คุณค่าเกินกว่าจะวัดได้
เราจะชื่นใจกับเสียงกระซิบอ่อนหวานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้บ่อยครั้ง ซึ่งยืนยันความจริงของคุณค่าทางวิญญาณของเรา
ขณะไปเยือนประเทศเซียร์ราลีโอนในแอฟริกาตะวันตก ดิฉันมีส่วนร่วมในการประชุมที่ผู้นำปฐมวัยสเตคดำเนินการ มาเรียมานำการประชุมด้วยความรัก ความสง่างาม และความมั่นใจจนทำให้ง่ายที่จะคิดว่าเธอเป็นสมาชิกศาสนจักรมานานแล้ว แต่มาเรียมาเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่
น้องสาวของเธอเข้าร่วมศาสนจักรและชวนมาเรียมาให้เข้าร่วมชั้นเรียนที่โบสถ์กับเธอ ข่าวสารทำให้มาเรียมาประทับใจมาก บทเรียนกล่าวถึงกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศ เธอขอให้ผู้สอนศาสนาสอนเธอเพิ่มเติม จากนั้นไม่นานเธอได้รับประจักษ์พยานถึงศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ เธอรับบัพติศมาในปี 2014 ลูกสาวของเธอรับบัพติศมาเดือนที่แล้ว ลองนึกดูว่า คำสอนพื้นฐานสองอย่างที่นำไปสู่การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของมาเรียมาคือกฎแห่งความบริสุทธิ์ทางเพศและศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ สองประเด็นที่โลกมักจะมองว่าไม่เกี่ยวข้อง ล้าสมัย หรือไม่เหมาะสม แต่มาเรียมาเป็นพยานว่าเธอเป็นเหมือนผีเสื้อราตรีที่บินเข้าหาแสง เธอบอกว่า “เมื่อดิฉันพบพระกิตติคุณ ดิฉันพบตนเอง” เธอค้นพบคุณค่าของตนเองผ่านหลักธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เธอได้รับการเปิดเผยถึงคุณค่าของตนเองในฐานะธิดาของพระผู้เป็นเจ้าผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์
ตอนนี้เรามาพบกับพี่น้องสตรีในตระกูลซิงห์จากอินเดีย คนขวาสุดคือเรนู คนแรกจากพี่น้องสตรีทั้งห้าคนที่เข้าร่วมศาสนจักร เธอเล่าว่า
“ก่อนที่ดิฉันจะเริ่มสนใจศาสนจักร ดิฉันไม่รู้สึกว่าตนเองมีความพิเศษมาก ดิฉันเป็นเพียงคนคนหนึ่งท่ามกลางผู้คนมากมาย สังคมและวัฒนธรรมของดิฉันไม่ได้สอนว่าดิฉันมีคุณค่าใดๆ เลยในฐานะบุคคลคนหนึ่ง เมื่อดิฉันเรียนรู้พระกิตติคุณและทราบว่าดิฉันเป็นธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ สิ่งนั้นเปลี่ยนแปลงดิฉัน ทันทีทันใดนั้นดิฉันรู้สึกพิเศษมาก—พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างดิฉันจริงๆ พระองค์ทรงสร้างจิตวิญญาณและชีวิตดิฉันด้วยคุณค่าและจุดประสงค์
“ก่อนที่ดิฉันจะมีพระกิตติคุณในชีวิต ดิฉันพยายามพิสูจน์ตนเองให้ผู้อื่นเห็นว่าดิฉันเป็นคนพิเศษ แต่เมื่อดิฉันเรียนรู้ความจริงว่าดิฉันเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันไม่ต้องพิสูจน์อะไรให้ใครเห็นอีกแล้ว ดิฉันรู้ว่าดิฉันมีความพิเศษ … จงอย่าคิดว่าคุณไม่มีค่าอะไร”
ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวไว้อย่างสมบูรณ์แบบเมื่อท่านอ้างอิงถ้อยคำเหล่านี้ “ค่าของจิตวิญญาณคือความสามารถที่จะเป็นพระผู้เป็นเจ้า”1
ไม่นานมานี้ดิฉันพบหญิงสาวอีกคนหนึ่งผู้เข้าใจความจริงเดียวกันนี้ เธอชื่อไทอานา ดิฉันเจอเธอที่โรงพยาบาลเด็กปฐมวัยในซอลท์เลคซิตี้ ไทอานาอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ห้าเมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเธอเป็นมะเร็ง เธอต่อสู้อย่างกล้าหาญเป็นเวลา 18 เดือนก่อนจะเสียชีวิตเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ไทอานามีแต่ความร่าเริงแจ่มใสและความรัก เธอเป็นที่รู้จักเพราะเธอยิ้มแย้มแจ่มใสกับทุกคนและสัญลักษณ์ของเธอคือ “ยกนิ้วโป้งสองมือ”เมื่อคนอื่นถามว่า “ทำไมต้องเป็นเธอ ไทอานา” เธอตอบว่า “ทำไมจะไม่เป็นฉันล่ะ” ไทอานาพยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ที่เธอรักอย่างยิ่ง ช่วงที่เราพบกัน ดิฉันเรียนรู้ว่าไทอานาเข้าใจคุณค่าแห่งสวรรค์ของเธอ ความรู้ที่ว่าเธอเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้านำสันติสุขและความกล้าหาญมาให้เธอเผชิญหน้ากับการทดลองอันท่วมท้นด้วยวิธีที่เป็นบวกอย่างที่เธอทำ
มาเรียมา เรนู และไทอานาสอนเราว่าพระวิญญาณจะทรงยืนยันคุณค่าแห่งสวรรค์ให้กับเราแต่ละคนเป็นการส่วนตัว การรู้ว่าท่านเป็นธิดาของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงจะส่งผลต่อทุกด้านของชีวิตท่านและจะนำทางท่านในการรับใช้แต่ละวันของท่าน ประธานสเป็นเซอร์ดับเบิลยู. คิมบัลล์อธิบายด้วยถ้อยคำจรรโลงใจดังนี้
“พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของท่าน พระองค์ทรงรักท่านพระองค์และพระมารดาในสวรรค์ทรงเห็นคุณค่าของท่านเกินกว่าจะวัดได้ … ท่านเป็นคนพิเศษสุด ไม่เหมือนใคร เกิดจากความรู้แจ้งนิรันดร์ซึ่งทำให้ท่านได้รับชีวิตนิรันดร์
“จงอย่าสงสัยคุณค่าของท่านในฐานะบุคคลคนหนึ่ง เจตจำนงทั้งหมดของแผนพระกิตติคุณคือการให้โอกาสท่านแต่ละคนที่จะเติมเต็มศักยภาพของท่านอย่างสมบูรณ์ คือความก้าวหน้านิรันดร์และโอกาสสำหรับความเป็นพระผู้เป็นเจ้า”2
ดิฉันขอชี้แจงความจำเป็นที่จะแยกแยะระหว่างคำสองคำที่สำคัญมาก คือ คุณค่า กับ ค่าควร สองคำนี้ไม่เหมือนกัน คุณค่า ทางวิญญาณหมายถึงการเห็นคุณค่าตนเองในวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเห็นคุณค่าเรา ซึ่งไม่เหมือนวิธีที่โลกเห็น คุณค่าของเรากำหนดไว้ก่อนที่เราจะมายังโลกนี้ “ความรักของพระผู้เป็นเจ้าไม่มีที่สิ้นสุดและจะยั่งยืนตลอดกาล”3
ในอีกทางหนึ่ง ค่าควร จะได้รับโดยผ่านการเชื่อฟัง หากเราทำบาป เรามีค่าควรน้อยลง แต่เราจะไม่มีวันไร้ค่า! เรากลับใจต่อไปและพยายามเป็นเหมือนพระเยซูโดยคุณค่าของเรายังคงสมบูรณ์ ดังที่ประธานบริคัม ยังก์สอนไว้ว่า “ดวงวิญญาณที่ต่ำที่สุด ที่ด้อยที่สุดซึ่งบัดนี้อยู่บนแผ่นดินโลก … มีค่าเท่ากับโลกมากมาย”4 ไม่ว่าอะไรก็ตาม เรามีค่าในสายพระเนตรของพระบิดาบนสวรรค์เสมอ
ถึงแม้จะมีความจริงอันน่าอัศจรรย์นี้ แต่มีพวกเรากี่คนที่บางครั้งประสบปัญหา กับความคิดหรือความรู้สึกแง่ลบเกี่ยวกับตนเอง ดิฉันเป็น นี่เป็นกับดักที่ง่ายมาก ซาตานเป็นบิดาแห่งความเท็จทั้งปวง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการบิดเบือนความจริงเกี่ยวกับลักษณะและจุดประสงค์แห่งสวรรค์ของเรา การคิดว่าตนเองไร้ค่าไม่ได้ช่วยอะไรเราเลย แต่กลับฉุดรั้งเราไว้ ดังที่มีคนสอนเราบ่อยๆ ว่า “ไม่มีใครทำให้เรารู้สึกด้อยค่าได้หากเราไม่ยอม”5 เราสามารถหยุดเปรียบเทียบสิ่งที่แย่ที่สุดของเรากับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น “การเปรียบเทียบคือโจรขโมยความสุข”6
ในทางกลับกัน พระเจ้าทรงรับรองกับเราว่าเมื่อเรามีความคิดที่บริสุทธิ์ พระองค์จะประทานความมั่นใจแก่เรา แม้ความมั่นใจในการรู้จักตัวตนที่แท้จริงของเรา นี่เป็นช่วงเวลาสำคัญที่สุดที่จะเอาใจใส่พระคำของพระองค์ที่ว่า “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย” พระองค์ตรัส “เมื่อนั้นความมั่นใจของท่านจะแข็งแกร่งขึ้นในการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า; และ … พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของท่าน”7
พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงนี้เพิ่มเติมให้แก่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ “คนที่ได้รับจากพระผู้เป็นเจ้า, ก็ให้เขาพิจารณาสิ่งนั้นว่ามาจากพระผู้เป็นเจ้า; และให้เขาชื่นชมยินดีที่เขาได้รับพิจารณาจากพระผู้เป็นเจ้าว่าคู่ควรที่จะได้รับ”8 เมื่อเรารู้สึกถึงพระวิญญาณ ดังที่ข้อนี้อธิบาย เราตระหนักว่าสิ่งที่เรารู้สึกนั้นมาจากพระบิดาบนสวรรค์ เราขอบพระทัยและสรรเสริญพระองค์ที่ประทานพรแก่เรา จากนั้นเราชื่นชมยินดีที่ทรงนับว่าเรามีค่าควรที่จะได้รับ
ลองนึกดูว่าท่านกำลังอ่านพระคัมภีร์ในเช้าวันหนึ่งและพระวิญญาณทรงกระซิบอย่างนุ่มนวลว่าสิ่งที่ท่านกำลังอ่านเป็นความจริง ท่านจะตระหนักถึงพระวิญญาณได้ไหมและมีความสุขหรือไม่ที่ท่านรู้สึกถึงความรักของพระองค์และมีค่าควรที่จะได้รับ
คุณแม่ทั้งหลาย ท่านอาจคุกเข่าข้างๆ ลูกวัยสี่ขวบขณะที่เขาสวดอ้อนวอนก่อนนอน ความรู้สึกอย่างหนึ่งแผ่ซ่านขณะที่ท่านฟัง ท่านสัมผัสถึงความอบอุ่นและสันติสุข ความรู้สึกนั้นเกิดขึ้นชั่วครู่ แต่ในเวลานั้นท่านตระหนักว่าพระองค์ทรงนับว่าท่านมีค่าควรที่จะได้รับ เราอาจได้รับปรากฏการณ์ทางวิญญาณครั้งใหญ่ไม่บ่อยนัก หรือไม่มีเลยในชีวิตเรา แต่เราจะชื่นใจกับเสียงกระซิบอ่อนหวานจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งยืนยันความจริงของคุณค่าทางวิญญาณของเราได้บ่อยครั้ง
พระเจ้าทรงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างคุณค่าของเรากับการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้เมื่อพระองค์ตรัสว่า
“จำไว้ว่าค่าของจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้า;
“เพราะ, ดูเถิด, พระเจ้าพระผู้ไถ่ของเจ้าทรงทนรับความตายในเนื้อหนัง; ดังนั้นพระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดของคนทั้งปวง, เพื่อคนทั้งปวงจะได้กลับใจและมาหาพระองค์”9
พี่น้องสตรีทั้งหลาย เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรา “เราผสานกับพระชั่วกาลด้วยรัก”10 พระองค์ตรัสว่า “พระบิดาของเราทรงส่งเรามาเพื่อเราจะได้ถูกยกขึ้นบนกางเขน; และหลังจากที่เราถูกยกขึ้นบนกางเขนแล้ว, เพื่อเราจะดึงมนุษย์ทั้งปวงมาหาเรา”11
กษัตริย์เบ็นจามินอธิบายเช่นกันถึงการเชื่อมโยงกับพระผู้ช่วยให้รอดว่า “และดูเถิด, พระองค์จะทนรับการล่อลวง, และความเจ็บปวดทางร่างกาย, ความหิวโหย, ความกระหาย, และความเหน็ดเหนื่อย, แม้มากกว่าที่มนุษย์จะทนได้, เว้นแต่จะถึงแก่ความตาย; เพราะดูเถิด, พระโลหิตไหลออกจากทุกขุมขน, ความปวดร้าวของพระองค์จะใหญ่หลวงนักเพราะความชั่วร้ายและความน่าชิงชังของผู้คนของพระองค์.”12 ความทุกข์นั้นและผลของความทุกข์นั้นเติมเต็มหัวใจเราด้วยความรักและความสำนึกคุณ เอ็ลเดอร์พอล อี. โคล์ลิเคอร์สอนว่า “เมื่อเราขจัดสิ่งล่อใจที่ดึงเราไปหาโลกและใช้สิทธิ์เสรีแสวงหาพระองค์ เท่ากับเราเปิดใจรับพลังซีเลสเชียลซึ่งดึงเราไปหาพระองค์”13 ถ้าความรักที่เรารู้สึกต่อพระผู้ช่วยให้รอดและสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเรานั้นยิ่งใหญ่กว่าพลังที่เราให้กับความอ่อนแอ ความไม่มั่นใจในตนเอง หรือนิสัยที่ไม่ดี เมื่อนั้นพระองค์จะทรงช่วยเราเอาชนะสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความทุกข์ในชีวิตเรา พระองค์ทรงช่วยชีวิตเราจากตัวเราเอง
ดิฉันขอย้ำว่า ถ้าแรงดึงของโลกแข็งแรงกว่าศรัทธาและความไว้วางใจที่เรามีในพระผู้ช่วยให้รอด เมื่อนั้นแรงดึงของโลกจะชนะทุกครั้ง หากเราเลือกจดจ่อกับความคิดในทางลบของเราและสงสัยในคุณค่าของเราแทนที่จะยึดมั่นพระผู้ช่วยให้รอด ความรู้สึกถึงการสัมผัสใจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะยากขึ้น
พี่น้องสตรีทั้งหลาย จงอย่าสับสนว่าเราเป็นใคร! แม้ว่าความเฉยเฉื่อยทางวิญญาณมักจะง่ายกว่าการออกแรงมุมานะทางวิญญาณเพื่อระลึกถึงและน้อมรับอัตลักษณ์แห่งสวรรค์ของเรา เราไม่สามารถยอมต่อความหลงระเริงเช่นนั้นได้ในยุคสุดท้ายนี้ พี่น้องสตรีทั้งหลาย ขอให้เรา “ซื่อสัตย์ในพระคริสต์ … ขอให้ พระคริสต์ทรงยก [เรา] ขึ้น, และขอให้ความทุกขเวทนาและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ … และพระเมตตาและความอดกลั้นของพระองค์, และความหวังในรัศมีภาพของพระองค์และชีวิตนิรันดร์, จงสถิตอยู่ในจิตใจ [เรา] ตลอดกาล”14 เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงยกเราสู่ที่สูงกว่า เราสามารถเห็นชัดเจนขึ้นไม่เพียงแค่ว่าเราคือใครแต่เรานั้นเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นเกินกว่าเราจินตนาการได้เช่นกัน ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน