ฉันจะนำความสว่างแห่งพระกิตติคุณมาสู่บ้านของฉัน
เราสามารถนำความสว่างแห่งพระกิตติคุณมาสู่บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานของเราได้ถ้าเรามองหาและแบ่งปันสิ่งดีๆ เกี่ยวกับคนอื่น
เพื่อตอบรับคำเชื้อเชิญของซิสเตอร์ลินดา เค. เบอร์ตันที่การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน1 พวกท่านหลายคนมีส่วนร่วมในงานแห่งจิตกุศลที่เอื้ออาทรและเอื้อเฟื้อซึ่งมุ่งเน้นที่การตอบสนองความต้องการของผู้อพยพในท้องที่ของท่าน ตั้งแต่ความพยายามเรียบง่ายแบบตัวต่อตัวไปจนถึงโปรแกรมระดับชุมชน การกระทำเหล่านี้เป็นผลมาจากความรัก เมื่อท่านแบ่งปันเวลา พรสวรรค์ และทรัพยากรของท่าน หัวใจของท่านกับของผู้อพยพเบาขึ้น การสร้างความหวังและศรัทธาและแม้ความรักที่เพิ่มขึ้นระหว่างผู้รับกับผู้ให้คือผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ของจิตกุศลที่แท้จริง
ศาสดาพยากรณ์โมโรไนบอกเราว่าจิตกุศลคือคุณลักษณะสำคัญของผู้ที่จะอยู่กับพระบิดาบนสวรรค์ในอาณาจักรซีเลสเชียล ท่านเขียนว่า “เว้นแต่ท่านจะมีจิตกุศลท่านจะไม่มีทางได้รับการช่วยให้รอดในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าได้”2
แน่นอน พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมของจิตกุศล การเสนอตนในโลกก่อนเกิดเพื่อมาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด การปฏิสัมพันธ์ตลอดพระชนม์ชีพมรรตัย ของประทานอันยิ่งใหญ่แห่งการชดใช้ และความพยายามต่อเนื่องในการนำเรากลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์คือการแสดงออกอย่างสูงสุดถึงจิตกุศล พระองค์ทรงทำงานโดยมุ่งเน้นสิ่งเดียว นั่นคือความรักสำหรับพระบิดาซึ่งแสดงผ่านความรักที่มีให้เรา เมื่อถามถึงพระบัญญัติข้อสำคัญที่สุด พระเยซูตรัสตอบว่า
“จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน
“นั่นแหละเป็นพระบัญญัติข้อสำคัญอันดับแรก
“ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”3
วิธีสำคัญที่สุดวิธีหนึ่งที่เราสามารถพัฒนาและแสดงความรักให้เพื่อนบ้านได้คือการมีน้ำใจทั้งในความคิดและคำพูดของเรา หลายปีมาแล้ว เพื่อนที่รักคนหนึ่งบอกว่า “จิตกุศลในแบบที่ดีที่สุดคือการไม่ตัดสินคนอื่น”4 สิ่งนั้นยังคงเป็นจริงในทุกวันนี้
ไม่นานมานี้ หนูน้อยอลิสซาอายุสามขวบดูหนังกับพี่น้องของเธอ เธอให้ความเห็นพร้อมแสดงสีหน้าฉงนใจว่า “แม่คะ ไก่ตัวนั้นแปลกมาก!”
คุณแม่ของเธอมองไปที่จอภาพและยิ้มพร้อมตอบว่า “ที่รักจ๊ะ นั่นคือนกยูง”
เช่นเดียวกับเด็กอายุสามขวบที่ไม่รู้จักนกยูง บางครั้งเรามองผู้อื่นด้วยความเข้าใจที่ไม่สมบูรณ์หรือไม่ถูกต้อง เราอาจมุ่งเน้นที่ความแตกต่างและสังเกตเห็นข้อบกพร่องในผู้คนรอบตัวเราขณะที่พระบิดาบนสวรรค์ทอดพระเนตรบุตรธิดาซึ่งพระองค์ทรงสร้างตามรูปลักษณ์นิรันดร์ของพระองค์ ศักยภาพอันยิ่งใหญ่และเรืองโรจน์
บางคนเคยได้ยินประธานเจมส์ อี. เฟาสท์กล่าวว่า “ยิ่งข้าพเจ้ามีอายุมากขึ้นเท่าไร ข้าพเจ้ายิ่งตัดสินคนอื่นน้อยลงเท่านั้น”5 สิ่งนี้ทำให้ดิฉันนึกถึงคำพูดของอัครสาวกเปาโล
“เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าพูดอย่างเด็ก คิดอย่างเด็ก หาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้า [สูงวัยขึ้น] ข้าพเจ้าก็เลิกอาการของเด็ก
“เพราะว่าเวลานี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะเห็นแบบหน้าต่อหน้า เวลานี้ข้าพเจ้ารู้เพียงบางส่วน แต่เวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้งเหมือนพระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า”6
เมื่อเราเห็นความไม่ดีพร้อมของเราอย่างชัดเจนมากขึ้น เราจะไม่อยากมองผู้อื่นผ่าน “กระจก สลัวๆ” เราอยากจะใช้ความสว่างของพระกิตติคุณเพื่อมองคนอื่นอย่างที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมอง—ด้วยความเมตตา ความหวัง และจิตกุศล จะมีวันหนึ่งที่เราจะเข้าใจหัวใจของผู้อื่นอย่างสมบูรณ์และจะขอบพระทัยที่ได้รับพระคุณ—เช่นเดียวกับที่เราให้ความคิดและคำพูดที่มีจิตกุศลแก่ผู้อื่นในชีวิตนี้
หลายปีมาแล้ว ดิฉันไปพายเรือแคนูกับเยาวชนหญิงกลุ่มหนึ่ง ทะเลสาบสีน้ำเงินล้อมรอบด้วยเนินเขาเขียวชอุ่มและภูผาหินมีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ น้ำเป็นประกายระยิบระยับบนไม้พายของเราเมื่อเราจุ่มลงไปในน้ำใสสะอาด และดวงอาทิตย์ส่องแสงอย่างอบอุ่นขณะเราพายเรือข้ามทะเลสาบอย่างราบรื่น
อย่างไรก็ตาม ไม่นานเมฆบดบังท้องฟ้าและลมเริ่มพัดแรง หากจะพายเรือต่อไป เราต้องจุ่มไม้พายลึกลงไปน้ำมากขึ้นอีก พายโดยไม่หยุดระหว่างจังหวะพาย หลังจากหลายชั่วโมงอันเหนื่อยล้าของการออกแรงหนัก ในที่สุดเราก็เลี้ยวไปอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบที่กว้างใหญ่และด้วยความประหลาดใจและดีใจเราพบว่าลมพัดไปยังทิศทางที่เราต้องการจะไป
เรารีบใช้ประโยชน์จากของประทานนี้ทันที เราดึงผ้าคลุมผืนเล็กๆ ออกมาและผูกหัวมุมผ้ากับด้ามไม้พายและอีกหัวมุมหนึ่งงผูกกับเท้าของสามีดิฉัน ซึ่งเขายื่นเท้าไปบนกราบเรือ ลมทำให้ใบเรือที่ทำขึ้นเองพอง และเรือก็แล่นฉิว!
เมื่อเยาวชนหญิงบนเรือแคนูอีกลำเห็นว่าเราเคลื่อนที่บนน้ำได้อย่างง่ายดาย พวกเธอจึงทำใบเรือของตนเองเช่นกัน หัวใจของเราเบาหวิวด้วยเสียงหัวเราะและการผ่อนคลาย ขอบพระทัยสำหรับการพักผ่อนจากความท้าทายของวัน
เช่นเดียวกับลมที่ทำให้รื่นรมย์นั้น คำชมจากเพื่อน คำทักทายที่สดใสของพ่อแม่ การพยักหน้าเห็นด้วยของพี่น้อง หรือรอยยิ้มของเพื่อนร่วมงานหรือเพื่อนร่วมชั้นเรียน ก็เหมือนกับ “ลมอันสดชื่นที่พัดใบเรือของเรา” ขณะเราเผชิญหน้ากับความท้าทายของชีวิต! ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวไว้ดังนี้ “เราไม่สามารถกำหนดทิศทางลมได้ แต่เราสามารถปรับใบเรือได้ เพื่อให้มีความสุข สันติ และความอิ่มเอมใจสูงสุด ขอให้เรา เลือก เจตคติที่ดี”7
ถ้อยคำมีพลังอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งให้กำลังใจและบ่อนทำลาย เราทุกคนคงจำได้ถึงถ้อยคำที่ทำให้เราหมดกำลังใจและถ้อยคำอื่นๆ ที่กล่าวด้วยความรักซึ่งทำให้จิตใจเราโบยบิน การเลือกพูดสิ่งที่ดีเกี่ยวกับคนอื่น—หรือพูดกับผู้อื่น—ยกระดับจิตใจและเสริมกำลังให้ผู้คนรอบตัวเราและช่วยให้ผู้อื่นเดินตามทางของพระผู้ช่วยให้รอด
เมื่อสมัยยังเป็นเด็ก ดิฉันมุ่งมั่นกับการปักผ้าในประโยคที่เรียบง่ายว่า “ฉันจะนำความสว่างแห่งพระกิตติคุณมาสู่บ้านของฉัน” บ่ายวันหนึ่ง ขณะที่พวกเราดึงเข็มขึ้นลงผ่านผืนผ้า คุณครูของเราเล่าเรื่องราวของเด็กหญิงคนหนึ่งผู้อาศัยอยู่บนเนินเขาในฝั่งหนึ่งของหุบเขา ทุกเย็นเธอสังเกตเห็นบ้านหลังหนึ่งมีหน้าต่างสีทองประกายอยู่บนเนินเขาอีกฟากหนึ่งของหุบเขา บ้านของเธอเองหลังเล็กและทรุดโทรม และเด็กหญิงคนนั้นฝันว่าได้อาศัยอยู่ในบ้านอันสวยงามหลังนั้นที่มีหน้าต่างทองคำ
วันหนึ่งเด็กหญิงคนนั้นได้รับอนุญาตให้ขี่จักรยานข้ามหุบเขา เธอขี่อย่างกระตือรือร้นจนมาถึงบ้านที่มีหน้าต่างทองคำที่เธอชื่นชอบมานาน แต่เมื่อเธอลงมาจากจักรยาน เธอเห็นว่าบ้านหลังนั้นถูกทิ้งและชำรุดทรุดโทรม มีวัชพืชขึ้นรกสนามหญ้าและมีหน้าต่างธรรมดาๆ และสกปรก ด้วยความเศร้าหมอง เด็กหญิงหันหน้ากลับไปทางบ้านของเธอ ด้วยความประหลาดใจ เธอมองเห็นบ้านที่มีหน้าต่างสีทองประกายบนเนินเขาอีกฟากหนึ่งของหุบเขา และไม่นานก็ตระหนักได้ว่านั่นคือบ้านของเธอเอง!8
เช่นเดียวกับเด็กหญิงคนนี้ บางครั้งเรามองสิ่งที่คนอื่นอาจมีหรืออาจเป็นและรู้สึกว่าเราด้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน เรามุ่งเน้นตามแบบผู้คนในเว็บไซต์โซเชียลมีเดียมากเกินไปหรือมัวหมกมุ่นอยู่กับการแข่งขันที่โรงเรียนหรือที่ทำงานของเรา อย่างไรก็ตาม เมื่อเราหยุดสักครู่และ “นับพระพร [ของเรา]”9 เรามองด้วยทัศนคติที่แท้จริงยิ่งขึ้นและเห็นความดีงามของบุตรธิดา ทุกคน ของพระผู้เป็นเจ้า
ไม่ว่าเราจะอายุ 8 ขวบหรือ 108 ปี เราสามารถนำความสว่างแห่งพระกิตติคุณมาสู่สภาพแวดล้อมของเราเองได้ ไม่ว่าจะเป็นอพาร์ทเม้นท์ระฟ้าในแมนแฮตตัน บ้านเสาค้ำในมาเลเซีย หรือกระโจมในมองโกเลีย เราสามารถเลือกที่จะมองสิ่งที่ดีในผู้อื่นและในสภาวการณ์รอบตัวเรา สตรีเยาว์วัยและสูงวัยทุกแห่งหนสามารถแสดงถึงจิตกุศลเมื่อพวกเธอเลือกใช้ถ้อยคำที่เสริมสร้างความมั่นใจและศรัทธาในผู้อื่น
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เล่าเรื่องของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ถูกเพื่อนเย้าแหย่ในช่วงสมัยเรียนของเขา หลายปีต่อมา เขาย้ายบ้าน เข้าประจำการกองทัพ ได้รับการศึกษา และแข็งขันในศาสนจักร ช่วงเวลานี้ของชีวิตเขาเต็มไปด้วยประสบการณ์แห่งความสำเร็จอันน่าทึ่ง
หลายปีผ่านไป เขากลับมายังบ้านเกิด อย่างไรก็ตาม ผู้คนปฏิเสธที่จะยอมรับการเติบโตและการปรับปรุงตัวของเขา สำหรับคนเหล่านั้นแล้ว เขายังเป็นเพียงแค่ “นายคนนั้น” และพวกเขาปฏิบัติกับเขาแบบนั้น สุดท้ายแล้ว ชายคนดีคนนี้ค่อยๆ หายไปสู่เงามืดของคนเดิมที่ประสบความสำเร็จโดยไม่สามารถใช้พรสวรรค์อันน่าอัศจรรย์ที่เขาสร้างมาเพื่อเป็นพรแก่คนที่ดูถูกและปฏิเสธเขาได้อีกครั้ง10 ช่างเป็นการสูญเสีย ทั้งสำหรับเขาและชุมชน!
อัครสาวกเปาโลสอนว่า “เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ จงรักกันและกันให้มาก เพราะความรักให้อภัยบาปมากมายได้”11 ความรัก อย่างแรงกล้า หมายถึง “สุดหัวใจ” แสดงออกโดยการลืมข้อผิดพลาดและความบกพร่องของผู้อื่นแทนที่จะสะสมความแค้นหรือย้ำเตือนตนเองและคนอื่นถึงความไม่ดีพร้อมในอดีต
หน้าที่และสิทธิพิเศษของเราคือการยอมรับการปรับปรุงของ ทุกคน ขณะที่เราพยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น ช่างน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นความสว่างในแววตาของคนที่เข้าใจการชดใช้ของพระเยซูคริสต์และทำการเปลี่ยนแปลงจริงๆ ในชีวิตของเขาหรือเธอ! ผู้สอนศาสนาผู้ที่พบปีติของการเห็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเข้ามาสู่น้ำแห่งบัพติศมาแล้วต่อมาเข้าสู่ประตูพระวิหารคือพยานของพรแห่งการยินยอม—และสนับสนุน—ให้ผู้อื่นเปลี่ยนแปลง สมาชิกที่ต้อนรับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสผู้ที่อาจดูเหมือนไม่เหมาะสมสำหรับอาณาจักรจะพบความพึงพอใจอย่างยิ่งในการช่วยให้คนเหล่านั้นสัมผัสถึงความรักของพระเจ้า ความงามอันยิ่งใหญ่ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือความเป็นจริงของความก้าวหน้านิรันดร์—เราไม่ได้รับเพียงการ ยินยอม ให้เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นเท่านั้น แต่เราได้รับการสนับสนุน และแม้แต่ได้รับ บัญชา เช่นกันให้ดำเนินต่อไปในความพยายามปรับปรุงตนและความดีพร้อมในที่สุด
ประธานโธมัส เอส. มอนสันให้คำแนะนำว่า “ทุกท่านสวมเสื้อคลุมแห่งจิตกุศลในวิธีเล็กๆ น้อยๆ ได้หลายร้อยวิธี … แทนที่จะตัดสิน [หรือ] วิพากษ์วิจารณ์กัน ขอให้เรามีความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ต่อเพื่อนร่วมทางในการเดินทางผ่านชีวิตนี้ ขอให้เราตระหนักว่าแต่ละคนกำลังทำสุดความสามารถเพื่อรับมือกับการท้าทายที่เกิดขึ้น และขอให้เราพยายามสุดความสามารถ ของเรา เพื่อช่วยเหลือ”12
คนที่มีจิตกุศลคือคนที่อดทน มีใจปรานี และพร้อมที่จะปรับตัว คนที่มีจิตกุศลให้ความสำคัญกับคนอื่นก่อน อ่อนน้อมถ่อมตน ควบคุมตนเองได้ มองหาสิ่งดีในผู้อื่น และชื่นชมยินดีเมื่อคนอื่นทำดี13
ในฐานะพี่น้องสตรี (และพี่น้องชาย) ในไซอัน เราจะให้คำมั่นสัญญาที่จะ “ร่วมกัน ทำงาน … ทำแต่ความเมตตา มีจรรยาและอ่อนหวาน เพื่อให้พรหนุนนานให้เบิกบาน [ในพระนามของพระผู้ช่วยให้รอด]”14 หรือไม่ เราจะมองหาและยอมรับความงามในผู้อื่นด้วยความรักและความหวังอย่างมาก ขณะที่ยินยอมและสนับสนุนความก้าวหน้าได้ไหม เราจะชื่นชมยินดีในความสำเร็จของผู้อื่นขณะมุ่งหน้าต่อไปในการปรับปรุงตนเองได้ไหม
ใช่แล้ว เราสามารถ นำความสว่างแห่งพระกิตติคุณมาสู่บ้าน โรงเรียน และที่ทำงานของเราได้ถ้าเรามองหาและแบ่งปันสิ่งดีๆ เกี่ยวกับคนอื่นและปล่อยให้สิ่งที่ไม่ดีพร้อมค่อยๆ จางหายไป หัวใจดิฉันเต็มไปด้วยความขอบพระทัยเมื่อนึกถึงการกลับใจที่พระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ทรงทำให้เป็นไปได้สำหรับเราทุกคนที่ทำบาปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ในโลกนี้ที่ไม่ดีพร้อมและยากลำบากในบางครั้ง!
ดิฉันเป็นพยานว่าเมื่อเราทำตามแบบอย่างอันดีพร้อมของพระองค์ เราจะได้รับของประทานแห่งจิตกุศล ซึ่งจะนำปีติอันยิ่งใหญ่มาสู่ชีวิตนี้และพรที่สัญญาไว้แห่งชีวิตนิรันดร์กับพระบิดาในสวรรค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน