2010–2019
เราจะทำอย่างไรดี
เมษายน 2016


11:52

เราจะทำอย่างไรดี

เราเสริมสร้างอาณาจักรเมื่อเราบำรุงเลี้ยงผู้อื่น เราเสริมสร้างอาณาจักรเมื่อเราพูดและเป็นพยานถึงความจริง

ไม่นานหลังจากพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ อัครสาวกเปโตรสอนว่า “ให้ … ทั้ง‌หมดทราบแน่‌นอนว่า พระ‌เจ้าทรงแต่ง‌ตั้งพระ‌เยซูที่ท่านทั้ง‌หลายตรึงไว้บนกาง‌เขนนั้น ให้เป็นทั้งองค์พระ‌ผู้‌เป็น‌เจ้าและพระ‌คริสต์” ผู้ฟังรู้สึกแปลบปลาบใจและถามเปโตรและคนอื่นๆ ว่า “พี่‌น้องเอ๋ย เราจะทำอย่าง‌ไรดี ?”1 หลังจากนั้นพวกเขาเชื่อฟังคำสอนของเปโตรด้วยความยินดี

พรุ่งนี้เป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์ และดิฉันหวังว่าเราจะได้รับผลกระทบในใจเช่นกันที่จะสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระผู้ช่วยให้รอด กลับใจและเชื่อฟังด้วยความยินดี

ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งนี้เราจะได้รับฟังการนำทางที่ได้รับการดลใจจากผู้นำศาสนจักรทั้งชายและหญิง ดิฉันทราบว่าเราจะรู้สึกซาบซึ้งใจกับถ้อยคำของพวกท่าน คืนนี้ดิฉันถามท่านว่า “พี่น้องสตรีเอ๋ย เราจะทำอย่างไรดี?”

ประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ เอไลซา  อาร์. สโนว์ ประกาศต่อพี่น้องสตรีเมื่อเกือบ 150 ปีก่อนว่า “พระเจ้าทรงวางความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งแก่เรา” 2 ดิฉันเป็นพยานว่าข้อประกาศนั้นยังเป็นความจริงจนถึงทุกวันนี้

ศาสนจักรของพระเจ้าต้องการสตรีที่ได้รับการนำทางโดยพระวิญญาณผู้ที่ใช้ของประทานพิเศษเพื่อบำรุงเลี้ยง ประกาศ และปกป้องความจริงแห่งพระกิตติคุณ การดลใจและสัญชาตญาณของเราจำเป็นต่อการเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งหมายถึงการทำส่วนของเราเพื่อนำความรอดมาสู่ลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้า

การเสริมสร้างอาณาจักรโดยการบำรุงเลี้ยง

เราเสริมสร้างอาณาจักรเมื่อเราบำรุงเลี้ยงผู้อื่น แต่ลูกคนแรกของพระผู้เป็นเจ้าที่เราต้องเสริมสร้างในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูคือตัวเราเอง เอ็มมา สมิธกล่าวว่า “ดิฉันปรารถนาให้พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักและเข้าใจดิฉัน เพื่อดิฉันจะสามารถเอาชนะธรรมเนียมประเพณีหรือธรรมชาติวิสัยใดก็ตามที่ไม่เอื้อประโยชน์ต่อความสูงส่งของดิฉัน”3 เราต้องสร้างฐานศรัทธาแข็งแกร่งดังศิลาในพระกิตติคุณของพระผู้ช่วยให้รอดและก้าวไปข้างหน้าสู่ความสูงส่ง โดยเปี่ยมด้วยพลังของพันธสัญญาพระวิหาร

หากธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของเราไม่มีที่ในพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์เล่า การปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปอาจต้องการความช่วยเหลือทางด้านอารมณ์และการบำรุงเลี้ยงจากคนอื่น ซึ่งเกิดขึ้นกับดิฉัน

เมื่อดิฉันเกิด คุณพ่อคุณแม่ปลูกต้นแมกโนเลียไว้ที่ส่วนหลังบ้านเพื่อที่จะมีดอกแมกโนเลียในงานแต่งงานของดิฉันซึ่งควรจะจัดที่โบสถ์โปรเตสแตนต์ของบรรพบุรุษ แต่ในวันแต่งงานดิฉันไม่มีคุณพ่อคุณแม่อยู่เคียงข้างและไม่มีดอกแมกโนเลีย เพราะโดยที่เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเข้าสู่ศาสนจักรได้หนึ่งปี ดิฉันต้องเดินทางไปซอลท์เลคซิตี้ ยูทาห์ เพื่อรับการเอ็นดาวเม้นท์และผนึกกับเดวิดคู่หมั้นของดิฉัน

เมื่อออกจากรัฐลุยเซียนาจนเข้าใกล้รัฐยูทาห์ ความรู้สึกเป็นคนไร้บ้านท่วมท้น ตัวดิฉัน ก่อนพิธีแต่งงาน ดิฉันต้องไปพักอยู่กับภรรยาใหม่ของคุณตาของเดวิด ผู้เป็นที่รักซึ่งรู้จักกันในนามป้าแครอล

ที่นี่ดิฉันเป็นคนแปลกหน้าของยูทาห์ ต้องไปอยู่บ้านของคนแปลกหน้าก่อนรับการผนึก—เพื่อนิรันดร—กับครอบครัวที่ดิฉันแทบไม่รู้จักเลย (ดีนะที่ดิฉันรักและไว้ใจสามีในอนาคตและพระเจ้า!)

ขณะดิฉันยืนอยู่หน้าประตูบ้านของป้าแครอล ดิฉันอยากถอยกลับ ประตูเปิดอยู่—ดิฉันยืนอยู่ที่นั่นเหมือนกระต่ายที่ตื่นกลัว—และป้าแครอลโดยไม่พูดอะไรสักคำ ยื่นแขนมาคว้าดิฉันไปกอด เธอผู้ไม่มีลูกของตนเอง เธอรู้—ใจแห่งการบำรุงเลี้ยงของเธอรู้—ว่าฉันต้องการที่พึ่งพิง โอ ช่วงเวลานั้นช่างหอมหวานปลื้มประโลมใจ! ความกลัวสูญสลาย และสิ่งที่เข้ามาในความรู้สึกของดิฉันคือมีที่ยึดเหนี่ยวที่ปลอดภัยทางวิญญาณ แล้ว

ความรักคือการทำให้มีที่ว่างในชีวิตสำหรับคนอื่น เหมือนป้าแครอลทำให้ดิฉัน

ที่จริงมารดาสร้างที่ว่างในร่างกายเพื่อบำรุงเลี้ยงทารกในครรภ์—และหวังว่าจะมีที่ในหัวใจขณะที่เลี้ยงดูพวกเขาด้วย—แต่การบำรุงเลี้ยงไม่จำกัดเพียงการให้กำเนิดลูกเท่านั้น เอวามีชื่อว่า “มารดา” ก่อนที่เธอจะมีลูก4 และดิฉันเชื่อว่า “การเป็นแม่” หมายถึง “ให้ชีวิต” ลองนึกถึงวิธีต่างๆ มากมายที่ท่านให้ชีวิต นั่นอาจหมายถึงให้ชีวิตทางอารมณ์แก่ผู้สิ้นหวังหรือให้ชีวิตทางวิญญาณแก่ผู้สงสัย ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราสามารถสร้างสถานพยาบาลทางอารมณ์สำหรับผู้ถูกเลือกปฏิบัติ ผู้ถูกปฏิเสธ และคนแปลกหน้า ในวิธีอ่อนโยนแต่เปี่ยมพลังเช่นนี้ เราเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องสตรีทั้งหลาย เราทุกคนมายังแผ่นดินโลกด้วยของประทานแห่งความเป็นมารดา ที่ให้ชีวิต บำรุงเลี้ยง เพราะนั่นคือแผนของพระผู้เป็นเจ้า

การทำตามแผนของพระองค์และมาเป็นผู้เสริมสร้างอาณาจักรเรียกร้องให้เสียสละอย่างไม่เห็นแก่ตัว เอ็ลเดอร์ออร์สัน เอฟ. วิทนีย์เขียนว่า “ทุกสิ่งที่เราทนทุกข์และสู้ทน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราอดทนอย่างอดกลั้น …ชำระใจเราให้บริสุทธิ์…ทำให้เราอ่อนโยนและมีจิตกุศลมากขึ้น…และโดยผ่าน …งานหนักและความยากลำบาก เราจึงได้รับความรู้เพิ่มขึ้น …ซึ่งทำให้เราเป็นเหมือนพระบิดาพระมารดาในสวรรค์มากขึ้น”5 การทดลองที่ชำระให้บริสุทธิ์เหล่านี้นำเราสู่พระคริสต์ ผู้ทรงสามารถเยียวยาเราและทำให้เรามีประโยชน์ต่องานแห่งความรอด

การเสริมสร้างอาณาจักรผ่านการพูดและการเป็นพยาน

เราเสริมสร้างอาณาจักรด้วยเมื่อเราพูดและเป็นพยานถึงความจริง เราทำตามแบบแผนของพระเจ้า พระองค์ตรัสและทรงสอนด้วยพลังและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า พี่น้องสตรี เราก็ทำได้ โดยส่วนใหญ่สตรีชอบพูดคุยและชุมนุมกัน! ขณะที่เราทำงานโดยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตที่ได้รับมอบหมายแก่เรา การพูดคุยและชุมนุมของเราจะเติบโตเป็นการนำทางและการสอนพระกิตติคุณ

ซิสเตอร์จูลี บี. เบค อดีตประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญ สอนว่า “ความสามารถที่จะคู่ควรได้รับการเปิดเผยส่วนตัวและปฏิบัติตามนั้นนับเป็นทักษะเฉพาะตัวที่สำคัญที่สุดซึ่งฝึกฝนได้ในชีวิตนี้ … สิ่งนี้เรียกร้องความพยายามอย่างตั้งใจ” 6

การเปิดเผยส่วนตัวจากพระวิญญาณบริสุทธิ์จะกระตุ้นเตือนเราให้เรียนรู้ พูด และกระทำตามความจริงนิรันดร์—ความจริงของพระผู้ช่วยให้รอด เรายิ่งทำตามพระคริสต์ เราจะยิ่งรู้สึกถึงความรักและการนำทางของพระองค์ ยิ่งรู้สึกถึงความรักและการนำทางของพระองค์มากเท่าใด ก็จะยิ่งต้องการพูดและสอนความจริงดังที่พระองค์ทรงสอนมากเท่านั้น แม้ในยามที่เราเผชิญกับการต่อต้าน

หลายปีก่อนดิฉันสวดอ้อนวอนขอถ้อยคำที่จะปกป้องความเป็นแม่เมื่อได้รับโทรศัพท์จากผู้ไม่ประสงค์จะออกนาม

ผู้โทรศัพท์มาถามว่า “คุณคือนีลล์ แมร์ริออตต์ แม่ของ ครอบครัวใหญ่ใช่หรือไม่”

ดิฉันตอบอย่างร่าเริงว่า “ใช่ค่ะ!” คาดว่าจะได้ยินเธอพูดประมาณว่า “แหม ดีจัง!”

แต่ไม่ใช่! ดิฉันไม่มีวันลืมคำตอบจากเสียงตะคอกใส่โทรศัพท์ของเธอ: “ฉันไม่พอใจมากรู้ไหม ที่เธอนำลูกๆ มาสู่ดาวเคราะห์ที่คนล้นโลกใบนี้!”

“โอ” ดิฉันละล่ำละลักไปว่า “ดิฉันเข้าใจความรู้สึกคุณ”

เธอกรี๊ดมาว่า “ไม่—เธอไม่เข้าใจหรอก!”

ดิฉันตอบเบาๆ ว่า “ค่ะ อาจจะไม่”

เธอเริ่มโวยวายถึงความโง่เขลาของดิฉันที่เลือกเป็นแม่ ขณะเธอพูดไปเรื่อยๆ ดิฉันเริ่มสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือและความคิดที่อ่อนโยนก็มาสู่จิตใจ: “พระเจ้าจะตรัสกับเธออย่างไร” จากนั้นดิฉันรู้สึกว่ายืนอยู่บนฐานมั่นคงและกล้าขึ้นเมื่อคิดถึงพระเยซูคริสต์

ดิฉันตอบ “ดิฉันยินดีที่ได้เป็นแม่ และดิฉันสัญญากับคุณว่าจะทำทุกอย่างด้วยพลังอำนาจที่ฉันมีเพื่อบำรุงเลี้ยง ลูกๆ ในทางที่จะทำให้พวกเขาสร้างสรรค์โลกนี้ให้ดีขึ้น”

เธอตอบว่า “หวังว่าเธอจะทำอย่างนั้น!” แล้ววางหู

นั่นไม่ใช่เรื่องใหญ่—เหนือสิ่งใด ดิฉันยืนอย่างปลอดภัยในครัวของดิฉันเอง! แต่ตามวิธีที่เล็กน้อยของดิฉัน ดิฉันสามารถพูดปกป้องครอบครัว มารดา และผู้บำรุงเลี้ยงเพราะสองสิ่ง: (1) ดิฉันเข้าใจและเชื่อหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าเรื่องครอบครัว และ(2) ดิฉันสวดอ้อนวอนขอถ้อยคำที่จะสื่อถึง ความจริงเหล่านี้

ความแปลกแยกและแตกต่างจากโลกจะนำมาซึ่งการวิพากษ์วิจารณ์ แต่เราต้องยึดตนเองให้แน่นกับหลักธรรมนิรันดร์และเป็นพยานถึงหลักธรรมเหล่านี้ ไม่ว่าโลกจะตอบอย่างไร

เมื่อถามตนเองว่า “เราจะทำอย่างไรดี” ให้เราไตร่ตรองคำถามนี้ “พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำสิ่งใดอยู่ตลอดเวลาหรือ” พระองค์ทรงบำรุงเลี้ยง ทรงสร้าง ทรงสนับสนุนการเติบโตและความดีงาม พี่น้องสตรีทั้งหลาย เราทำสิ่งเหล่านี้ได้! เด็กหญิงในปฐมวัยทั้งหลาย มีใครในครอบครัวของหนูที่ต้องการความรักและความเมตตาของหนูไหม ท่านเสริมสร้างอาณาจักรโดยการบำรุงเลี้ยงผู้อื่นเช่นกัน

การสร้างโลกของพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งพระบิดา ทรงกำกับดูแล เป็นการบำรุงเลี้ยงที่ทรงอานุภาพ ทรงเตรียมสถานที่ให้เราเติบโตและพัฒนาศรัทธาในอำนาจการชดใช้ของพระองค์ ศรัทธาในพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์เป็นที่ที่ดีที่สุดสำหรับการเยียวยา ความหวัง การเติบโตและจุดประสงค์ ทุกคนต้องการมีที่พึ่งพิงทางวิญญาณและทางร่างกาย เรา พี่น้องสตรีทุกวัย สามารถสร้าง สิ่งนี้ได้ ซึ่งเป็นแม้สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์

ความรับผิดชอบที่สำคัญยิ่งของเราคือเป็นสตรีที่ติดตามพระผู้ช่วยให้รอด สตรีที่บำรุงเลี้ยงด้วยการดลใจ และดำเนินชีวิตในความจริงอย่างไร้ความกลัว ขณะที่เราขอพระบิดาในสวรรค์ให้ทรงทำให้เราเป็นผู้สร้างอาณาจักรของพระองค์ เดชานุภาพของพระองค์จะหลั่งรินมาสู่เราและเราจะรู้ว่าจะบำรุงเลี้ยงอย่างไร และท้ายที่สุดเราจะเป็นเหมือนบิดามารดาบนสวรรค์ของเรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. กิจการ 2:36–37.

  2. เอไลซา อาร์. สโนว์ ใน Daughters in My Kingdom: The History and Work of Relief Society (2011), 42.

  3. เอ็มมา สมิธ, ใน Daughters in My Kingdom, 12.

  4. ดู ปฐมกาล 3:20.

  5. ออร์สัน เอฟ. วิทนีย์ ใน สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ Faith Precedes the Miracle (1972), 98. (หรือ ดู คู่มือครูคำสอนพระกิตติคุณ พระคริสตธรรมคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม บทที่ 32 “ข้าทราบว่าพระผู้ไถ่ของข้าทรงพระชนม์อยู่” หน้า 177)

  6. จูลี บี. เบค “ในกาลครั้งนั้น เราจะเทพระวิญญาณของเรามาเหนือกระทั่งคนใช้ชายหญิง,” เลียโฮนา, พฤษภาคม 2010 หน้า 12