พระองค์ทรงรักเราจริงๆ
เนื่องด้วยแบบฉบับครอบครัวที่สวรรค์กำหนด เราจึงเข้าใจถ่องแท้มากขึ้นว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราแต่ละคนอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน
ข้าพเจ้าชอบอยู่กับผู้สอนศาสนาเต็มเวลา พวกเขาเปี่ยมด้วยศรัทธา ความหวัง และจิตกุศลที่แท้จริง ประสบการณ์ของพวกเขาเหมือนชีวิตขนาดย่อมที่เกิดขึ้นในช่วง 18 ถึง 24 เดือน พวกเขามาเหมือนทารกทางวิญญาณที่อยากเรียนรู้มากและพวกเขาจบออกไปเหมือนผู้ใหญ่เต็มตัว ดูเหมือนพร้อมเอาชนะการท้าทายทุกอย่างที่ขวางหน้า ข้าพเจ้ารักผู้สอนศาสนาอาวุโสที่อุทิศตนเช่นกัน พวกเขาเปี่ยมด้วยความอดทน ปัญญา และความสุขุมมั่นใจ พวกเขานำของประทานแห่งความเด็ดเดี่ยวและความรักมาให้คนวัยหนุ่มที่อยู่รายรอบพวกเขา ผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มสาวและผู้สอนศาสนาอาวุโสคู่สามีภรรยาต่างเป็นกองทัพธรรมที่เปี่ยมด้วยพลังไม่ย่อท้อ ซึ่งมีผลลึกซึ้งต่อชีวิตตนเองและต่อคนที่ได้รับผลจากการรับใช้ของพวกเขา
เมื่อเร็วๆ นี้ข้าพเจ้าฟังผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มที่ยอดเยี่ยมสองคนทบทวนประสบการณ์และความพยายามของพวกเขา ในช่วงพินิจไตร่ตรองนั้นพวกเขานึกถึงคนที่ได้ติดต่อวันนั้น บางคนตอบรับมากกว่าคนอื่น ขณะพิจารณาสภาวการณ์ต่างๆ พวกเขาถามว่า “เราจะช่วยให้แต่ละคนมีความปรารถนาจะรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระบิดาบนสวรรค์ได้อย่างไร เราจะช่วยให้พวกเขารู้สึกถึงพระวิญญาณอย่างไร เราจะช่วยให้พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าเรารักพวกเขา”
ในมโนภาพข้าพเจ้าเห็นชายหนุ่มสองคนนี้ในอีกสามสี่ปีหลังจากจบงานเผยแผ่ ข้าพเจ้าเห็นภาพพวกเขาพบคู่ชีวิตนิรันดร์และรับใช้ในโควรัมเอ็ลเดอร์หรือสอนกลุ่มเยาวชนชาย ตอนนี้ แทนที่จะนึกถึงผู้สนใจ พวกเขาจะถามคำถามเดียวกันเกี่ยวกับสมาชิกโควรัมหรือเยาวชนชายที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้บำรุงเลี้ยง ข้าพเจ้าเห็นว่าประสบการณ์งานเผยแผ่ศาสนาของพวกเขานำมาใช้เป็นแม่แบบสำหรับการบำรุงเลี้ยงผู้อื่นตลอดชีวิตที่เหลือของพวกเขาได้ เมื่อกองทัพของสานุศิษย์ที่ชอบธรรมกลับจากงานเผยแผ่ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก พวกเขากลายเป็นผู้มีส่วนสำคัญในงานสถาปนาศาสนจักร
ลีไฮศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนอาจไตร่ตรองคำถามชุดเดียวกับผู้สอนศาสนาเหล่านี้เมื่อเขาฟังการตอบสนองของบุตรชายต่อคำแนะนำและนิมิตที่เขาเห็น “และดังนั้นเลมันกับเลมิวเอล, โดยที่เป็นพี่, พร่ำบ่นต่อต้านบิดาพวกเขา. และพวกเขาพร่ำบ่นเพราะพวกเขาหารู้ไม่ถึงการกระทำของพระผู้เป็นเจ้าองค์นั้นผู้ทรงสร้างพวกเขา” (1 นีไฟ 2:12)
เราอาจจะเคยรู้สึกท้อแท้ใจเหมือนลีไฮประสบกับบุตรชายคนโตสองคน เมื่อเราพบลูกที่นอกลู่นอกทาง ผู้สนใจไม่รับปาก หรือผู้หวังเป็นเอ็ลเดอร์ไม่ตอบสนอง ใจเราหวนไห้เช่นเดียวกับลีไฮและเราถามว่า “ฉันจะช่วยให้พวกเขารู้สึกและฟังพระวิญญาณได้อย่างไรเพื่อพวกเขาจะไม่ติดอยู่กับสิ่งล่อใจทางโลก” พระคัมภีร์สองข้อโดดเด่นในความคิดข้าพเจ้าที่สามารถช่วยให้เราพบทางออกผ่านสิ่งล่อใจเหล่านี้และรู้สึกถึงพลังแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า
นีไฟให้กุญแจไขประตูแห่งการเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ส่วนตัวของเขาดังนี้ “ข้าพเจ้า, นีไฟ, … มีความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า, ดังนั้น, ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า; และดูเถิดพระองค์เสด็จเยือนข้าพเจ้า, และทรงทำให้ใจข้าพเจ้าอ่อนลงจนข้าพเจ้าเชื่อคำทั้งปวงซึ่งพูดโดยบิดาข้าพเจ้า; ดังนั้น, ข้าพเจ้ามิได้กบฏต่อต้านท่านเหมือนดังพี่ๆ ข้าพเจ้า” (1 นีไฟ 2:16)
การปลุกความปรารถนาอยากรู้ทำให้วิญญาณเราสามารถได้ยินเสียงจากสวรรค์ การหาวิธีปลุกและบำรุงเลี้ยงความปรารถนานั้นเป็นการแสวงหาและความรับผิดชอบของเราแต่ละคน---ผู้สอนศาสนา บิดามารดา ครู ผู้นำ และสมาชิก ขณะเรารู้สึกว่าความปรารถนานั้นปะทุในใจเรา เราย่อมพร้อมรับประโยชน์จากการเรียนรู้พระคัมภีร์ข้อที่สองที่ข้าพเจ้าต้องการกล่าวถึง
ในเดือนมิถุนายน 1831 เมื่อการเรียกมาถึงผู้นำศาสนาจักรสมัยเริ่มแรก โจเซฟ สมิธทราบว่า “ซาตานอยู่ไปทั่วในแผ่นดิน, และเขาออกไปหลอกลวงบรรดาประชาชาติ” เพื่อต่อสู้กับอิทธิพลล่อใจนี้ พระเจ้าตรัสว่า พระองค์จะประทาน “แบบฉบับ [แก่เรา] ในสิ่งทั้งปวง, เพื่อ [เรา] จะไม่ถูกหลอก” (คพ. 52:14)
แบบฉบับคือแม่แบบ เครื่องนำทาง ขั้นตอนที่เกิดขึ้นซ้ำ หรือเส้นทางที่คนๆ หนึ่งเดินตามเพื่อให้อยู่แนวเดียวกับจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าทำตาม เราจะยังคงนอบน้อม ตื่นตัว และสามารถแยกแยะสุรเสียงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากเสียงเหล่านั้นที่ล่อใจและนำเราออกนอกทาง พระเจ้าทรงแนะนำเราต่อจากนั้นว่า “คนที่ตัวสั่นภายใต้อำนาจของเรา เราจะทำให้เข้มแข็ง, และจะนำผลแห่งการสรรเสริญและปัญญาออกมา, ตามการเปิดเผยและความจริงซึ่งเราให้เจ้าไว้” (คพ. 52:17)
พรของการสวดอ้อนวอนด้วยความนอบน้อม ด้วยเจตนาแท้จริงอำนวยให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สัมผัสใจเราและช่วยให้เราระลึกถึงสิ่งที่เรารู้ก่อนเราเกิดมาในประสบการณ์มรรตัยนี้ เมื่อเราเข้าใจแผนของพระบิดาบนสวรรค์สำหรับเราอย่างชัดเจน เราจะเริ่มยอมรับความรับผิดชอบในการช่วยให้ผู้อื่นเรียนรู้และเข้าใจแผนของพระองค์ ที่สัมพันธ์แนบแน่นกับการช่วยให้ผู้อื่นจดจำคือวิธีที่เราดำเนินชีวิตและประยุกต์ใช้พระกิตติคุณในชีวิตเรา เมื่อเราดำเนินชีวิตตามแบบฉบับที่พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงสอน เราย่อมสามารถช่วยผู้อื่นได้มากขึ้น ประสบการณ์ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นว่าหลักธรรมนี้ได้ผลอย่างไร
ผู้สอนศาสนาวัยหนุ่มสองคนเคาะประตูบ้านหลังหนึ่ง โดยหวังว่าจะพบคนรับข่าวสารของพวกเขา ประตูเปิด และชายร่างใหญ่ทักทายพวกเขาด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยเป็นมิตรว่า “ผมคิดว่าผมบอกพวกคุณแล้วนะว่าอย่าเคาะประตูบ้านผมอีก ผมเคยเตือนพวกคุณแล้วว่าถ้าพวกคุณกลับมา ประสบการณ์นั้นอาจไม่น่าพอใจ อย่ามายุ่งกับผม” เขาปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ขณะเอ็ลเดอร์เดินจากมา ผู้สอนศาสนาที่มีประสบการณ์มากกว่าและอายุมากกว่าโอบไหล่ผู้สอนศาสนาที่อายุน้อยกว่าเพื่อปลอบและให้กำลังใจ พวกเขาไม่รู้ว่าชายคนนั้นมองทางหน้าต่างเพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาเข้าใจข่าวสารที่บอก เขาคาดหวังเต็มที่ว่าจะเห็นทั้งสองคนหัวเราะและไม่ใยดีกับการตอบสนองอย่างหยาบคายของเขาต่อการพยายามมาเยี่ยมของพวกเขา แต่เมื่อเขาเห็นการแสดงความอ่อนโยนระหว่างผู้สอนศาสนาทั้งสอง ใจเขาอ่อนลงทันที เขาเปิดประตูอีกครั้งและขอให้ผู้สอนศาสนากลับมาแบ่งปันข่าวสารกับเขา
เมื่อเรายอมตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและดำเนินชีวิตตามแบบฉบับของพระองค์ ผู้คนจะรู้สึกถึงพระวิญญาณ พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “ถ้าเจ้าทั้งหลายรักกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าเจ้าทั้งหลายเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35) หลักธรรมของการมีความรักต่อกันและพัฒนาความสามารถในการให้พระคริสต์เป็นศูนย์รวมของสิ่งที่เราคิด พูด และทำคือรากฐานการเป็นสานุศิษย์ของพระคริสต์และครูสอนพระกิตติคุณ
การปลุกความปรารถนานี้เตรียมเราให้มองหาแบบฉบับที่สัญญาไว้ การแสวงหาแบบฉบับนำเราไปสู่หลักคำสอนของพระคริสต์ตามที่พระผู้ช่วยให้รอดและศาสดาพยากรณ์ผู้นำของพระองค์สอน แบบฉบับหนึ่งของหลักคำสอนนี้คืออดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ “และคนที่หมายมั่นจะนำไซอันของเราออกมาในวันนั้นย่อมเป็นสุข, เพราะพวกเขาจะมีของประทานและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์; และหากพวกเขาอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ พระองค์จะทรงยกพวกเขาขึ้นในวันสุดท้าย, และจะทรงช่วยให้รอดในอาณาจักรอันเป็นนิจของพระเมษโปดก” (1 นีไฟ 13:37)
อะไรคือวิธีสุดท้ายที่เราจะได้รับของประทานและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อำนาจนั้นเกิดจากการเป็นสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระเยซูคริสต์ เกิดจาก ความรัก ที่เรามีต่อพระองค์และเพื่อนมนุษย์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงนิยามแบบฉบับของความรักเมื่อพระองค์ทรงสอนเราว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลาย คือให้เจ้ารักซึ่งกันและกัน เรารักเจ้าทั้งหลายมาแล้วอย่างไร เจ้าจงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยอห์น 13:34)
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ยืนยันหลักธรรมนี้เมื่อท่านกล่าวว่า “การรักพระเจ้าไม่ใช่แค่คำแนะนำ ไม่ใช่แค่ความปรารถนาดี แต่เป็นพระบัญญัติ…ความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าเป็นรากฐานของคุณธรรมทุกอย่าง ความดีงามทุกอย่าง ข้อดีของอุปนิสัยทุกอย่าง ความซื่อสัตย์ต่อการทำสิ่งถูกต้องทุกอย่าง” (ดู “คำของศาสดาที่มีชีวิต” เลียโฮนา ธันวาคม 1996 หน้า 8; “Excerpts from Recent Addresses of President Gordon B. Hinckley,” Ensign, Apr. 1996, 73)
แผนของพระบิดากำหนดแบบฉบับของครอบครัวเพื่อช่วยให้เราเรียนรู้ ใช้ และเข้าใจพลังแห่งความรัก ในวันสร้างครอบครัวของข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้ากับแอนไปพระวิหารและเข้าสู่พันธสัญญาของการแต่งงาน ข้าพเจ้าคิดว่าวันนั้นข้าพเจ้าคิดว่ารักเธอมากเหลือเกิน แต่ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มมองเห็นวิสัยทัศน์ของความรัก เมื่อลูกหลานแต่ละคนเข้ามาในชีวิตเรา ความรักของเราเผื่อแผ่ไปรักพวกเขาอย่างเต็มที่เท่าเทียมกัน ดูเหมือนเราสามารถเผื่อแผ่ความรักได้ไม่สิ้นสุด
ความรู้สึกรักจากพระบิดาบนสวรรค์เปรียบเสมือนแรงดึงดูดจากสวรรค์ เมื่อเราขจัดสิ่งล่อใจที่ดึงเราไปหาโลกและใช้สิทธิ์เสรีแสวงหาพระองค์ เท่ากับเราเปิดใจรับพลังซีเลสเชียลซึ่งดึงเราไปหาพระองค์ นีไฟบรรยายผลของความรักนี้ว่ามาก “แม้จนจะเผาไหม้เนื้อหนัง [ของท่าน]“ (2 นีไฟ 4:21) ความรักเดียวกันนี้ทำให้แอลมาร้อง “เพลงสดุดีความรักที่ไถ่” (แอลมา 5:26; ดู ข้อ 9 ด้วย) ความรักนั้นสัมผัสใจมอรมอนจนท่านแนะนำเราให้ “สวดอ้อนวอน … จนสุดพลังของใจ [เรา]” จนเราเปี่ยมด้วยความรักของพระองค์ (โมโรไน 7:48)
พระคัมภีร์ทั้งในอดีตและปัจจุบันเต็มไปด้วยเครื่องเตือนใจถึงความรักนิรันดร์ของพระบิดาบนสวรรค์ต่อลูกๆ ของพระองค์ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระพาหุของพระบิดาบนสวรรค์กางออกเสมอ พร้อมจะโอบเราแต่ละคนและตรัสกับแต่ละคนด้วยสุรเสียงเบาๆ และเสียดแทงว่า “เรารักเจ้า”
เนื่องด้วยแบบฉบับครอบครัวที่สวรรค์กำหนด เราจึงเข้าใจถ่องแท้มากขึ้นว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราแต่ละคนอย่างเต็มที่และเท่าเทียมกัน ข้าพเจ้าเป็นพยานว่านี่เป็นความจริง พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักและรักเรา พระองค์ประทานนิมิตของสถานศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทรงเรียกศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกมาสอนหลักธรรมและแบบฉบับเพื่อจะนำเรากลับไปหาพระองค์ ขณะที่เราพยายามปลุกความปรารถนาในตนเองและผู้อื่นเพื่อให้รู้และขณะที่เราดำเนินชีวิตตามแบบฉบับที่เราค้นพบ เราจะถูกดึงเข้าใกล้พระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงเป็นแบบอย่าง และพระผู้ไถ่ที่รักของเรา ซึ่งข้าพเจ้ากล่าวในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน