“ให้สร้างนิเวศน์นี้แด่นามของเรา”
(หลักคำสอนและพันธสัญญา 124:40)
พันธสัญญาที่ได้รับและศาสนพิธีที่ประกอบในพระวิหารจำเป็นต่อการชำระใจเราให้บริสุทธิ์และเพื่อความสูงส่งขั้นสูงสุดของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า
ในป่าศักดิ์สิทธิ์เมื่อ 200 ปีมาแล้ว เด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธเห็นและพูดคุยกับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ โจเซฟเรียนรู้จากทั้งสองพระองค์เกี่ยวกับธรรมชาติที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์และการเปิดเผยต่อเนื่องเมื่อนิมิตจากสวรรค์นี้เริ่มต้น “สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา”1ในยุคสุดท้าย
ประมาณสามปีต่อมา ในการตอบคำสวดอ้อนวอนอันแรงกล้าในค่ำวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 ห้องนอนของโจเซฟมีแสงสว่างเจิดจ้าแม้ “สว่างยิ่งกว่าตอนเที่ยงวัน”2 มีรูปกายหนึ่งมาปรากฏข้างเตียงท่าน เรียกชื่อเด็กหนุ่มและประกาศว่า “ท่านเป็นผู้ส่งสารที่ส่งมาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า … และชื่อของท่านคือโมโรไน”3 ท่านสอนโจเซฟเกี่ยวกับการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน
จากนั้นโมโรไนอ้างถึงหนังสือมาลาคีในพันธสัญญาเดิม โดยภาษาที่ใช้มีความแตกต่างกันเล็กน้อยกับฉบับคิงเจมส์:
“ดูเถิด, เราจะเปิดเผยฐานะปุโรหิตแก่เจ้า, โดยมือของเอลียาห์ศาสดาพยากรณ์, ก่อนการมาของวันสำคัญและน่าพรั่นพรึงของพระเจ้า …
“และท่านจะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา. หากไม่เป็นเช่นนั้น, ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระองค์”4
ที่สำคัญคือ คำแนะนำที่โมโรไนให้แก่โจเซฟ สมิธเกี่ยวกับพันธกิจของเอลียาห์เป็นการเริ่มต้นงานพระวิหารและประวัติครอบครัวในยุคสุดท้าย และเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟื้นฟู “สรรพสิ่ง ตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา”5
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ขณะที่เราเรียนรู้ด้วยกันเกี่ยวกับพันธสัญญา ศาสนพิธี และพรที่มีให้เราในพระวิหารของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย
การกลับมาของเอลียาห์
ข้าพเจ้าขอเริ่มต้นด้วยคำถามพื้นฐาน: เหตุใดการกลับมาของเอลียาห์จึงสำคัญ?
“เราเรียนรู้จากการเปิดเผยในยุคสุดท้ายว่าเอลียาห์ดำรงอำนาจการผนึกของฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค”6 และ “เป็นศาสดาพยากรณ์คนสุดท้ายที่ดำรงอำนาจนี้ก่อนสมัยของพระเยซูคริสต์”7
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอธิบายว่า: “วิญญาณ พลังอำนาจ และการเรียกของเอลียาห์คือ เจ้ามีอำนาจถือกุญแจแห่ง … ความบริบูรณ์ของฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค … อีกทั้งได้รับ … ศาสนพิธีทุกอย่างที่เป็นของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า แม้ไปสู่การหันใจบรรพบุรุษมาหาลูกหลานและหันใจลูกหลานไปหาบรรพบุรุษ แม้คนที่อยู่ในสวรรค์”8
สิทธิอำนาจการผนึกอันศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อ “อะไรก็ตามที่เจ้าจะผนึกไว้บนแผ่นดินโลกจะผนึกไว้ในสวรรค์; และอะไรก็ตามที่เจ้าคลายไว้บนแผ่นดินโลกจะคลายไว้ในสวรรค์”9
โจเซฟขยายความต่อว่า: “พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาช่วยชีวิตคนรุ่นนี้อย่างไร? พระองค์จะทรงส่งศาสดาเอลียาห์มา … เอลียาห์จะเปิดเผยพันธสัญญาเพื่อผนึกใจของบรรพบุรุษกับลูกหลาน และลูกหลานกับบรรพบุรุษ”10
เอลียาห์ปรากฏพร้อมกับโมเสสบนภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพและประสาทสิทธิอำนาจนี้แก่เปโตร ยากอบ และยอห์น11 เอลียาห์ปรากฏพร้อมกับโมเสสและเอลีอัสด้วยในวันที่ 3 เมษายน ค.ศ. 1836 ในพระวิหารเคิร์ทแลนด์และประสาทกุญแจฐานะปุโรหิตเดียวกันแก่โจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรี12
การฟื้นฟูอำนาจการผนึกโดยเอลียาห์ในปี 1836 จำเป็นต่อการเตรียมโลกให้พร้อมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอดและส่งผลให้ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจค้นคว้าประวัติครอบครัวกันมากขึ้นอย่างมหาศาล
เปลี่ยนใจ หันใจ และชำระใจให้บริสุทธิ์
ในงานมาตรฐานใช้คำว่า ใจ มากกว่า 1,000 ครั้ง คำที่เรียบง่ายแต่สำคัญมากคำนี้มักจะหมายถึงความรู้สึกภายในของบุคคล ใจของเรา—ทั้งหมดของความปรารถนา ความรักใคร่ ความตั้งใจ แรงจูงใจ และเจตคติของเรา—คือสิ่งที่นิยามว่าเราเป็นใครและกำหนดว่าเราจะเป็นใคร แก่นแท้ในงานของพระเจ้าคือการเปลี่ยนใจ หันใจ และชำระใจให้บริสุทธิ์โดยผ่านพันธสัญญาในพระกิตติคุณและศาสนพิธีฐานะปุโรหิต
เราไม่ได้สร้างหรือเข้าพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงเพื่อจะมีประสบการณ์ส่วนตัวหรือประสบการณ์ครอบครัวที่น่าจดจำเท่านั้น แต่พันธสัญญาที่ได้รับและศาสนพิธีที่ประกอบในพระวิหารจำเป็นต่อการชำระใจเราให้บริสุทธิ์และเพื่อความสูงส่งขั้นสูงสุดของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า
การปลูกสัญญาที่ทรงทำกับบรรพบุรุษ—แม้อับราฮัม อิสอัค และยาโคบ—ไว้ในใจของลูกหลาน การหันใจลูกหลานไปหาบรรพบุรุษ การค้นคว้าประวัติครอบครัว และประกอบศาสนพิธีพระวิหารผ่านตัวแทน ล้วนเป็นงานที่เป็นพรแก่คนทั้งสองด้านของม่าน เมื่อเราทำงานอย่างทุ่มเทในงานศักดิ์สิทธิ์นี้ เรากำลังเชื่อฟังพระบัญญัติให้รักและรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนบ้านของเรา13 การรับใช้อย่างไม่เห็นแก่ตนเองเช่นนั้นช่วยให้เรา “ฟังพระองค์!”14และมาหาพระผู้ช่วยให้รอด15อย่างแท้จริง
พันธสัญญาและศาสนพิธีฐานะปุโรหิตที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดได้รับในพระวิหาร—พระนิเวศน์ของพระเจ้าเท่านั้น ทุกสิ่งที่เรียนรู้และกระทำในพระวิหารเน้นย้ำถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์และบทบาทของพระองค์ในแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขของพระบิดาบนสวรรค์
จากภายในสู่ภายนอก
ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน บรรยายถึงรูปแบบสำคัญที่พระผู้ไถ่ทรงใช้ในการ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”16 ท่านกล่าวว่า “พระเจ้าทรงทำงานจากภายในสู่ภายนอก โลกทำงานจากภายนอกสู่ภายใน โลกจะนำผู้คนออกจากสลัม พระคริสต์ทรงนำสลัมออกจากผู้คน จากนั้นพวกเขาจะพาตนเองออกจากสลัม โลกจะหล่อหลอมมนุษย์โดยเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของพวกเขา พระคริสต์ทรงเปลี่ยนมนุษย์ จากนั้นมนุษย์จะเปลี่ยนสภาพแวดล้อมของตน โลกจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ แต่พระคริสต์ทรงเปลี่ยนธรรมชาติวิสัยของมนุษย์”17
พันธสัญญาและศาสนพิธีฐานะปุโรหิตเป็นศูนย์กลางในกระบวนการต่อเนื่องของการเกิดใหม่และการเปลี่ยนสภาพทางวิญญาณ เป็นวิธีที่พระเจ้าทรงทำงานกับเราแต่ละคน จากภายในสู่ภายนอก พันธสัญญาที่รักษาอย่างแน่วแน่ ระลึกถึงอยู่เสมอ และเขียนไว้ “ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ … บนแผ่นดวงใจมนุษย์”18 ให้จุดประสงค์และความมั่นใจถึงพรในความเป็นมรรตัยและในนิรันดร ศาสนพิธีที่รับอย่างมีค่าควรและระลึกถึงตลอดเวลาจะเปิดช่องทางสวรรค์ให้พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตเราได้
เราไม่ได้มาพระวิหารเพื่อหลบซ่อนหรือหนีจากความชั่วร้ายของโลก แต่เรามาพระวิหารเพื่อเอาชนะโลกแห่งความชั่วร้าย เมื่อเราอัญเชิญ “พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า”19 เข้ามาในชีวิตเราโดยการรับศาสนพิธีฐานะปุโรหิต ทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เราได้รับพรด้วยพละกำลังที่เหนือกว่าของเราเอง20เพื่อเอาชนะการล่อลวงและความท้าทายของความเป็นมรรตัย เพื่อทำความดีและเป็นคนดี
กิตติศัพท์ของนิเวศน์แห่งนี้จะแพร่สะพัด
พระวิหารแห่งแรกของสมัยการประทานนี้สร้างขึ้นที่เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ และอุทิศเมื่อวันที่ 27 มีนาคม ค.ศ. 1836
ในการเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธหนึ่งสัปดาห์หลังจากการอุทิศ พระเจ้าทรงประกาศว่า
“ให้ใจผู้คนทั้งปวงของเราชื่นชมยินดี, ผู้ที่สร้างนิเวศน์แห่งนี้, ด้วยสุดกำลังของพวกเขา, แด่นามของเรา. …
“แท้จริงแล้ว ดวงใจหลายพันและหลายหมื่นดวงจะชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้นอันเป็นผลจากพรซึ่งจะเทลงมา, และการประสาทพรที่ผู้รับใช้ทั้งหลายของเราได้รับประสาทพรในนิเวศน์แห่งนี้.
“และกิตติศัพท์ของนิเวศน์แห่งนี้จะแพร่สะพัดไปยังต่างแดน; และนี่เป็นการเริ่มต้นพรซึ่งจะเทลงบนศีรษะผู้คนของเรา”21
ขอให้ดูประโยคที่ว่า ดวงใจหลายพันและหลายหมื่นดวงจะชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น และ กิตติศัพท์ของนิเวศน์แห่งนี้จะแพร่สะพัดไปยังต่างแดน นี่เป็นคำประกาศอันน่าทึ่งในเดือนเมษายนปี 1836 เมื่อศาสนจักรมีสมาชิกเพียงหยิบมือและมีพระวิหารเพียงแห่งเดียว
วันนี้ในปี 2020 เรามีพระวิหารเปิดทำการ 168 แห่ง พระวิหารอีกสี่สิบเก้าแห่งอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างหรือประกาศสร้างแล้ว พระนิเวศน์ของพระเจ้ากำลังก่อสร้างบน “เกาะในทะเล”22 ในประเทศและสถานที่ซึ่งก่อนหน้านี้หลายคนเห็นว่าไม่น่าจะรับรองให้มีพระวิหาร
ปัจจุบันพิธีเอ็นดาวเม้นท์มี 88 ภาษาและจะมีอีกหลายภาษาเพิ่มเติมเมื่อพระวิหารสร้างขึ้นเพื่อเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น ในอีก 15 ปีข้างหน้า จำนวนภาษาที่มีสำหรับศาสนพิธีพระวิหารคงจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
ปีนี้เราจะทำพิธีเบิกดินและเริ่มก่อสร้างพระวิหาร 18 แห่ง ในทางกลับกัน ต้องใช้เวลาถึง 150 ปีในการสร้างพระวิหาร 18 แห่งแรก นับจากการจัดตั้งศาสนจักรในปี 1830 จนถึงการอุทิศพระวิหารโตเกียว ญี่ปุ่นโดยประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ในปี 1980
ลองพิจารณาการเร่งงานพระวิหารที่เกิดขึ้นระหว่างช่วงชีวิตของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เมื่อประธานเนลสันเกิดในวันที่ 9 กันยายน ค.ศ. 1924 ศาสนจักรมีพระวิหารเปิดทำการหกแห่ง
เมื่อท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวกในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1984 คือ 60 ปีต่อมา มีพระวิหารเปิดทำการ 26 แห่ง พระวิหารเพิ่มขึ้น 20 แห่งใน 60 ปี
เมื่อประธานเนลสันได้รับการสนับสนุนเป็นประธานศาสนจักร มีพระวิหารเปิดทำการ 159 แห่ง พระวิหารเพิ่มขึ้น 133 แห่งในช่วง 34 ปีที่ท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง
ตั้งแต่เป็นประธานศาสนจักรในวันที่ 14 มกราคม ค.ศ. 2018 ประธานเนลสันประกาศสร้างพระวิหารใหม่ 35 แห่ง
พระวิหารที่มีอยู่จำนวนเก้าสิบหกเปอร์เซ็นต์ได้รับการอุทิศในช่วงชีวิตของประธานเนลสัน; 84 เปอร์เซ็นต์ได้รับการอุทิศนับตั้งแต่ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นอัครสาวก
มุ่งความสนใจไปยังสิ่งสำคัญที่สุดเสมอ
ในฐานะสมาชิกศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเจ้า เราเฝ้าพิศวงกับงานของพระองค์ที่รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในยุคสุดท้าย และพระวิหารอีกหลายแห่งกำลังจะตามมา
บริคัม ยังก์พยากรณ์ว่า “เพื่อทำให้งานนี้เกิดสัมฤทธิผล จะต้องไม่มีพระวิหารเพียงแห่งเดียว แต่ต้องมีหลายพันแห่ง ชายและหญิงเป็นหมื่นเป็นแสนจะเข้าไปในพระวิหารเหล่านั้นและประกอบพิธีเพื่อคนที่เคยมีชีวิตอยู่ย้อนกลับขึ้นไปให้ไกลที่สุดตามที่พระเจ้าจะทรงเปิดเผย”23
อย่างที่เข้าใจได้ การประกาศสร้างพระวิหารใหม่แต่ละแห่งเป็นที่มาของปีติอันยิ่งใหญ่และเหตุผลที่จะขอบพระทัยพระเจ้า แต่เราควรมุ่งความสนใจไปที่พันธสัญญาและศาสนพิธีเป็นหลัก ซึ่งสามารถเปลี่ยนใจเราและทำให้การอุทิศตนของเราต่อพระผู้ช่วยให้รอดลึกซึ้งยิ่งขึ้น และไม่สนใจแค่เพียงสถานที่หรือความสวยงามของอาคาร
หน้าที่พื้นฐานที่เรามีในฐานะสมาชิกศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเจ้าคือ (1) “ฟังพระองค์!”24 และให้ใจเราเปลี่ยนแปลงผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธี และ (2) ทำหน้าที่รับผิดชอบจากสวรรค์ให้เกิดสัมฤทธิผลอย่างมีความสุข เพื่อมอบพรพระวิหารแก่ครอบครัวมนุษย์ทั้งปวงในทั้งสองด้านของม่าน ด้วยการนำทางและความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราจะทำหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ให้เกิดสัมฤทธิผลแน่นอน
การเสริมสร้างไซอัน
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธประกาศว่า:
“การเสริมสร้างไซอันเป็นอุดมการณ์ที่ผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าในทุกยุคทุกสมัยให้ความสนใจ เป็นหัวข้อที่บรรดาศาสดาพยากรณ์ ปุโรหิต และกษัตริย์พูดถึงด้วยความเบิกบานใจเป็นพิเศษ พวกท่านตั้งตาคอยวันที่เราจะมีชีวิตอยู่ด้วยความคาดหวังอันเปี่ยมปีติ พวกท่านร้องเพลง เขียน และพยากรณ์ถึงยุคสมัยของเราโดยได้รับแรงบันดาลใจจากความคาดหวังอันเปี่ยมปีติและล้ำเลิศ แต่พวกท่านก็ตายจากไปก่อนจะได้เห็น … เพื่อให้เราได้เห็น ได้มีส่วนร่วม และช่วยให้รัศมีภาพยุคสุดท้ายแผ่ไปข้างหน้า”25
“ฐานะปุโรหิตในสวรรค์จะเป็นหนึ่งเดียวกับฐานะปุโรหิตบนโลกเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์อันยิ่งใหญ่เหล่านั้น … งานที่พระผู้เป็นเจ้าและเหล่าเทพจับตามองคนรุ่นก่อนๆ ด้วยความพอพระทัย งานที่กระตุ้นจิตวิญญาณของเหล่าปิตุและศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณ งานที่มุ่งหมายจะก่อให้เกิดความพินาศของพลังแห่งความมืด การเปลี่ยนโฉมใหม่ให้แผ่นดินโลก พระสิริของพระผู้เป็นเจ้า และความรอดของครอบครัวมนุษย์”26
ข้าพเจ้าเป็นพยานอย่างจริงจังว่าพระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธ และเอลียาห์ฟื้นฟูสิทธิอำนาจการผนึก พันธสัญญาและศาสนพิธีพระวิหารอันศักดิ์สิทธิ์จะเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เราและชำระใจเราให้บริสุทธิ์เมื่อเรา “ฟังพระองค์!”27และรับพลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่างานยุคสุดท้ายจะทำลายพลังแห่งความมืดและนำมาซึ่งความรอดของครอบครัวมนุษย์ ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยปีติเต็มเปี่ยมถึงความจริงเหล่านี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พระเยซูคริสต์ เอเมน