การแบ่งปันข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูและการฟื้นคืนพระชนม์
การฟื้นฟูเป็นของโลก และข่าวสารการฟื้นฟูเร่งด่วนเป็นพิเศษในวันนี้
ตลอดการประชุมใหญ่สามัญครั้งนี้เราพูดและร้องเพลงด้วยความปีติยินดีเกี่ยวกับสัมฤทธิผลของ “การฟื้นฟูสรรพสิ่ง”1 ที่พยากรณ์ไว้นานมาแล้ว, เกี่ยวกับการ “รวบรวมทุกสิ่ง … ให้อยู่ในพระคริสต์,”2 เกี่ยวกับการกลับมาของความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณ ฐานะปุโรหิต และศาสนจักรของพระเยซูคริสต์บนแผ่นดินโลก ซึ่งทั้งหมดนี้เราเรียกว่า “การฟื้นฟู”
แต่การฟื้นฟูไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ชื่นชมยินดีในเรื่องนี้เท่านั้น การเปิดเผยต่างๆ เกี่ยวกับนิมิตแรกไม่ใช่สำหรับโจเซฟ สมิธคนเดียวแต่มอบให้เป็นแสงสว่างและความจริงสำหรับทุกคนที่ “ขาดสติปัญญา”3 พระคัมภีร์มอรมอนเป็นทรัพย์สมบัติของมนุษยชาติ ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตแห่งความรอดและความสูงส่งเตรียมไว้ให้ทุกคน รวมทั้งคนที่ไม่ได้อยู่ในความเป็นมรรตัยแล้ว ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและพรของศาสนจักรมีไว้เพื่อทุกคนที่ต้องการ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มีไว้เพื่อทุกคน การฟื้นฟูเป็นของโลก และข่าวสารการฟื้นฟูเร่งด่วนเป็นพิเศษในวันนี้
“ดังนั้น, ความสำคัญนั้นใหญ่หลวงเพียงใดที่จะทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้แก่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลก, เพื่อพวกเขาจะรู้ว่าไม่มีเนื้อหนังใดจะสามารถพำนักอยู่ในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าได้, นอกจากจะเป็นโดยผ่านความดีงาม, และพระเมตตา, และพระคุณของพระเมสสิยาห์ผู้บริสุทธิ์, ผู้ทรงพลีพระชนม์ชีพของพระองค์ตามเนื้อหนัง, และทรงมีพระชนม์ชีพอีกโดยอำนาจของพระวิญญาณ, เพื่อพระองค์จะทรงทำให้เกิดการฟื้นคืนชีวิตของคนตาย”4
นับตั้งแต่วันที่แซมิวเอล สมิธ น้องชายของท่านศาสดาพยากรณ์ นำพระคัมภีร์มอรมอนที่เพิ่งพิมพ์เสร็จใส่เต็มกระเป๋าออกเดินเท้าไปแบ่งปันพระคัมภีร์เล่มใหม่ วิสุทธิชนก็ทำงานไม่หยุดหย่อนเพื่อ “ทำให้สิ่งเหล่านี้เป็นที่รู้แก่ผู้อยู่อาศัยของแผ่นดินโลก”
ในปี 1920 สมัยที่ยังเป็นเอ็ลเดอร์เดวิด โอ. แมคเคย์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านเริ่มเดินทางเพื่อเยี่ยมเยียนคณะเผยแผ่ต่างๆ ของศาสนจักรตลอดปี ภายในเดือนพฤษภาคมปี 1921 ท่านยืนอยู่ในสุสานเล็กๆ ในฟากาลี ซามัว ตรงหน้าหลุมศพที่ได้รับการดูแลอย่างดีของเด็กเล็กสามคน บุตรสาวและบุตรชายอีกสองคนของโธมัสกับซาราห์ ฮิลตัน เด็กเล็กทั้งสาม—คนโตอายุสองขวบ—เสียชีวิตในช่วงที่โธมัสกับซาราห์รับใช้เป็นคู่ผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวในปลายทศวรรษ 1800
ก่อนออกจากยูทาห์ เอ็ลเดอร์แมคเคย์สัญญากับซาราห์ซึ่งตอนนี้เป็นม่ายว่าท่านจะไปเยี่ยมหลุมศพของลูกๆ เธอในซามัว เพราะเธอไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้ เอ็ลเดอร์แมคเคย์เขียนกลับมาหาเธอว่า “ซิสเตอร์ฮิลตัน ลูกน้อยทั้งสามของคุณ … สานต่องานเผยแผ่อันทรงเกียรติที่คุณเริ่มไว้เกือบสามสิบปีที่แล้วอย่างเงียบๆ และจับใจที่สุด” จากนั้นท่านเพิ่มบทประพันธ์ท่อนหนึ่งของท่านเอง:
มือเปี่ยมรักปิดตาเด็กน้อยที่วางวาย
มือเปี่ยมรักจัดร่างน้อยเรียงรายก่อนฝัง
มือต่างชาติประดับหลุมศพเล็กๆ นั้นให้งามตา
คนแปลกหน้าวันทา คนแปลกหน้าอาลัย5
เรื่องราวนี้เป็นเพียงหนึ่งในหลายพันหลายแสนเรื่องที่พูดถึงเวลา สิ่งล้ำค่า และชีวิตที่มีผู้สละให้ตลอด 200 ปีที่ผ่านมาเพื่อแบ่งปันข่าวสารการฟื้นฟู ความปรารถนาของเราที่จะเข้าถึงทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และผู้คนยังไม่ลดลงทุกวันนี้ เห็นได้จากชายหนุ่มหญิงสาวและคู่สามีภรรยาหลายหมื่นคนที่กำลังรับใช้ภายใต้การเรียกเป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา จากสมาชิกศาสนจักรทั่วไปที่สะท้อนคำเชิญชวนของฟีลิปให้มาดู6 และจากเงินหลายล้านดอลลาร์ที่ใช้สนับสนุนงานดังกล่าวทั่วโลกทุกปี
แม้คำเชิญชวนของเราไม่มีการบีบบังคับ แต่เราหวังว่าทุกคนจะสนใจ เพื่อให้เป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าต้องมีสามสิ่งเป็นอย่างน้อย สิ่งแรก ความรักของท่าน สิ่งที่สอง แบบอย่างของท่าน และสิ่งที่สาม การใช้พระคัมภีร์มอรมอนของท่าน
คำเชิญชวนของเราจะเป็นเรื่องของประโยชน์ส่วนตนไม่ได้ แต่ต้องเป็นการแสดงความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว7 ความรักนี้เรียกว่าจิตกุศล ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ เป็นความรักที่เราต้องทูลขอ เราได้รับคำเชื้อเชิญ แม้ถึงกับเป็นคำสั่งให้ “สวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อ [เรา] จะเปี่ยมด้วยความรักนี้”8
ตัวอย่างเช่น ข้าพเจ้าขอแบ่งปันประสบการณ์ที่เล่าโดยซิสเตอร์ลาเนตต์ โฮชิง ปัจจุบันกำลังรับใช้กับสามีของเธอ ประธานฟรานซิส โฮชิง ประธานคณะเผยแผ่ซามัว อาปีอา ซิสเตอร์โฮชิงเล่าว่า:
“หลายปีก่อน ครอบครัวที่มีลูกเล็กของเราย้ายไปอยู่บ้านหลังเล็กในลาอีเอ ฮาวาย ที่จอดรถของบ้านเราถูกเปลี่ยนเป็นห้องพักเดี่ยวให้ชายชื่อโจนาธานอาศัยอยู่ โจนาธานเคยเป็นเพื่อนบ้านของเราที่อื่น เพราะรู้สึกว่าไม่ใช่เหตุบังเอิญที่พระเจ้าทรงนำเรามาอยู่ด้วยกัน เราจึงตัดสินใจเปิดเผยมากขึ้นเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ และการเป็นสมาชิกในศาสนจักรของเรา โจนาธานชื่นชอบมิตรภาพของเราและชอบใช้เวลากับครอบครัวเรา เขาชอบเรียนพระกิตติคุณ แต่ไม่สนใจจะผูกมัดกับศาสนจักร
“ระยะหลังลูกๆ ของเราตั้งฉายาให้โจนาธานว่า ‘ลุงโจนาธาน’ ขณะที่ครอบครัวเราขยายขึ้นเรื่อยๆ โจนาธานก็สนใจเรื่องราวของเรามากขึ้นเช่นกัน เราชวนเขามางานเลี้ยงวันหยุด วันเกิด งานโรงเรียน และกิจกรรมศาสนจักร จนถึงการสังสรรค์ในครอบครัวและพิธีบัพติศมาของเด็กๆ
“วันหนึ่ง ดิฉันได้รับโทรศัพท์จากโจนาธาน เขาต้องการความช่วยเหลือ เขาเป็นเบาหวานและเท้าติดเชื้อรุนแรงจนต้องตัดทิ้ง ครอบครัวเราและสมาชิกวอร์ดแถวนั้นพาเขาฟันฝ่าการทดลองครั้งนี้ไปได้ เราผลัดกันดูแลเขาที่โรงพยาบาล และเขาได้รับพรฐานะปุโรหิต ขณะโจนาธานอยู่ระหว่างพักฟื้น ด้วยความช่วยเหลือของพี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์ เราทำความสะอาดห้องอยู่อาศัยของเขา พี่น้องชายฐานะปุโรหิตทำทางลาดเข้าประตูและราวจับในห้องน้ำให้เขา เมื่อโจนาธานกลับบ้าน เขาตื้นตันใจมาก
“โจนาธานเริ่มเรียนกับผู้สอนศาสนาอีกครั้ง สัปดาห์ก่อนปีใหม่ เขาโทรถามดิฉันว่า ‘คุณจะทำอะไรในวันสิ้นปี?’ ดิฉันเตือนเขาเรื่องงานเลี้ยงประจำปีของเรา แต่เขาตอบว่า ‘ผมอยากให้คุณมาพิธีบัพติศมาของผม! ผมอยากเริ่มต้นปีใหม่นี้ให้ถูกต้อง’ หลังจาก ‘มาดู’ ‘มาช่วย’ และ ‘มาอยู่’ 20 ปี จิตวิญญาณล้ำค่าดวงนี้ก็พร้อมรับบัพติศมา
“ในปี 2018 เมื่อเราได้รับเรียกเป็นประธานคณะเผยแผ่และคู่ สุขภาพของโจนาธานทรุดลง เราขอให้เขาเข้มแข็งรอเรากลับมา เขาอยู่ต่อมานานเกือบปี แต่พระเจ้าทรงเตรียมเขาให้พร้อมกลับบ้าน เขาสิ้นใจอย่างสงบในเดือนเมษายนปี 2019 บุตรสาวของเราเข้าร่วมพิธีศพของ ‘ลุงโจนาธาน’ และร้องเพลงเดียวกันกับที่เราร้องในพิธีบัพติศมาของเขา”
ข้าพเจ้าจะเข้าสู่ข้อกำหนดที่สองของการแบ่งปันข่าวสารการฟื้นฟูให้สำเร็จด้วยคำถามนี้: อะไรจะทำให้คนสนใจคำเชิญชวนของท่าน? ไม่ใช่ตัวท่านหรือแบบอย่างของชีวิตท่านหรอกหรือ? หลายคนที่เคยได้ยินและรับข่าวสารเรื่องการฟื้นฟู อย่างแรกที่ดึงดูดพวกเขาคือสิ่งที่สังเกตเห็นในสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ อาจเป็นวิธีที่สมาชิกปฏิบัติต่อผู้อื่น สิ่งที่สมาชิกพูดหรือไม่พูด ความหนักแน่นที่สมาชิกแสดงออกในสถานการณ์ยากๆ หรือเพียงแค่สีหน้าของสมาชิก9
ไม่ว่าอะไรก็ตาม เราหนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่าเราต้องเข้าใจและดำเนินชีวิตตามหลักธรรมพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูให้ดีที่สุดเพื่อคำเชิญชวนของเราจะดึงดูดใจ ปัจจุบันเรามักจะเรียกสิ่งนี้ว่าความจริงใจ ถ้าความรักของพระคริสต์อยู่ในเรา คนอื่นจะรู้ว่าความรักที่เรามีให้พวกเขามาจากใจจริง ถ้าแสงสว่างของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โชติช่วงในเรา แสงนั้นจะจุดแสงสว่างของพระคริสต์ในพวกเขาอีกครั้ง10 สิ่งที่ท่านเป็นเพิ่มความจริงใจให้กับคำเชิญชวนของท่านให้มาประสบปีติแห่งความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
สิ่งจำเป็นที่สามคือการใช้เครื่องมือการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่พระผู้เป็นเจ้าทรงออกแบบไว้สำหรับสมัยการประทานพระกิตติคุณสุดท้ายนี้ให้บ่อยที่สุด นั่นคือพระคัมภีร์มอรมอน นี่คือหลักฐานอันจับต้องได้ที่ยืนยันการเรียกเป็นศาสดาพยากรณ์ของโจเซฟ สมิธ และเป็นหลักฐานอันเชื่อถือได้ที่ยืนยันความเป็นพระเจ้าและการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ คำอรรถาธิบายเรื่องแผนแห่งการไถ่ของพระบิดาบนสวรรค์ในนั้นไม่มีสิ่งใดเทียบได้ เมื่อท่านแบ่งปันพระคัมภีร์มอรมอน ย่อมเท่ากับท่านแบ่งปันการฟื้นฟู
สมัยเจสัน โอลสันเป็นวัยรุ่น สมาชิกครอบครัวและคนอื่นๆ เตือนเขาหลายครั้งไม่ให้เป็นชาวคริสต์ แต่เขามีเพื่อนที่ดีสองคนเป็นสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย และพวกเขาคุยกันเรื่องศาสนาบ่อยครั้ง เชกับเดฟเพื่อนของเขาหักล้างข้อโต้แย้งที่ต่อต้านความเชื่อในพระเยซูคริสต์ซึ่งเจสันได้รับจากคนอื่นๆ ด้วยความเคารพ สุดท้ายพวกเขาให้พระคัมภีร์มอรมอนแก่เจสันและบอกว่า “หนังสือเล่มนี้จะตอบคำถามคุณ ลองอ่านดูสิ” เขารับมาอย่างลังเลและใส่ไว้ในเป้ หนังสือแช่อยู่ในนั้นหลายเดือน เขาไม่อยากวางไว้ที่บ้านเพราะกลัวครอบครัวจะเห็น และไม่อยากทำให้เชกับเดฟผิดหวังด้วยการคืนหนังสือ สุดท้ายเขาหาทางออกด้วยการเผาหนังสือเสียเลย
คืนหนึ่ง ขณะกำลังจะจุดไฟเผาโดยมือข้างหนึ่งถือไฟแช็กและอีกข้างถือพระคัมภีร์มอรมอน เขาได้ยินเสียงในใจว่า “อย่าเผาหนังสือของเรา” เขาชะงักด้วยความตกใจ จากนั้นขณะคิดว่าตนเองหูแว่ว เขาพยายามจุดไฟแช็กอีกครั้ง เสียงเข้ามาในใจอีกครั้ง “ไปที่ห้องของเจ้าแล้วอ่านหนังสือของเรา” เจสันเก็บไฟแช็ค เดินกลับเข้าห้องนอน เปิดพระคัมภีร์มอรมอน และเริ่มอ่าน เขาอ่านหลายวันติดต่อกัน บ่อยครั้งล่วงเลยจนถึงเช้าตรู่ เมื่อเจสันอ่านจบและสวดอ้อนวอน เขาบันทึกว่า “ผมเปี่ยมด้วยพระวิญญาณตั้งแต่กระหม่อมจนถึงฝ่าเท้า … ผมรู้สึกเต็มไปด้วยแสงสว่าง … นั่นเป็นประสบการณ์น่ายินดีที่สุดที่ผมเคยมีในชีวิต” เขาขอบัพติศมาและเป็นผู้สอนศาสนาเองในเวลาต่อมา
ไม่ต้องบอกก็คงรู้ว่าแม้มีความรักจากใจและความจริงใจ แต่คำเชิญชวนของเราที่จะแบ่งปันข่าวสารการฟื้นฟูมักจะถูกปฏิเสธ แต่จำไว้ว่า: ทุกคนมีค่าควรแก่คำเชิญชวนนั้น—“ทุกคนเหมือนกันหมดสำหรับพระผู้เป็นเจ้า”11 พระเจ้าพอพระทัยในความพยายามทุกครั้งของเราไม่ว่าผลออกมาเป็นอย่างไร คำเชิญชวนที่ถูกปฏิเสธต้องไม่เป็นเหตุให้ยุติความสัมพันธ์ของเรา และการขาดความสนใจวันนี้อาจกลายเป็นความสนใจในวันพรุ่งนี้ ไม่ว่าอย่างไร ความรักของเรายังเหมือนเดิม
ขอให้เราอย่าลืมว่าการฟื้นฟูเกิดจากอุปสรรคและการเสียสละมากมาย แต่นั่นคือหัวข้อสำหรับวันอื่น วันนี้เราชื่นชมยินดีในผลของการฟื้นฟู สิ่งที่โดดเด่นมากที่สุดอย่างหนึ่งคืออำนาจในการผูกบนแผ่นดินโลกและในสวรรค์กลับมาอีกครั้ง12 ดังที่ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กล่าวไว้เมื่อหลายปีก่อนว่า “หากไม่มีอะไรเกิดผลจากโทมนัสและงานหนักและความเจ็บปวดทั้งมวลของการฟื้นฟูนอกจากอำนาจการผนึกของฐานะปุโรหิตที่จะผูกครอบครัวไว้ตลอดกาล นั่นคงคุ้มค่าที่สุดแล้วกับทุกอย่างที่เสียไป”13
สัญญาสูงสุดของการฟื้นฟูคือการไถ่ผ่านพระเยซูคริสต์ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นหลักฐานว่าพระองค์ทรงมีอำนาจไถ่ทุกคนที่จะมาหาพระองค์—ไถ่พวกเขาจากโทมนัส ความอยุติธรรม ความเสียดาย บาป และแม้กระทั่งความตาย วันนี้เป็นวันอาทิตย์ใบปาล์ม หนึ่งสัปดาห์จากวันนี้คือวันอีสเตอร์ เราจำได้ เราจำได้เสมอถึงการทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เพื่อชดใช้บาปของเรา และเราฉลองวันอาทิตย์ที่วิเศษสุดนั้น วันของพระเจ้า วันซึ่งพระองค์ทรงลุกขึ้นจากบรรดาคนตาย เพราะการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ การฟื้นฟูจึงมีความหมาย ชีวิตมรรตัยของเราจึงมีความหมาย และสุดท้ายการดำรงอยู่ของเราจึงมีความหมาย
โจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ของการฟื้นฟู ให้ประจักษ์พยานสำคัญที่สุดสำหรับยุคสมัยของเราถึงพระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์: “ว่าพระองค์ทรงพระชนม์! เพราะเราเห็นพระองค์, แม้ทางพระหัตถ์ขวาของพระผู้เป็นเจ้า”14 ข้าพเจ้าเสริมพยานของข้าพเจ้ากับพยานของโจเซฟ ของอัครสาวกกับศาสดาพยากรณ์ก่อนโจเซฟ และอัครสาวกกับศาสดาพยากรณ์ต่อจากโจเซฟ ว่าเยซูแห่งนาซาเรธทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ไถ่ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ของมวลมนุษย์
“เราเป็นพยานว่าผู้ที่ศึกษาข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูร่วมกับการสวดอ้อนวอนและปฏิบัติด้วยศรัทธา จะได้รับพรให้ได้รับพยานส่วนตัวถึงความศักดิ์สิทธิ์และจุดประสงค์ของการฟื้นฟูเพื่อเตรียมโลกให้พร้อมรับการเสด็จมาครั้งที่สองตามคำสัญญาของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์”15 การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ทำให้สัญญาของพระองค์แน่นอน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน