรัก ความอดทน และการเสียสละเพื่อสนองตอบความต้องการส่วนตัวและครอบครัว เราควรทราบด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เองทรงฝากฝังพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ให้อยู่ในความดูแลของบิดาบุญธรรม แน่นอนเรายกย่องโยเซฟด้วยเพราะเมื่อพระเยซูทรงเจริญวัย พระองค์ “เจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย”20

ช่างน่าสลดใจ สาเหตุจากความตาย การทอดทิ้ง หรือการหย่าร้าง เด็กบางคนไม่ได้อาศัยอยู่กับบิดา บางคนอาจอยู่กับบิดาแค่ร่างกายแต่จิตใจของบิดานั้นไม่อยู่ หรือไม่เอาใจใส่ หรือไม่สนับสนุน เราเรียกร้องให้บิดาทุกคนทำให้ดีขึ้นและเป็นคนดีขึ้น เราเรียกร้องสื่อและวงการบันเทิงต่างๆ ให้แสดงภาพบิดาผู้มีความสามารถและอุทิศตน ผู้ที่รักภรรยาอย่างแท้จริงและนำทางลูกๆ ของตนอย่างมีสติปัญญา แทนที่จะแสดงภาพบิดาที่เฟอะฟะและเป็นตัวตลก หรือเป็น “คนที่สร้างปัญหา” ซึ่งทั้งหมดมักจะเป็นอย่างนั้น

ถึงเด็กๆ ที่สถานการณ์ครอบครัวกำลังมีปัญหา เราบอกว่าตัวท่านไม่ได้มีค่าน้อยลงเพราะสิ่งนั้นเลย บางครั้งความท้าทายเป็นการบ่งบอกว่าพระเจ้าทรงวางใจในตัวท่าน พระองค์ทรงช่วยท่านได้ ทั้งโดยตรงและผ่านผู้อื่น ให้รับมือกับสิ่งที่ท่านเผชิญ ท่านสามารถเป็นคนรุ่นแรกในครอบครัวท่าน ที่แบบแผนแห่งสวรรค์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งไว้สำหรับครอบครัวจะเป็นรูปเป็นร่างขึ้นและเป็นพรแก่คนทุกรุ่นหลังจากท่าน

ถึงเด็กหนุ่มทั้งหลาย การรับรู้ถึงบทบาทที่ท่านจะมีในฐานะผู้จัดหาและผู้ปกป้อง เราขอบอกท่านว่า จงเตรียมตัวตั้งแต่เดี๋ยวนี้โดยขยันเรียนหนังสือและวางแผนสำหรับการศึกษาหลังจบชั้นมัธยมศึกษา การศึกษาไม่ว่าจะในมหาวิทยาลัย โรงเรียนอาชีวศึกษา การฝึกงาน หรือโปรแกรมที่คล้ายๆ กัน คือกุญแจสำคัญในการพัฒนาทักษะและความสามารถที่ท่านจะต้องมี จงใช้ประโยชน์ในโอกาสที่จะคบหากับผู้คนทุกวัย รวมถึงเด็กๆ เรียนรู้วิธีสร้างสัมพันธภาพที่แน่นแฟ้นและคุ้มค่า ซึ่งโดยปกติหมายถึงการพบปะพูดคุยกันโดยตรงกับผู้คนและบางครั้งทำสิ่งต่างๆ ด้วยกัน ไม่ใช่แค่พัฒนะทักษะการส่งข้อความ จงใช้ชีวิตของท่านเพื่อว่าในฐานะลูกผู้ชาย ท่านจะนำความบริสุทธิ์มาสู่การแต่งงานและลูกๆ ของท่าน

ถึงอนุชนรุ่นหลังทุกคน เราขอบอกท่านว่า ไม่ว่าท่านจะจัดคุณพ่อของท่านอยู่ในลำดับใดระหว่าง ดี-ดีมาก-ดีที่สุด (และข้าพเจ้าคาดว่าลำดับนั้นจะสูงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อท่านเติบโตและฉลาดขึ้น) ตัดสินใจยกย่องคุณพ่อและคุณแม่ด้วยการดำเนินชีวิตของท่าน จงระลึกถึงความหวังของบิดาคนหนึ่งดังที่ยอห์นกล่าวไว้ “ไม่มีอะไรทำให้ข้าพเจ้ายินดียิ่งไปกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าลูกๆ ของข้าพเจ้าประพฤติตามความจริง”21 ความชอบธรรมของท่านคือเกียรติยศสูงสุดที่บิดาทุกคนพึงได้รับ

ถึงพี่น้องชายทั้งหลาย เหล่าบิดาในศาสนจักรนี้ ข้าพเจ้าขอเรียนว่า ข้าพเจ้าทราบว่าท่านหวังจะเป็นบิดาที่ดีพร้อมยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้าอยากเป็นเช่นนั้น กระนั้น ต่อให้เรามีขีดจำกัด ก็ขอให้เรารุดไป ขอให้เราทิ้งแนวคิดเกินจริงของปัจเจกนิยมและภาวะอิสระในวัฒนธรรมทุกวันนี้และให้คิดถึงความสุขและความผาสุกของผู้อื่นก่อน แน่นอนว่าแม้ความไม่คู่ควรของเรา พระบิดาบนสวรรค์จะทรงขยายเราและทำให้ความพยายามที่เรียบง่ายของเราบังเกิดผล ข้าพเจ้าได้รับกำลังใจจากเรื่องราวใน New Era หลายปีมาแล้ว ผู้เขียนเล่าเรื่องต่อไปนี้

“เมื่อผมยังเด็ก ครอบครัวเล็กๆ ของเราอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์หนึ่งห้องนอนบนชั้นสอง ผมนอนบนโซฟาในห้องนั่งเล่น …

“คุณพ่อของผมเป็นคนงานเหล็กกล้า ออกจากบ้านไปทำงานแต่เช้าตรู่ทุกวัน ทุกๆ เช้าท่านจะ … ห่มผ้าให้ผมและยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ผมคงกึ่งหลับกึ่งฝันเมื่อผมสัมผัสได้ว่าคุณพ่อกำลังยืนอยู่ข้างโซฟา มองมาที่ผม เมื่อผมค่อยๆ ตื่นขึ้น ผมรู้สึกอายที่คุณพ่ออยู่ตรงนั้น ผมพยายามแกล้งหลับต่อ … ผมตระหนักว่าขณะที่ท่านยืนอยู่ข้างเตียง ท่านกำลังสวดอ้อนวอนด้วยสุดใจ สุดพลัง สุดความคิด—ให้ผม

“คุณพ่อสวดอ้อนวอนให้ผมทุกเช้า ท่านสวดอ้อนวอนว่าผมจะมีความสุขตลอดวัน ผมจะปลอดภัย ผมจะเรียนรู้และเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต และเนื่องจากท่านจะไม่ได้อยู่กับผมจนกว่าจะถึงเย็น ท่านสวดอ้อนวอนให้ครูและเพื่อนๆ ที่ผมจะอยู่ด้วยในวันนั้น …

“ทีแรก ผมไม่เข้าใจว่าคุณพ่อทำอะไรทุกเช้าเหล่านั้นเมื่อท่านสวดอ้อนวอนให้ผม แต่เมื่อผมเติบโตขึ้น ผมสัมผัสถึงความรักความสนใจที่ท่านมีต่อตัวผมและทุกสิ่งที่ผมทำ นี่เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ผมชื่นชอบที่สุด จนกระทั่งหลายปีผ่านไป หลังจากผมแต่งงาน มีลูกของผมเอง และได้เข้าไปในห้องขณะที่พวกเขากำลังหลับและสวดอ้อนวอนให้พวกเขา ผมเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าคุณพ่อผมรู้สึกอย่างไรกับผม”22

แอลมาเป็นพยานต่อบุตรของท่านว่า

“ดูเถิด, พ่อกล่าวแก่ลูก, ว่าพระองค์นั่นเองที่จะเสด็จมาโดยแน่แท้ … ; แท้จริงแล้ว, พระองค์เสด็จมาเพื่อประกาศข่าวอันน่ายินดีแห่งความรอดให้ผู้คนของพระองค์.

“และบัดนี้, ลูกพ่อ, นี่คือการปฏิบัติศาสนกิจซึ่งลูกได้รับเรียกมา, เพื่อประกาศข่าวอันน่ายินดีแก่คนเหล่านี้, เพื่อเตรียมจิตใจพวกเขา; หรือ … เพื่อพวกเขาจะเตรียมจิตใจลูกๆ ของตนให้ฟังพระวจนะในเวลาแห่งการเสด็จมาของพระองค์.”23

นั่นคือการปฏิบัติศาสนกิจของบิดาในวันนี้ ขอพระผู้เป็นเจ้าประทานพรและทำให้บิดาสามารถทำดังนั้น ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน