2010–2019
คุ้มค่าหรือไม่
เมษายน 2012


11:0

คุ้มค่าหรือไม่

งานของการแบ่งปันพระกิตติคุณตามปกติและเป็นธรรมชาติกับคนที่เราห่วงใยและรักจะเป็นงานและปีติของชีวิตเรา

ระหว่างการประชุมใหญ่ครั้งนี้และในการประชุมอื่นเมื่อเร็วๆ นี้1 พวกเราหลายคนสงสัยว่าฉันทำอะไรได้บ้างเพื่อช่วยเสริมสร้างศาสนจักรของพระเจ้าและเห็นการเติบโตแท้จริงในที่ที่ฉันอยู่

ในเป้าหมายนี้และเป้าหมายสำคัญอื่นๆ งานสำคัญที่สุดของเราอยู่ในบ้านและครอบครัวเราเสมอ2 ศาสนจักรได้รับการสถาปนาและการเติบโตแท้จริงเกิดขึ้นในครอบครัว3 เราพึงสอนหลักธรรมและหลักคำสอนของพระกิตติคุณแก่บุตรธิดา เราต้องช่วยให้พวกเขามีศรัทธาในพระเยซูคริสต์และเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับบัพติศมาเมื่ออายุแปดขวบ4 เราต้องซื่อสัตย์เพื่อพวกเขาจะเห็นแบบอย่างความรักที่เรามีต่อพระเจ้าและศาสนจักรของพระองค์ สิ่งนี้ช่วยให้บุตรธิดาของเรารู้สึกถึงปีติในการรักษาพระบัญญัติ ความสุขในครอบครัว และความกตัญญูในการรับใช้ผู้อื่น ในบ้านของเรา เราควรทำตามแบบฉบับที่นีไฟให้ไว้เมื่อท่านกล่าวว่า

“เราทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร … เพื่อชักชวนลูกหลานเรา … ให้เชื่อในพระคริสต์, และให้คืนดีกับพระผู้เป็นเจ้า  …

“… เราพูดถึงพระคริสต์, เราชื่นชมยินดีในพระคริสต์, เราสั่งสอนเรื่องพระคริสต์, เราพยากรณ์ถึงพระคริสต์, และเราเขียนตามคำพยากรณ์ของเรา, เพื่อลูกหลานของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา” 5

เราทำงานอย่างขยันหมั่นเพียรเพื่อนำพรเหล่านี้มาให้บุตรธิดาโดยไปโบสถ์กับพวกเขา จัดสังสรรค์ในครอบครัว และอ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน เราสวดอ้อนวอนทุกวันกับครอบครัว ยอมรับการเรียก เยี่ยมคนป่วยและคนอ้างว้าง และทำอีกหลายอย่างเพื่อให้บุตรธิดารู้ว่าเรารักพวกเขาและเรารักพระบิดาบนสวรรค์ พระบุตรของพระองค์ และศาสนจักรของพระองค์

เราพูดและพยากรณ์ถึงพระคริสต์เมื่อเราให้บทเรียนการสังสรรค์ในครอบครัวหรือนั่งกับลูกคนหนึ่งและบอกรักลูกคนนั้นและแสดงประจักษ์พยานของเราเกี่ยวกับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู

เราเขียนถึงพระคริสต์ได้โดยเขียนจดหมายถึงคนอยู่ห่างไกล ผู้สอนศาสนาที่กำลังรับใช้ บุตรชายหญิงที่เป็นทหาร และคนที่เรารักล้วนได้รับพรจากจดหมายที่เราเขียน จดหมายจากทางบ้านไม่ใช่แค่อีเมลสั้นๆ จดหมายแท้จริงจะให้บางอย่างที่จับต้องได้ ชวนให้นึกถึง และน่าทะนุถนอม

เราช่วยบุตรธิดาให้พึ่งพาการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและรู้จักการให้อภัยของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักโดยแสดงความรักและการให้อภัยในวิถีทางของการเป็นบิดามารดาของเรา ความรักและการให้อภัยของเราไม่เพียงดึงลูกหลานมาใกล้ชิดเราเท่านั้นแต่สร้างศรัทธาให้พวกเขาได้รู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักพวกเขาและพระองค์จะทรงให้อภัยเมื่อพวกเขาพยายามกลับใจ ทำดีขึ้น และเป็นคนดีขึ้น พวกเขาวางใจความจริงนี้เพราะได้รับประสบการณ์จากบิดามารดาทางโลกของพวกเขา

นอกจากงานที่เราจะทำในครอบครัวเราแล้ว นีไฟสอนว่า “เราทำงานอย่างขยันหมั่นเพียร … เพื่อชักชวน … พี่น้องเราด้วย, ให้เชื่อในพระคริสต์, และให้คืนดีกับพระผู้เป็นเจ้า”6 ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราทุกคนมีพรและความรับผิดชอบของการแบ่งปันพระกิตติคุณ คนที่ต้องการพระกิตติคุณในชีวิตบางคนยังไม่เป็นสมาชิกศาสนจักร บางคนเคยอยู่ในหมู่เราแต่จำเป็นต้องรู้สึกถึงปีติที่เคยรู้สึกเมื่อครั้งน้อมรับพระกิตติคุณในช่วงชีวิตวัยเยาว์อีกครั้ง พระเจ้าทรงรักทั้งคนที่ไม่เคยมีพระกิตติคุณและคนที่กำลังกลับมาหาพระองค์7 สำหรับพระองค์และเรา นั่นไม่สำคัญ นี่คืองานเดียวกัน นั่นคือค่าของจิตวิญญาณ ไม่ว่าสภาพของพวกเขาเป็นเช่นไร นั่นสำคัญยิ่งต่อพระบิดาบนสวรรค์ พระบุตร และต่อเรา8 งานของพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์คือ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์”9 ของลูกทุกคนของพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงสภาวการณ์ปัจจุบันของพวกเขา พรของเราคือช่วยในงานสำคัญยิ่งนี้

ประธานโธมัส เอส. มอนสันอธิบายวิธีที่เราจะช่วยได้เมื่อท่านกล่าวว่า “ประสบการณ์เผยแผ่ศาสนาของเราต้องเป็นปัจจุบัน นั่งไตร่ตรองประสบการณ์ในอดีตเท่านั้นไม่พอ เพื่อให้เกิดสัมฤทธิผล ท่านต้องแบ่งปันพระกิตติคุณตามปกติและเป็นธรรมชาติต่อไป”10

งานของการแบ่งปันพระกิตติคุณตามปกติและเป็นธรรมชาติกับคนที่เราห่วงใยและรักจะเป็นงานและปีติของชีวิตเรา ข้าพเจ้าจะเล่าประสบการณ์เช่นนั้นให้ท่านฟังสองเรื่อง

เดฟ ออร์ชาร์ดเติบโตในซอลท์เลคซิตี้ที่เพื่อนส่วนใหญ่เป็นสมาชิกศาสนจักร เพื่อนมีอิทธิพลต่อเขามาก นอกจากนี้ ผู้นำศาสนจักรในละแวกบ้านชวนเขาไปกิจกรรมสม่ำเสมอด้วย เพื่อนของเขาก็ชวนเขาเช่นกัน แม้เขาไม่เข้าร่วมศาสนจักรในเวลานั้น แต่อิทธิพลของเพื่อนแอลดีเอสที่ดีและกิจกรรมที่ศาสนจักรเป็นผู้อุปถัมภ์เป็นพรตลอดช่วงที่เขาเติบใหญ่ หลังจากเข้าวิทยาลัย เขาย้ายออกจากบ้าน และเพื่อนส่วนใหญ่ไปเป็นผู้สอนศาสนา เขาจึงไม่มีโอกาสรับอิทธิพลของคนเหล่านั้นในชีวิตเขา

เพื่อนสมัยมัธยมปลายคนหนึ่งของเดฟยังอยู่บ้าน เพื่อนคนนี้พบอธิการทุกสัปดาห์เพื่อพยายามทำให้ชีวิตเขาอยู่ในระเบียบและสามารถรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาได้ เขากับเดฟกลายเป็นเพื่อนร่วมห้อง ทั้งตามปกติและเป็นธรรมชาติ พวกเขาพูดคุยกันว่าเหตุใดเขาจึงไม่รับใช้เป็นผู้สอนศาสนาตอนนี้และเหตุใดเขาพบกับอธิการบ่อยๆ เพื่อนกล่าวแสดงความขอบคุณและความเคารพต่ออธิการและโอกาสที่ได้กลับใจและรับใช้ จากนั้นเขาถามเดฟว่าอยากไปสัมภาษณ์กับเขาครั้งต่อไปหรือไม่ นั่นเป็นการเชื้อเชิญ! แต่ในความเป็นเพื่อนและสภาวการณ์ของพวกเขา นั่นเป็นทั้งเรื่องปกติและเป็นธรรมชาติ

เดฟตกลงและไม่นานก็พบกับอธิการด้วยตนเอง นี่นำไปสู่การตัดสินใจพบกับผู้สอนศาสนา เขาได้รับประจักษ์พยานว่าพระกิตติคุณเป็นความจริง และกำหนดวันรับบัพติศมา อธิการให้บัพติศมาเดฟ และหนึ่งปีต่อมา เดฟ ออร์ชาร์ด และแคเธอรีน อีแวนส์แต่งงานกันในพระวิหาร พวกเขามีบุตรธิดาห้าคน แคเธอรีนเป็นน้องสาวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะขอบคุณเพื่อนที่ดีคนนี้ตลอดไป เขากับอธิการที่ดีนำเดฟมาสู่ศาสนจักร

เมื่อเดฟพูดถึงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเขาและแสดงประจักษ์พยานเกี่ยวกับเหตุการณ์เหล่านี้ เขาถามว่า “แล้วคุ้มค่าหรือไม่ ความพยายามของเพื่อนๆ ผู้นำเยาวชน และอธิการตลอดหลายปีนั้นคุ้มค่ากับการที่เด็กหนุ่มคนหนึ่งรับบัพติศมาหรือไม่” เขากล่าวพลางชี้ไปที่แคเธอรีนกับบุตรธิดาห้าคนของเขา “อย่างน้อยสำหรับภรรยาผมกับลูกๆ ห้าคนของเรา คำตอบคือ คุ้มค่า”

เมื่อใดก็ตามที่มีการแบ่งปันพระกิตติคุณ ไม่ใช่ “แค่เด็กหนุ่มคนเดียว” เมื่อใดก็ตามที่มีการเปลี่ยนใจเลื่อมใสหรือมีคนหันมาหาพระเจ้า นั่นคือครอบครัวได้รับการช่วยให้รอด เมื่อลูกๆ ของเดฟกับแคเธอรีนโตขึ้น ทุกคนน้อมรับพระกิตติคุณ บุตรสาวคนหนึ่งและบุตรชายสองคนรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาและอีกคนเพิ่งได้รับการเรียกให้ไปคณะเผยแผ่อัลไพน์ที่พูดภาษาเยอรมัน คนโตสองคนแต่งงานในพระวิหาร และคนเล็กกำลังเรียนชั้นมัธยมปลาย ซื่อสัตย์ในทุกด้าน คุ้มค่าหรือไม่ แน่นอน นั่นคุ้มค่า

ซิสเตอร์ไอลีน เวทเข้าร่วมการประชุมใหญ่สเตคครั้งเดียวกับที่เดฟ ออร์ชาร์ดเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเขา ตลอดการประชุมใหญ่ เธอคิดถึงแต่ครอบครัว โดยเฉพาะมิเชลล์พี่สาวที่ห่างศาสนจักรไปนาน มิเชลล์หย่าร้างและพยายามเลี้ยงลูกสี่คน ไอลีนรู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนให้ส่งหนังสือ Our Search for Happiness ของเอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดไปให้พี่สาว พร้อมประจักษ์พยานของเธอ สัปดาห์ต่อมาเพื่อนคนหนึ่งบอกไอลีนว่าเธอรู้สึกเช่นกันว่าควรติดต่อมิเชลล์ เพื่อนคนนี้เขียนข้อความแบ่งปันประจักษ์พยานและแสดงความรักต่อมิเชลล์ ไม่น่ามหัศจรรย์หรอกหรือที่พระวิญญาณมักจะทรงทำงานกับคนหลายคนเพื่อช่วยคนทุกข์ยากเดือดร้อน

เวลาผ่านไป มิเชลล์โทรศัพท์ขอบคุณไอลีนสำหรับหนังสือ เธอบอกว่าเธอเริ่มตระหนักถึงความว่างเปล่าทางวิญญาณในชีวิตเธอ ไอลีนบอกเธอว่าสันติที่เธอกำลังแสวงหาพบได้ในพระกิตติคุณ เธอบอกว่าเธอรักมิเชลล์และอยากให้มิเชลล์มีความสุข มิเชลล์เริ่มทำการเปลี่ยนแปลงในชีวิต ไม่นานก็พบชายแสนดีที่แข็งขันในศาสนจักร พวกเขาแต่งงานกันและหนึ่งปีต่อมาได้รับการผนึกในพระวิหารออกเด็น ยูทาห์ เมื่อเร็วๆ นี้บุตรชายวัย 24 ปีของเธอรับบัพติศมา

ข้าพเจ้ากล่าวแก่คนอื่นๆ ในครอบครัวของมิเชลล์และคนอื่นทั้งหมดที่ยังไม่รู้ว่าศาสนจักรนี้แท้จริง ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านให้พิจารณาร่วมกับการสวดอ้อนวอนว่าศาสนจักรแท้จริงหรือไม่ จงยอมให้ครอบครัวท่าน มิตรสหาย และผู้สอนศาสนาช่วย เมื่อท่านรู้ว่าจริง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ จงมาร่วมกับเราโดยเดินตามขั้นตอนเดียวกันในชีวิตท่าน

ตอนจบของเรื่องไม่ได้เขียนไว้ แต่สตรีที่แสนดีคนนี้และครอบครัวเธอได้รับพรเพราะคนที่รักเธอทำตามการกระตุ้นเตือนและแบ่งปันประจักษ์พยานตามปกติและเป็นธรรมชาติ และชวนเธอกลับมา

ข้าพเจ้าคิดถึงประสบการณ์ทั้งสองนี้มาก ชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังพยายามทำชีวิตให้อยู่ในระเบียบได้ช่วยชายหนุ่มอีกคนหนึ่งที่กำลังแสวงหาความจริง สตรีคนหนึ่งแบ่งปันประจักษ์พยานและความเชื่อกับพี่สาวที่ห่างจากศาสนจักรไป 20 ปี ถ้าเราจะสวดอ้อนวอนและทูลถามพระบิดาบนสวรรค์ว่าเราจะช่วยใครได้บ้างและสัญญาจะทำตามการกระตุ้นเตือนที่พระองค์ประทานให้เรารู้ว่าจะช่วยได้อย่างไร พระองค์จะทรงตอบคำสวดอ้อนวอนและเราจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์เพื่อทำงานนี้ การทำตามการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณด้วยความรักคือตัวเร่ง11

เมื่อได้ฟังประสบการณ์เหล่านี้ของการแบ่งปันพระกิตติคุณตามปกติและเป็นธรรมชาติกับคนที่เราห่วงใย หลายท่านคงเคยมีประสบการณ์แบบเดียวกับไอลีน เวท ท่านนึกถึงคนที่ท่านควรเอื้อมออกไปหาและชวนเขากลับมาหรือบอกความรู้สึกของท่านเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ คำเชื้อเชิญของข้าพเจ้าคือทำตามการกระตุ้นเตือนโดยไม่ชักช้า พูดคุยกับเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัว ทำตามปกติและเป็นธรรมชาติ ให้พวกเขารู้ว่าท่านรักพวกเขาและรักพระเจ้า ผู้สอนศาสนาช่วยได้ คำแนะนำของข้าพเจ้าเหมือนกับที่ประธานมอนสันให้ไว้หลายครั้งจากแท่นพูดแห่งนี้ “อย่าถ่วงเวลาทำตามการกระตุ้นเตือน”12 เมื่อท่านทำตามการกระตุ้นเตือนและทำด้วยความรัก จงเฝ้าดูเมื่อพระบิดาบนสวรรค์ทรงใช้ความเต็มใจของท่านทำให้เกิดปาฏิหาริย์ในชีวิตท่านและชีวิตคนที่ท่านห่วงใย13

พี่น้องชายหญิงที่รัก เราเสริมสร้างศาสนจักรและเห็นการเติบโตแท้จริงได้เมื่อเราทำงานเพื่อนำพรของพระกิตติคุณมาสู่ครอบครัวและคนที่เรารัก นี่คืองานของพระบิดาบนสวรรค์และของพระบุตรพระองค์ ข้าพเจ้ารู้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงพระชนม์และทรงตอบคำสวดอ้อนวอน เมื่อเราทำตามการกระตุ้นเตือนเหล่านั้น โดยมีศรัทธาว่าพระองค์ทรงสามารถทำให้เกิดปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้นและชีวิตจะเปลี่ยน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู การประชุมอบรมผู้นำทั่วโลก 11 ก.พ. 2012, LDS.org

  2. ดู คำสอนของประธานศาสนาจักร: ฮาโรลด์ บี. ลี (2000) หน้า 137

  3. ดู บอยด์ เค. แพคเกอร์ “อำนาจฐานะปุโรหิตในบ้าน” การประชุมอบรมผู้นำทั่วโลก 11 ก.พ. 2012, LDS.org

  4. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 68:25–28

  5. 2 นีไฟ 25:23, 26

  6. 2 นีไฟ 25:23

  7. ดู ลูกา 15:4–7

  8. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:10

  9. โมเสส 1:39

  10. “Status Report on Missionary Work: A Conversation with Elder Thomas S. Monson, Chairman of the Missionary Committee of the Council of the Twelve,” Ensign, ต.ค. 1977, 14.

  11. ดู โธมัส เอส. มอนสัน “จงขวนขวาย” เลียโฮนา พ.ย. 2004 หน้า 70–74 ; “ออกไปช่วยชีวิต” เลียโฮนา ก.ค. 2001 หน้า 67–71; Ensign, พ.ค. 2001, 48–50; “The Doorway of Love,” Liahona and Ensign, ต.ค. 1996, 2–7.

  12. ดู แอนน์ เอ็ม. ดิบบ์ “My Father Is a Prophet” (Brigham Young University–Idaho devotional, ก.พ. 19, 2008), byui.edu/devotionalsandspeeches; โธมัส เอส. มอนสัน “ยืนในที่ซึ่งกำหนดไว้ให้ท่าน” เลียโฮนา พ.ค. 2003 หน้า 67–91 ; “จงเงียบสงบ” เลียโฮนา พ.ย. 2002 หน้า 65–69 ; “Priesthood Power,” Ensign, พ.ย. 1999, 49–51 ; “The Spirit Giveth Life,” Ensign, พ.ค. 1985, 68–70.

  13. นอกจากประธานโธมัส เอส. มอนสันแล้ว ศาสดาพยากรณ์อีกหลายท่านได้สอนหลักธรรมเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ สอนความสำคัญของการทำตามการกระตุ้นเตือนผ่านพระวิญญาณเมื่อท่านกล่าวว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงสนพระทัยเรา และพระองค์ทรงดูแลเรา แต่ปกติพระองค์ทรงสนองความต้องการของเราผ่านผู้อื่น ด้วยเหตุนี้การรับใช้กันในอาณาจักรจึงสำคัญยิ่ง” (คำสอนของประธานศาสนาจักร: สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ [2006] หน้า 90)