พรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน
จงรัก จงพยายาม จงวางใจ จงเชื่อ จงเติบโตต่อไป ฟ้าสวรรค์ให้กำลังใจท่านวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป
พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้ไหม—ท่านเข้าใจไหม ท่านสงสัยไหม—ว่าเรารักท่านมากเพียงใด เป็นเวลา 10 ชั่วโมงที่ท่านดู จ้องไปที่ใบหน้าเดียวที่แท่นพูดนี้อย่างติดต่อกัน แต่สำหรับ 10 ชั่วโมงเดียวกันนั้น เรานั่งดูอยู่หลังแท่นพูดนี้ จ้องไปที่ท่าน ท่านทำให้เราตื่นเต้นจนถึงกลางใจของจิตวิญญาณเรา ไม่ว่าจะเป็น 21,000 คนที่อยู่ที่นี่ในศูนย์การประชุมใหญ่ หรือฝูงชนในอาคารประชุมและห้องนมัสการ หรืออีกหลายล้านคนในบ้านทั่วโลก บางทีจับกลุ่มกันอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ที่บ้าน ท่านอยู่ที่นี่ ท่านอยู่ที่นั่น ชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า ในชุดสุภาพเรียบร้อย เป็นตัวท่านอย่างดีที่สุด ท่านร้องเพลงและสวดอ้อนวอน ท่านฟังและเชื่อ ท่านคือปาฏิหาริย์ของศาสนจักรนี้ และเรารักท่าน
ช่างเป็นการประชุมใหญ่สามัญที่ยอดเยี่ยมมาก เราได้รับพรอย่างยิ่งที่มีประธานโธมัส เอส. มอนสันอยู่ด้วยพร้อมกับข่าวสารศาสดาพยากรณ์ของท่าน ประธานครับ เรารักท่าน เราสวดอ้อนวอนให้ท่าน เราขอบคุณท่าน และเหนือสิ่งอื่นใด เราสนับสนุนท่าน เราสำนึกคุณที่ได้รับการสอนจากท่านและที่ปรึกษาที่ยอดเยี่ยมของท่าน และผู้นำชายหญิงที่ยิ่งใหญ่คนอื่นๆ หลายท่าน เราได้รับฟังเพลงไพเราะหาที่เปรียบมิได้ เราได้รับการสวดอ้อนวอนและการวิงวอนให้โดยฉับพลัน แน่นอนว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงสถิต ณ ที่นี้อย่างล้นเหลือ ช่างเป็นสุดสัปดาห์ที่สร้างแรงบันดาลใจในทุกๆ ทาง
บัดนี้ ข้าพเจ้าเห็นปัญหาอีกสองอย่าง หนึ่งคือข้อเท็จจริงที่ว่าข้าพเจ้าเป็นเพียงบุคลเดียวที่ยืนขวางระหว่างท่านกับไอศกรีมที่ท่านเตรียมไว้รับประทานหลังจบการประชุมใหญ่สามัญ อีกปัญหาหนึ่งที่อาจเกิดขึ้นมีอยู่ในภาพนี้ซึ่งข้าพเจ้าเห็นในอินเทอร์เน็ตเมื่อไม่นานมานี้
ข้าพเจ้าขออภัยเด็กทุกคนที่ตอนนี้กำลังซ่อนอยู่ใต้โซฟา แต่ความจริงคือไม่มีใครอยากให้วันพรุ่งนี้ หรือมะรืนนี้ ทำลายความรู้สึกที่เรามีในสุดสัปดาห์นี้ เราอยากจะยึดมั่นความประทับใจทางวิญญาณที่เราได้รับและคำสอนจากการดลใจที่เราได้ยิน แต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่หลังจากช่วงเวลาแห่งสวรรค์ในชีวิตของเรา เราจำเป็นต้องกลับมายังโลก ที่บางครั้งเรายังคงต้องเผชิญกับสภาวการณ์บางอย่างซึ่งไม่ใช่อุดมคติของเรา
ผู้เขียนหนังสือฮีบรูเตือนเราเมื่อท่านเขียนว่า “จงระลึกถึงคราวก่อนนั้นหลังจากที่ได้รับความสว่างแล้ว พวกท่านได้สู้ทนต่อความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง”1 ความยากลำบากหลังจากได้รับความสว่างแล้วนั้นอาจเกิดขึ้นในหลายวิธี และสามารถเกิดกับเราทุกคนได้ แน่นอนว่าผู้สอนศาสนาทุกคนที่เคยรับใช้ตระหนักได้โดยเร็วว่าชีวิตในสนามเผยแผ่ไม่ค่อยเหมือนกับบรรยากาศหรูหราในศูนย์อบรมผู้สอนศาสนา เช่นกันกับเราทุกคนที่ออกจากศาสนพิธีพระวิหารอันชื่นใจหรือหลังจบการประชุมศีลระลึกที่มีพระวิญญาณมากเป็นพิเศษ
จงจำไว้ว่าเมื่อโมเสสลงมาจากประสบการณ์พิเศษของท่านบนภูเขาซีนาย ท่านพบว่าผู้คนของท่าน “ทำเรื่องเสื่อมเสีย” และ “หันจากทาง…อย่างรวดเร็ว”2 พวกเขาอยู่ที่เชิงเขา กำลังวุ่นอยู่กับการสร้างวัวทองคำเพื่อนมัสการ ในช่วงเวลาเดียวกับที่พระยาห์เวห์บนยอดเขาตรัสกับโมเสสว่า “ห้ามมีพระเจ้าอื่นใดนอกเหนือจากเรา” และ “ห้ามทำรูปเคารพสำหรับตน”3 โมเสส ไม่ มีความสุขกับผู้คนของท่าน ชาวอิสราเอลผู้ระเหเร่ร่อนในวันนั้น!
ระหว่างที่พระเยซูทรงปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงพาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปที่ภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพ พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระพักตร์ของพระองค์ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ ฉลองพระองค์ก็ขาวผ่องดุจแสงสว่าง”4 ฟ้าสวรรค์เปิด ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณมา และพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาตรัส
หลังจากประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์เช่นนั้น พระเยซูเสด็จลงจากภูเขามาพบสิ่งใด อย่างแรก พระองค์ทรงพบว่าสานุศิษย์ของพระองค์กับศัตรูของพวกเขากำลังถกเถียงกันเรื่องพรที่ปฏิบัติแก่เด็กชายคนหนึ่งแต่ไม่บังเกิดผล จากนั้นพระองค์ทรงพยายามบอกให้อัครสาวกสิบสองเชื่อ แต่ก็ไม่สำเร็จ ว่าอีกไม่นานพระองค์จะทรงถูกจับส่งไปยังผู้นำในท้องที่ผู้ซึ่งจะสังหารพระองค์ จากนั้นมีบางคนพูดว่าว่ายังไม่ได้จ่าย ภาษี ซึ่งได้ จ่ายไปแล้ว จากนั้นพระองค์ทรงประณามพี่น้องบางคนเพราะพวกเขากำลังโต้เถียงกันว่าใครจะเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรของพระองค์ ทั้งหมดนี้นำไปสู่ประเด็นหนึ่งที่พระองค์ตรัสว่า “โอ นี่เป็นยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับพวกท่านนานแค่ไหน?”5 พระองค์ทรงมีเหตุผลในการถามคำถามนั้นมากกว่าหนึ่งครั้ง ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ ไม่แปลกเลยที่พระองค์ทรงปรารถนาจะไปยังยอดเขาเพื่อสวดอ้อนวอนตามลำพัง!
โดยที่ตระหนักว่าเรา ทุกคน ต้องลงมาจากยอดแห่งประสบการณ์เพื่อรับมือกับชีวิตขึ้นๆ ลงๆ เป็นประจำ ข้าพเจ้าขอให้กำลังใจขณะการประชุมใหญ่สามัญสิ้นสุดลง
ก่อนอื่น ถ้าในวันข้างหน้าท่านไม่เพียงเห็นขีดจำกัดในตัวผู้คนรอบข้างแต่ยังพบองค์ประกอบในชีวิตของท่านเองด้วยที่ไม่เทียบเท่ากับข่าวสารที่ท่านได้ฟังสุดสัปดาห์นี้ ได้โปรดจงอย่าท้อแท้ใจและอย่ายอมแพ้ พระกิตติคุณ ศาสนจักร และการประชุมกึ่งปีเหล่านี้มีไว้เพื่อให้ความหวังและแรงบันดาลใจ ไม่ได้เจตนาให้ท่านหมดกำลังใจ มีเพียงปฏิปักษ์ ศัตรูของเราทุกคนเท่านั้นที่พยายามโน้มน้าวใจให้เราเชื่อว่าอุดมคติที่สรุปไว้ในการประชุมใหญ่สามัญนั้นเป็นเรื่องน่าเศร้าและไม่สมจริง ผู้คนไม่ต้องพัฒนา ไม่มีใครก้าวหน้าจริงๆ และเหตุใดลูซิเฟอร์จึงกล่าวเช่นนั้น เพราะเขารู้ว่า เขา พัฒนาไม่ได้ เขา ก้าวหน้า ไม่ได้ อนาคตของ เขา ไม่มีวันสดใสชั่วกัปชั่วกัลป์ เขาเป็นคนน่าสังเวชซึ่งถูกผูกมัดด้วยขีดจำกัดนิรันดร์ และเขาต้องการให้ท่านน่าสังเวชเช่นกัน จงอย่ายอมต่อสิ่งนั้น ด้วยของประทานแห่งการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และพลังแห่งสวรรค์ที่จะช่วยเหลือเรา เรา สามารถ พัฒนาได้ และสิ่งที่ดียิ่งเกี่ยวกับพระกิตติคุณคือเราได้รับรางวัลสำหรับ ความพยายาม แม้เราจะไม่ประสบผลสำเร็จเสมอไป
เมื่อมีการโต้เถียงกันในศาสนจักรสมัยแรกเริ่มเกี่ยวกับ เรื่องที่ว่าใครมีสิทธิ์และไม่มีสิทธิ์ได้รับพรจากสวรรค์ พระเจ้าทรงประกาศแก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “เพราะตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, [ของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า] ให้ไว้เพื่อประโยชน์ของคนเหล่านั้นที่รักเราและรักษาบัญญัติ…ของเรา, และ [สำหรับคน] ที่ หมายมั่น จะทำเช่นนั้น”6 เรา ทุกคน สำนึกคุณสำหรับเงื่อนไขที่เพิ่มมานั้น “และ…หมายมั่นจะทำเช่นนั้น”! สิ่งนั้นช่วยชีวิตเราไว้จริงๆ เพราะบางครั้งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เรามีให้ได้! เรารู้สึกสบายใจในข้อเท็จจริงที่ว่าหากพระผู้เป็นเจ้าจะประทานรางวัลให้แก่คนที่ซื่อสัตย์อย่างสมบูรณ์เท่านั้น พระองค์คงจะมีรายชื่อให้ทรงแจกรางวัลไม่มากนัก
ขอให้จำไว้ว่าวันพรุ่งนี้ และทุกวันหลังจากนั้น พระเจ้าประทานพรแก่ผู้ที่ ต้องการ จะพัฒนา ผู้ที่ยอมรับความจำเป็นของพระบัญญัติและ พยายาม รักษา ผู้ที่ยึดมั่นคุณธรรมเหมือนพระคริสต์และ พยายาม สุดความสามารถเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น ถ้าท่านสะดุดล้มเป็นครั้งคราวในความพยายามนั้น เช่นเดียวกับทุกคน พระผู้ช่วยให้รอดทรงอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยให้ท่านดำเนินต่อไป ถ้าท่านล้มลง จงทูลขอพลังของพระองค์ จงร้องหาดังที่แอลมากล่าว “ข้าแต่พระเยซู… ขอพระองค์ทรงเมตตาข้าพระองค์”7 พระองค์จะทรงช่วยให้ท่านหยัดยืนขึ้นมาใหม่ พระองค์จะทรงช่วยให้ท่านกลับใจ ชดใช้ แก้ไขทุกสิ่งที่ท่านต้องแก้ไข และพยายามต่อไป ไม่นานท่านจะประสบความสำเร็จดังที่ท่านต้องการ
“แม้เจ้าปรารถนาจากเราฉันใด มันจะบังเกิดกับเจ้าฉันนั้น” พระเจ้าตรัส
“…จงวางใจในพระวิญญาณองค์นั้นซึ่งนำให้ทำดี—แท้จริงแล้ว, ให้ทำอย่างเที่ยงธรรม, ให้เดินอย่างถ่อมตน, ให้พิพากษาอย่างชอบธรรม …
“… [จากนั้น] ไม่ว่าอะไรก็ตามที่เจ้าปรารถนาจากเรา, … เจ้าจะได้รับ”8
ข้าพเจ้าชื่นชอบหลักคำสอนนั้น! ซึ่งบอกอีกครั้งอีกคราว่าเราจะได้รับพรสม ความปรารถนา ของเราที่จะทำความดี แม้ขณะที่เราพยายามทำเช่นนั้นจริงๆ และยังเตือนเราว่าการมีคุณสมบัติคู่ควรแก่พรเหล่านั้น เราต้องแน่ใจว่าเราไม่กีดกันผู้อื่นจากพร เราต้องปฏิบัติอย่างเที่ยงธรรม อย่าปฏิบัติอย่างไม่เที่ยงธรรม อย่าลำเอียง เราต้องเดินอย่างถ่อมตน ไม่เหยิ่งผยอง ไม่จองหอง เราต้องพิพากษาอย่างชอบธรรม ไม่ยกตนเองเหนือกว่าผู้อื่น อย่าพิพากษาอย่างไม่ชอบธรรม
พี่น้องทั้งหลาย พระบัญญัติ ข้อสำคัญข้อแรกที่เกี่ยวข้องกับนิรันดรคือรักพระผู้เป็นเจ้าด้วยสุดใจ สุดพลัง สุดความนึกคิด และสุดพละกำลัง ของเรา—นั่นคือพระบัญญัติข้อสำคัญข้อแรก แต่ ความจริง ข้อสำคัญข้อแรกที่เกี่ยวข้องกับนิรันดรคือพระผู้เป็นเจ้าทรงรัก เรา ด้วยสุดพระทัย สุดพระพลานุภาพ สุดพระปรีชาสามารถ และสุดพระฤทธานุภาพ ของพระองค์ ความรักนั้นคือศิลารากฐานของนิรันดร และควรเป็นศิลารากฐานในชีวิตประจำวันของท่าน โดยแท้แล้ว มีเพียงพลังความรู้สึกถึงการรับรองซึ่งกรุ่นอยู่ในใจเราเท่านั้นที่ทำให้เรามีความมั่นใจที่จะพยายามพัฒนา แสวงหาการอภัยบาปของเรา และแสดงคุณงามความดีนั้นต่อเพื่อนบ้านของเราต่อไปได้
ครั้งหนึ่งประธานจอร์จ คิว. แคนนอนสอนว่า “ไม่ว่าการทดลองจะหนักหนาสาหัสเพียงใด ความเศร้าหมองจะลึกซึ้งเพียงใด ความทุกข์ใจจะใหญ่หลวงแค่ไหน [พระผู้เป็นเจ้า] จะไม่ทรงทอดทิ้งเรา พระองค์ไม่เคยทำเช่นนั้น และจะไม่ทำ พระองค์ทรงทำไม่ได้ ไม่ใช่พระอุปนิสัยของพระองค์ [ที่จะทำเช่นนั้น] … พระองค์จะทรงยืนข้างเรา [เสมอ] เราอาจจะผ่านเตาไฟที่ลุกโชน เราอาจจะผ่านสายน้ำลึก แต่เราจะไม่ถูกเผาไหม้หรือจมมิด เราจะออกมาจากการทดลองและความยากลำบากเหล่านี้เป็นคนที่ดีกว่าและบริสุทธิ์กว่า”9
บัดนี้ หากพระบารมีจากสวรรค์คือสิ่งที่เกิดขึ้นตลอดเวลาในชีวิตเรา แสดงให้ประจักษ์อย่างบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบที่สุดในพระชนม์ชีพ การสิ้นพระชนม์ และการชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เราสามารถหนีผลของบาปและความโง่เขลา—ของเราเองหรือของคนอื่น—ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับเราในรูปแบบใดก็ตามในวิถีของการดำเนินชีวิตประจำวัน ถ้าเราถวายใจแด่พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเรารักพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ถ้าเราทำสุดความสามารถในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ เมื่อนั้นวันพรุ่งนี้—และวันอื่นๆ ทุกวัน—จะดีเลิศในที่สุด แม้ว่าเราจะไม่สังเกต เพราะเหตุใดหรือ เพราะพระบิดาบนสวรรค์ทรงต้องการให้เป็นเช่นนั้น! พระองค์ทรงประสงค์จะประทานพรเรา ชีวิตที่คุ้มค่า บริบูรณ์ และเป็นนิรันดร์คือวัตถุประสงค์ของแผนอันเปี่ยมด้วยพระเมตตาสำหรับบุตรธิดาของพระองค์! แผนซึ่งตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง “ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า”10 ดังนั้นจงรัก จงพยายาม จงวางใจ จงเชื่อ จงเติบโตต่อไป ฟ้าสวรรค์จะให้กำลังใจท่านวันนี้ พรุ่งนี้ และตลอดไป
“ท่านรู้แล้วไม่ใช่หรือ? ท่านเคยได้ยินไม่ใช่หรือ?” อิสยาห์ป่าวร้อง
“[พระผู้เป็นเจ้า] ประทานกำลังแก่คนอ่อนเปลี้ย และผู้ไม่มีพลังนั้นพระองค์ทรงให้มีเรี่ยวแรงมาก …
“… เขาทั้งหลายผู้รอคอย [พระองค์] จะได้รับกำลังใหม่ เขาจะบินขึ้นด้วยปีกเหมือนนกอินทรี …
“เพราะ … ยาห์เวห์ … พระเจ้า … ฉวยมือขวาของ [พวกเขา] ไว้ … พูดกับ [พวกเขา] ว่า อย่ากลัวเลย เราเองจะช่วยเจ้า”11
พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระบิดาในสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยรักประทานพรเราวันพรุ่งนี้ให้จดจำสิ่งที่เราสัมผัสได้วันนี้ ขอพระองค์ประทานพรให้เราชื่นชอบและพยายามด้วยความมานะบากบั่นไปสู่อุดมคติที่เราได้ยินเสียงประกาศในการประชุมใหญ่สุดสัปดาห์นี้ โดยรู้ว่าความรักจากสวรรค์และความช่วยเหลืออันไม่สิ้นสุดของพระองค์จะอยู่กับเราแม้เมื่อเราประสบปัญหา—ไม่สิ จะอยู่กับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราประสบปัญหา
ถ้าดูเหมือนว่ามาตรฐานพระกิตติคุณจะสูงส่งและการพัฒนาส่วนตัวที่ต้องการในวันข้างหน้าดูเหมือนจะเอื้อมไม่ถึง จงจำถ้อยคำให้กำลังใจที่โยชูวากล่าวกับผู้คนของท่านเมื่อพวกเขาเผชิญอนาคตที่น่าหวาดหวั่น “จงชำระตัวให้บริสุทธิ์” ท่านกล่าว “เพราะว่าพรุ่งนี้พระยาห์เวห์จะทรงทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน”12 ข้าพเจ้า ขอให้สัญญาเดียวกันนั้น ซึ่งคือสัญญาของการประชุมใหญ่นี้ สัญญาของศาสนจักรนี้ สัญญาของพระองค์ผู้ทรงกระทำสิ่งอัศจรรย์เหล่านั้น ผู้ที่ทรงเป็น “ที่ปรึกษามหัศจรรย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ … องค์สันติราช”13 ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระองค์ และต่อพระองค์การประชุมใหญ่นี้ยืนเป็นพยานถึงงานอันไม่หยุดยั้งของพระองค์ในยุคสุดท้ายที่ยิ่งใหญ่นี้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน