2010–2019
การกลับใจ: การเลือกอันน่าปีติยินดี
ตุลาคม 2016


15:45

การกลับใจ: การเลือกอันน่าปีติยินดี

การกลับใจไม่เพียงอยู่ในวิสัยที่ทำได้เท่านั้นแต่ยังเป็นสิ่งที่น่าปีติยินดีเนื่องจากพระผู้ช่วยให้รอดของเราอีกด้วย

พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าอายุ 12 ขวบ ครอบครัวข้าพเจ้าอาศัยอยู่ที่เยอตาบอร์ เมืองชายฝั่งในสวีเดนตอนใต้ เพื่ออ้างอิง ที่นั่นเป็นบ้านเกิดของเอ็ลเดอร์แพร์ จี. มาล์ม1 เพื่อนร่วมงานที่รักของเรา ท่านถึงแก่กรรมเมื่อฤดูร้อนนี้ เราคิดถึงท่าน เราสึกนึกคุณสำหรับการรับใช้อันสูงส่งของท่านและสำหรับแบบอย่างของครอบครัวที่น่ารักยิ่งของท่าน และแน่นอนว่าเราสวดอ้อนวอนขอให้พวกเขาได้รับพรอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า

ห้าสิบปีที่ผ่านมา เราร่วมการประชุมของโบสถ์ในบ้านหลังใหญ่ที่ได้รับการตกแต่งใหม่ วันอาทิตย์วันหนึ่ง สเตฟาน2 เพื่อนข้าพเจ้า มัคนายกอีกหนึ่งเดียวในสาขา ทักทายข้าพเจ้าที่โบสถ์ด้วยความตื่นเต้น เราไปที่บริเวณเชื่อมต่อกับห้องนมัสการ จากนั้นเขาก็ล้วงเอาประทัดอันใหญ่และไม้ขีดไฟออกมาจากกระเป๋าด้วยท่าทีอวดเก่งแบบเด็กๆ ข้าพเจ้าจับประทัดและจุดสายชนวนสีเทานั้น ตั้งใจจะดับชนวนก่อนที่มันจะระเบิด แต่เมื่อข้าพเจ้าทำนิ้วไหม้ขณะพยายามดับชนวน ข้าพเจ้าจึงปล่อยมือจากประทัด สเตฟานกับข้าพเจ้ามองดูชนวนที่ลามไหม้ต่อไปด้วยความพรั่นพรึง

ประทัดระเบิด ควันกำมะถันกระจายคลุ้งไปทั่วบริเวณนั้นรวมทั้งห้องนมัสการ เรารีบเก็บเศษประทัดที่กระจายเกลื่อนและเปิดหน้าต่างเพื่อพยายามไล่กลิ่นออกไป โดยหวังด้วยความไร้เดียงสาว่าจะไม่มีใครสังเกต โชคดีที่ไม่มีใครบาดเจ็บหรือเกิดความเสียหาย

เมื่อสมาชิกเข้ามาที่การประชุม พวกเขาได้กลิ่นที่ฟุ้งกระจายอยู่นั้น ซึ่งยากจะไม่ได้กลิ่น บรรยากาศอันศักดิ์สิทธิ์ของการประชุมถูกรบกวนด้วยกลิ่น เนื่องจากมีผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนเพียงไม่กี่คน—และในสิ่งที่อธิบายได้ว่าเป็นความคิดสองฝักสองฝ่าย—ข้าพเจ้าส่งผ่านศีลระลึก แต่ข้าพเจ้าไม่รู้สึกมีค่าควรแก่การรับส่วนศีลระลึก เมื่อถาดศีลระลึกยื่นมาที่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่รับทั้งขนมปังและน้ำ ข้าพเจ้ารู้สึกแย่มาก ข้าพเจ้าอาย และข้าพเจ้ารู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นไม่เป็นที่พอพระทัยพระผู้เป็นเจ้า

หลังเลิกการประชุม แฟรงค์ ลินเบิร์ก ประธานสาขาซึ่งเป็นชายสูงวัยลักษณะภูมิฐาน ผมสีเทาเงิน ขอให้ข้าพเจ้าเข้าไปที่ห้องทำงานของท่าน หลังจากข้าพเจ้านั่งลง ท่านมองข้าพเจ้าอย่างมีเมตตาและพูดว่าท่านสังเกตว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับส่วนศีลระลึก ท่านถามถึงสาเหตุ ข้าพเจ้าคิดว่าท่านน่าจะรู้สาเหตุ ข้าพเจ้าแน่ใจว่าทุกคนรู้ว่าข้าพเจ้าทำอะไรลงไป หลังจากข้าพเจ้าบอกท่าน ท่านถามว่าข้าพเจ้ารู้สึกอย่างไร ด้วยน้ำตานองหน้า ข้าพเจ้าอึกอักบอกท่านว่าข้าพเจ้าเสียใจและข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าทำให้พระผู้เป็นเจ้าทรงผิดหวัง

ประธานลินเบิร์กเปิดพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาเล่มเก่ามากและขอให้ข้าพเจ้าอ่านบางข้อที่ขีดเส้นใต้ไว้ ข้าพเจ้าอ่านออกเสียงถ้อยคำต่อไปนี้

“ดูเถิด, คนที่กลับใจจากบาปของเขา, คนคนนั้นได้รับการให้อภัย, และเรา, พระเจ้า, ไม่จำมันอีก.

“โดยสิ่งนี้เจ้าจะรู้ว่าถ้าคนกลับใจจากบาปของเขา—ดูเถิด, เขาจะสารภาพและละทิ้งมัน.” 3

ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความการุณย์ของประธานลินเบิร์กเมื่อข้าพเจ้าเงยหน้าขึ้นหลังจากอ่านจบ ท่านบอกข้าพเจ้าว่าท่านไม่ขัดข้องอะไรที่ข้าพเจ้าจะกลับมารับส่วนศีลระลึก เมื่อข้าพเจ้าออกจากห้องทำงานของท่าน ข้าพเจ้ารู้สึกถึงปีติที่ไม่อาจบรรยายได้

ปีติเช่นนั้นเป็นหนึ่งในผลของการกลับใจ คำว่า กลับใจ หมายถึง “การรับรู้ทีหลัง” และมีนัยถึง “การเปลี่ยนแปลง” 4 ในภาษาสวีเดนคือคำว่า omvänd หมายถึง “หันกลับ” 5 ซี. เอส. ลูอิส นักประพันธ์ชาวคริสต์เขียนเกี่ยวกับความจำเป็นและวิธีการเปลี่ยนแปลง เขาบอกว่าการกลับใจเกี่ยวข้องกับ “การนำกลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง ผลบวกที่ผิดสามารถแก้ไขให้ถูกได้” เขากล่าว “เพียงย้อนกลับไปจนถึงจุดที่ท่านพบข้อผิดพลาดและแก้ไขใหม่จากจุดนั้น ไม่ใช่ ทำต่อไป6 การเปลี่ยนพฤติกรรมของเราและกลับไปสู่ “หนทางที่ถูกต้อง” เป็นส่วนหนึ่งของการกลับใจ แต่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น การกลับใจที่แท้จริงได้แก่การหันเหใจเราและความประสงค์ของเราไปหาพระผู้เป็นเจ้าและปฏิเสธบาป7 ดังที่อธิบายไว้ในเอเสเคียล การกลับใจคือการ “หันกลับจาก … บาป …มาทำความยุติธรรมและความชอบธรรม … คืนของประกัน … [และ] ดำเนินตามกฎเกณฑ์แห่งชีวิต ทั้งไม่ทำบาปเลย”8

แต่ทั้งหมดนี้เป็นคำอธิบายที่ไม่สมบูรณ์ ไม่ได้ระบุอย่างถูกต้องถึงพลังอำนาจที่ทำให้การกลับใจเป็นไปได้ ซึ่งคือการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด การกลับใจที่แท้จริงต้องรวมถึงศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ศรัทธาว่าพระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงเรา ศรัทธาว่าพระองค์จะทรงให้อภัยเรา และศรัทธาว่าพระองค์จะทรงช่วยเราหลีกเลี่ยงความผิดที่มากขึ้น ศรัทธาเช่นนี้ทำให้การชดใช้ของพระองค์มีผลในชีวิตเรา เมื่อเรา “รับรู้ทีหลัง” และ “หันกลับ” ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้ช่วยให้รอด เราจะรู้สึกได้ถึงความหวังในคำสัญญาของพระองค์และปีติจากการให้อภัย หากไม่มีพระผู้ไถ่ ความหวังและปีติโดยเนื้อแท้หายไป และการกลับใจเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงแก้ไขพฤติกรรมอันน่าสังเวชเท่านั้น แต่โดยใช้ศรัทธาในพระองค์ เราเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่ความสามารถและความเต็มพระทัยของพระองค์ในการให้อภัยบาป

ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์ยืนยันถึงคำสัญญาอันเปี่ยมด้วยความหวังของการกลับใจเมื่อเดือนเมษายน ปี 2015 ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งสุดท้ายของท่าน ท่านบรรยายถึงพลังอำนาจแห่งการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดในการรักษา ในสิ่งที่ข้าพเจ้าคิดว่าเป็นการกลั่นของปัญญาที่มาจากการรับใช้เป็นอัครสาวกกว่าครึ่งศตวรรษ ประธานแพคเกอร์กล่าวว่า “การชดใช้ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น สิ่งที่การชดใช้ซ่อมแซมจะดีเหมือนเดิม … การชดใช้รักษา และสิ่งที่การชดใช้รักษาจะหายดี”9

ท่านกล่าวต่อไปว่า

“การชดใช้ ซึ่งเรียกเราแต่ละคนกลับคืนได้นั้นไม่ทิ้งรอยแผลไว้ หมายความว่าไม่ว่าเราทำอะไรลงไป หรือเคยไปอยู่ที่ไหน หรือบางสิ่งเกิดขึ้นอย่างไร หากเรากลับใจอย่างแท้จริง พระองค์ทรงสัญญาว่าจะชดใช้ให้ และเมื่อพระองค์ทรงชดใช้ ทุกอย่างจะหายไป …

“… การชดใช้ … จะชำระมลทินทุกอย่างให้สะอาดไม่ว่าจะยากแค่ไหนหรือนานเท่าไรหรือทำซ้ำกี่ครั้งก็ตาม” 10

ขอบเขตการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดไม่มีที่สิ้นสุดทั้งในความกว้างและลึก สำหรับท่านและข้าพเจ้า แต่จะไม่มีวันบังคับเรา ดังที่ศาสดาพยากรณ์ลีไฮอธิบาย หลังจากเรา “ได้รับการสั่งสอนอย่างเพียงพอ”จน “รู้จักความดีจากความชั่ว”11 เรา “เป็นอิสระที่จะเลือกเสรีภาพและชีวิตนิรันดร์, โดยผ่านพระผู้เป็นสื่อกลางที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์, หรือจะเลือกการเป็นเชลยและความตาย”12 กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ การกลับใจเป็นการเลือก

เราสามารถ—และบางครั้ง—เลือกต่างไป การเลือกเช่นนั้นโดยธรรมชาติอาจดูเหมือนไม่ผิด แต่จะกีดกั้นเราจากการสำนึกผิดอย่างแท้จริง ด้วยเหตุนี้จึงขัดขวางเราไม่ให้แสวงหาการกลับใจที่แท้จริง ตัวอย่างเช่น เราอาจเลือกโทษคนอื่น เมื่อเป็นเด็ก 12 ขวบในเยอตาบอร์ ข้าพเจ้าอาจโทษสเตฟาน เขาเป็นคนที่นำประทัดใหญ่และไม้ขีดไฟมาโบสถ์ตั้งแต่แรก การโทษผู้อื่น แม้ว่าจะสมเหตุสมผล แต่ก็ทำให้เราหาข้อแก้ตัวพฤติกรรมของเรา โดยทำเช่นนั้น เรายกความรับผิดชอบต่อการกระทำของเราให้ผู้อื่น เมื่อยกความรับผิดชอบออกไป เราลดความจำเป็นและความสามารถที่เราจะกระทำ เราเปลี่ยนตัวเราเป็นผู้เคราะห์ร้ายแทนที่จะเป็นผู้มีสิทธิ์เสรีที่สามารถกระทำด้วยตนเอง13

การเลือกอีกอย่างหนึ่งซึ่งขัดขวางการกลับใจคือการลดความผิดของเรา ในเหตุประทัดที่เยอตาบอร์ ไม่มีใครบาดเจ็บ ไม่มีความเสียหายถาวรเกิดขึ้น และจัดการประชุมได้ตามปกติ อาจเป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่าไม่มีเหตุผลที่ต้องกลับใจ แต่การลดความผิดของเรา แม้ผลที่เกิดขึ้นไม่ได้เห็นประจักษ์ในทันที ได้ขจัดแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลง การคิดแบบนี้ปิดกั้นเราจากการเห็นว่าความผิดหรือบาปของเรามีผลนิรันดร์

กระนั้นอีกวิธีหนึ่งคือการคิดว่าบาปของเราไม่สำคัญเพราะไม่ว่าเราจะทำอะไรพระผู้เป็นเจ้าก็ทรงรักเราอยู่ดี เป็นการล่อลวงเมื่อเราเชื่อสิ่งที่นีฮอร์ผู้หลอกลวงสอนชาวเซราเฮ็มลา “ว่ามนุษยชาติทั้งปวงจะได้รับการช่วยให้รอดในวันสุดท้าย, และว่าคนทั้งหลายไม่ต้องเกรงกลัวหรือตัวสั่น, … และในที่สุดมนุษย์ทั้งปวงจะมีชีวิตนิรันดร์.” 14 แต่แนวคิดที่ลวงล่อนี้ผิด พระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราจริง แต่สิ่่งที่เราทำมีความสำคัญต่อพระองค์และต่อตนเอง พระองค์ประทานคำชี้แนะที่ชัดเจนว่าเราควรประพฤติอย่างไร เราเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าพระบัญญัติ ความเห็นชอบของพระองค์และชีวิตนิรันดร์ของเราขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของเรา รวมถึงความเต็มใจที่เราจะแสวงหาการกลับใจที่แท้จริงด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน15

นอกจากนั้น เราทิ้งการกลับใจที่แท้จริงเมื่อเราเลือกแยกพระผู้เป็นเจ้าออกจากพระบัญญัติของพระองค์ หากศีลระลึกไม่ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่สำคัญเลยที่กลิ่นประทัดจะรบกวนการประชุมศีลระลึกที่เยอตาบอร์ เราควรระมัดระวังการละเลยพฤติกรรมอันเป็นบาปโดยบ่อนทำลายหรือไม่ยอมรับพระผู้ทรงลิขิตพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า การกลับใจที่แท้จริงเรียกร้องการยอมรับความเป็นพระเจ้าของพระผู้ช่วยให้รอดและความจริงของงานในยุคสุดท้ายของพระองค์

แทนที่จะหาข้อแก้ตัว ขอให้เราเลือกกลับใจ โดยผ่านการกลับใจ เราจะสำนึกตัวได้ เหมือนกับบุตรที่หายไปในอุปมา16 ไตร่ตรองถึงความสำคัญนิรันดร์ในการกระทำของเรา เมื่อเราเข้าใจว่าบาปจะส่งผลต่อความสุขนิรันดร์ของเราอย่างไร เราจะไม่เพียงสำนึกผิดอย่างแท้จริงเท่านั้น แต่เราจะพยายามเป็นคนดีขึ้นด้วย เมื่อเผชิญกับการล่อลวง เรามีแนวโน้มที่จะถามตัวเราเองมากขึ้น ด้วยถ้อยคำของวิลเลียม เชกสเปียร์

ข้าจะได้อะไรหากข้าได้สิ่งที่ข้าค้นหา

ความฝัน ลมหายใจ ปีติที่ละลายชั่วพริบตา

ใครจะแลกความสุขชั่วนาทีกับความทุกข์ทั้งสัปดาห์

หรือขายสิ่งมีค่านิรันดร์เพื่อให้ได้ของเล่นสักชิ้น17

หากเรามองไม่เห็นนิรันดรเพราะเห็นแก่ของเล่นสักชิ้น เราสามารถเลือกการกลับใจ เนื่องจากการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เรามีโอกาสอีก ในเชิงเปรียบเทียบ เราสามารถแลกเปลี่ยนของเล่นที่จริงๆ แล้วเราซื้อมาอย่างไม่ฉลาดและได้รับความหวังสำหรับนิรันดรอีกครั้ง ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงอธิบายว่า “เพราะ, ดูเถิด, พระเจ้าพระผู้ไถ่ของเจ้าทรงทนรับความตายในเนื้อหนัง; ดังนั้นพระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดของคนทั้งปวง, เพื่อคนทั้งปวงจะได้กลับใจและมาหาพระองค์”18

พระเยซูคริสต์ทรงให้อภัยได้เนื่องจากพระองค์ทรงจ่ายค่าบาปของเราแล้ว19

พระผู้ไถ่ของเราทรงเลือกให้อภัยเนื่องจากพระกรุณา พระเมตตา และความรักอันหาที่เปรียบมิได้ของพระองค์

พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงต้องการให้อภัยเพราะสิ่งนี้เป็นหนึ่งในคุณลักษณะแห่งสวรรค์ของพระองค์

และเฉกเช่นเมษบาลที่ดีดังที่พระองค์ทรงเป็น พระองค์ทรงพอพระทัยเมื่อเราเลือกกลับใจ20

แม้เมื่อเรารู้สึกเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าในสิ่งที่เราทำลงไป21 เมื่อเราเลือกกลับใจ เราเชื้อเชิญพระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาสู่ชีวิตเราทันที ดังที่อมิวเล็คสอนว่า “ให้ท่านออกมาและไม่ทำใจท่านแข็งกระด้างอีกต่อไป; เพราะดูเถิด, บัดนี้คือเวลาและวันแห่งความรอดของท่าน; และฉะนั้น, หากท่านจะกลับใจและไม่ทำใจท่านแข็งกระด้าง, พระองค์จะทรงนำแผนอันสำคัญยิ่งแห่งการไถ่มาสู่ท่าน โดยทันที22 เราสามารถรู้สึกเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าในสิ่งที่เราทำลงไปและในเวลาเดียวกันนั้นรู้สึกถึงปีติของการมีความช่วยเหลือจากพระผู้ช่วยให้รอด

ข้อเท็จจริงที่ว่าเราสามารถกลับใจเป็นข่าวประเสริฐของพระกิตติคุณ!23 ความผิดถูก “ลบล้างไป”24 เราจะเปี่ยมด้วยปีติ รับการปลดบาปของเรา และมี “ความสงบในมโนธรรม”25 เราสามารถเป็นอิสระจากความรู้สึกสิ้นหวังและพันธนาการของบาป เราจะเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างอันน่าอัศจรรย์ของพระผู้เป็นเจ้าและ “ไม่เจ็บปวดอีกต่อไป” 26 การกลับใจไม่เพียงอยู่ในวิสัยที่ทำได้เท่านั้นแต่ยังเป็นสิ่งที่น่าปีติยินดีเนื่องจากพระผู้ช่วยให้รอดของเราอีกด้วย ข้าพเจ้ายังจำความรู้สึกตื้นตันใจของข้าพเจ้าในห้องทำงานประธานสาขาหลังจากเหตุประทัดครั้งนั้นได้ ข้าพเจ้ารู้ว่าข้าพเจ้าได้รับการให้อภัย ความรู้สึกผิดหายไป ความรู้สึกเศร้าหมองถูกยกออกไป และหัวใจข้าพเจ้ารู้สึกเบา

พี่น้องทั้งหลาย เมื่อเราจบการประชุมนี้ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านรู้สึกปีติมากขึ้นในชีวิต ปีติในความรู้ที่ว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เป็นจริง ปีติในความสามารถ ความเต็มพระทัย และความปรารถนาที่จะให้อภัยของพระผู้ช่วยให้รอด และปีติในการเลือกกลับใจ ขอให้เราทำตามคำแนะนำให้ “ตักน้ำจากบ่อน้ำแห่งความรอดด้วยความชื่นบาน”27 ขอให้เราเลือกกลับใจ ทิ้งบาปของเรา และหันเหใจและความประสงค์ของเราไปทำตามพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความเป็นจริงในการทรงพระชนม์อยู่ของพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานและเป็นผู้ที่รับพระเมตตาสงสารและความรักอันหาที่เปรียบมิได้จากพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้พรแห่งการไถ่อันเนื่องจากการชดใช้ของพระองค์ดำรงอยู่กับท่านเวลานี้—และต่อๆ ไปครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดทั้งชีวิตของท่าน28 ดังที่ดำรงอยู่ในชีวิตของข้าพเจ้า ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. เอ็ลเดอร์แพร์ กอสตา มาล์ม (1948–2016) เคยรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่สาวกเจ็ดสิบจากปี 2010 จนกระทั่งท่านถึงแก่กรรม แม้ว่าเกิดในเมืองเยินเชอปิง สวีเดน ท่านและแอกเนตา ภรรยาท่านมีบ้านอยู่ที่เยอตาบอร์ สวีเดน ในคำปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญที่ยอดเยี่ยมของท่านในเดือนตุลาคม 2010 เอ็ลเดอร์มาล์มพูดถึงการครุ่นคิดเรื่องราวในเยอตาบอร์ (ดู “จิตใจท่านทั้งหลายจะได้พัก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2010, 128–30).

  2. แม้ว่าสเตฟานไม่ได้เป็นชื่อจริงของเพื่อนข้าพเจ้า แต่เรื่องที่นำมาเล่าได้รับอนุญาตจากเขาแล้ว

  3. หลักคำสอนและพันธสัญญา 58:42–43.

  4. คำว่า metanoeo ในภาษากรีกมีความหมายตรงๆ ว่า “‘การรับรู้ทีหลัง’ ( meta, ‘หลัง’ หมายถึง ‘เปลี่ยนแปลง,’ noeo, ‘การรับรู้’; , ‘จิตใจ ที่ไตร่ตรองถึงศีลธรรม’)” (ดู James Strong, The New Strong’s Expanded Exhaustive Concordance of the Bible [2010], Greek dictionary section, 162).

  5. การแปล omvändของข้าพเจ้า Om แปลได้ว่า “รอบ” Vänd สามารถแปลว่า “หัน”

  6. ซี.  เอส. ลูอิส, The Great Divorce (1946), 6. ในอารัมภบทของหนังสือ ลูอิสเขียนว่าบางคนพยายามรวมสวรรค์กับนรกเข้าด้วยกันแทนที่จะเลือกที่ใดที่หนึ่ง เขากล่าวว่าพวกเราบางคนคิดว่า “การพัฒนาหรือการปรับเปลี่ยนหรือการขัดเกลาจะเปลี่ยนความชั่วร้ายเป็นความดีได้สักทาง … ข้าพเจ้าคิดว่าความคิดนี้เป็นความผิดพลาดร้ายแรง … เราไม่ได้อยู่ในโลกที่ถนนทุกสายเป็นรัศมีวงกลม หากเราตามไปนานพอ จะเข้าใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ และไปจบที่จุดศูนย์กลางในที่สุด …

    “ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าทุกคนที่เลือกหนทางผิดจะตาย แต่การช่วยให้พวกเขารอดประกอบไปด้วยการนำพวกเขากลับมาสู่หนทางที่ถูกต้อง … ความชั่วร้ายแก้ไขได้แต่ไม่สามารถ ‘พัฒนา’ ไปสู่ความดี เวลาไม่รักษาความชั่ว คำสาปต้องค่อยๆ คลายทีละเล็กละน้อย … หรือไม่ก็แก้ไม่ได้เลย” (5–6).

  7. ดู คู่มือพระคัมภีร์, “ การกลับใจ .”

  8. เอเสเคียล 33:14–15.

  9. ประจักษ์พยานของประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์ในการประชุมผู้นำที่เกี่ยวข้องกับการประชุมใหญ่สามัญ เดือนเมษายน 2015 ไม่ได้ตีพิมพ์ทั้งหมด คำกล่าวเหล่านี้อยู่ในบันทึกส่วนตัวข้าพเจ้า ที่จดไว้ในตอนนั้น

  10. บอยด์ เค. แพคเกอร์, “แผนแห่งความสุข ,” เลียโฮนา , พ.ค. 2015, 28.

  11. 2 นีไฟ 2:5.

  12. 2 นีไฟ 2:27.

  13. ดู 2 นีไฟ 2:26.

  14. แอลมา 1:4. นีฮอร์กับผู้ติดตามของเขาไม่เชื่อในการกลับใจ (ดู แอลมา 15:15).

  15. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ Divine Love,” , Feb. 2003, 12–17.

  16. ดู ลูกา 15:17; ดูข้อ 11–24 ด้วย.

  17. วิลเลียม เชกสเปียร์, The Rape of Lucrece , บรรทัดที่ 211–14

  18. หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:11.

  19. ดู อิสยาห์ 53:5.

  20. ดู ลูกา 15:4–7; หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:10–13.

  21. การกลับใจที่แท้จริงรวมถึง “เสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า” (2 โครินธ์ 7:10 ). เอ็ลเดอร์เอ็ม.{nbรัสเซลล์ บัลลาร์ดสอนว่า “สำหรับคนที่หลงไป พระผู้ช่วยให้รอดประทานทางกลับมาให้แล้ว แต่ใช่ว่าจะไม่มีความเจ็บปวด การกลับใจไม่ง่าย ต้องใช้เวลา—เวลาที่เจ็บปวด!” (“Keeping Covenants ,” Ensign , May 1993, 7). เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์สอนไว้เช่นกันว่า “บางครั้งขั้นตอนแห่งการกลับใจยากและเจ็บปวดในตอนแรก” (“Finding Forgiveness ,” Ensign ,May 1995, 77) แม้จะต้องเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้าและมีความเจ็บปวดในขั้นตอนของการกลับใจ แต่ผลลัพธ์สุดท้ายน่าปีติยินดีเมื่อได้รู้สึกถึงการให้อภัยบาป

  22. แอลมา 34:31; เน้นตัวเอน.

  23. ดู คู่มือพระคัมภีร์, “พระกิตติคุณ .”

  24. อีนัส 1:6 .

  25. โมไซยาห์ 4:3.

  26. โมไซยาห์ 27:29.

  27. อิสยาห์ 12:3.

  28. ดู โมไซยาห์ 26:29–30 แม้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่าจะให้อภัยโดยไม่ทรงลังเล การตั้งใจทำบาปและพึ่งพาความเมตตาของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อกลับใจง่ายๆ เป็นสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงชิงชัง (ดูฮีบรู 6:4–6; 10:26–27). เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์กล่าวว่า “ข่าวอันน่าปีติยินดีสำหรับใครก็ตามที่ ปรารถนาจะขจัดผลของการเลือกผิดในอดีตคือการที่พระเจ้าทรงเห็นว่าความอ่อนแอแตกต่างจากการกบฏ ขณะที่พระเจ้าทรงเตือนว่าการกบฏที่ไม่กลับใจจะนำมาซึ่งการลงโทษ แต่เมื่อพระเจ้าตรัสถึงความอ่อนแอ พระองค์ตรัสด้วยความเมตตาเสมอ” (“ความเข้มแข็งส่วนบุคคลผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 83).