การประชุมใหญ่สามัญ
มั่นคงในพายุ
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2022


15:44

มั่นคงในพายุ

เมื่อเกิดพายุในชีวิต ท่านจะมั่นคงได้เพราะท่านกำลังยืนอยู่บนศิลาแห่งศรัทธาในพระเยซูคริสต์

พี่น้องที่รักทั้งหลาย เราได้รับพรวันนี้ที่ได้ฟังผู้รับใช้ที่ได้รับการดลใจของพระผู้เป็นเจ้าให้คำแนะนำและให้กำลังใจ เราแต่ละคนไม่ว่าอยู่ที่ใด ต่างรู้ว่าเราอยู่ในเวลาที่น่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ คำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าคือขอให้คำพูดนี้ช่วยให้ท่านยืนหยัดมั่นคงในพายุที่เราประสบด้วยใจที่สงบ1

อันดับแรกคือจำไว้ว่าเราเป็นลูกที่รักของพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงมีผู้รับใช้ที่ได้รับการดลใจ ผู้รับใช้เหล่านั้นของพระผู้เป็นเจ้าเห็นล่วงหน้าถึงยุคสมัยที่เราอยู่ อัครสาวกเปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “แต่จงเข้าใจข้อนี้คือ วาระสุดท้ายนั้นจะเป็นเวลาที่น่ากลัว”2

ผู้ใดมีตาที่มองเห็นหมายสำคัญแห่งกาลเวลาและมีหูที่ได้ยินถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ย่อมรู้ว่านี่เป็นความจริง ความน่ากลัวของอันตรายใหญ่หลวงที่สุดมาจากอิทธิพลของความชั่วร้าย อิทธิพลเหล่านั้นกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากขึ้น ไม่ใช่ง่ายขึ้น ที่จะให้เกียรติพันธสัญญาที่เราต้องทำและรักษาเพื่อดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

สำหรับพวกเราที่เป็นห่วงตนเองและคนที่เรารัก มีความหวังในคำสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าเรื่องสถานที่ปลอดภัยในพายุข้างหน้า

นี่คือคำบรรยายภาพสถานที่นั้น ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่พูดเรื่องนี้ซ้ำหลายครั้ง ตัวอย่างเช่น ดังที่บันทึกไว้ในพระคัมภีร์มอรมอน บิดาที่ได้รับการดลใจและเปี่ยมด้วยความรักบอกบุตรชายถึงวิธีเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ตนเองยืนอย่างมั่นคงในพายุเบื้องหน้า: “และบัดนี้, ลูกพ่อ, จงจำ, จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก; เพื่อเมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา, แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบนลูก, มันจะไม่มีพลังเหนือลูกเพื่อลากเอาลูกลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่, เพราะศิลาซึ่งบนนั้นลูกได้รับการสร้างขึ้น, ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน, … ซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้”3

ความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่ที่เขาพูดถึงคือผลอันน่ากลัวของบาปหากเราไม่กลับใจอย่างสมบูรณ์ พายุที่กำลังแรงขึ้นคือการล่อลวงและการโจมตีที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของซาตาน ไม่เคยมีเวลาใดสำคัญเท่าเวลานี้ที่เราต้องเข้าใจวิธีสร้างบนรากฐานอันแน่นอน สำหรับข้าพเจ้า ไม่มีที่ใดให้ค้นหาดีไปกว่าคำเทศนาสุดท้ายของกษัตริย์เบ็นจามิน ซึ่งบันทึกไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนเช่นกัน

คำพยากรณ์ของกษัตริย์เบ็นจามินประยุกต์ใช้ได้กับเราในสมัยนี้ เขารู้จักความสยดสยองของสงครามจากประสบการณ์ส่วนตัว เขาปกป้องผู้คนในการรบโดยพึ่งพาเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า เขาเห็นพลังน่ากลัวของลูซิเฟอร์อย่างชัดเจนในการล่อลวง พยายามเอาชนะ และทำให้ลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้าท้อแท้

เขาเชื้อเชิญผู้คนของเขาและเราให้สร้างอยู่บนศิลาเดียวที่ปลอดภัยอย่างแน่นอน นั่นคือพระผู้ช่วยให้รอด เขาบอกชัดเจนว่าเรามีอิสระที่จะเลือกระหว่างถูกกับผิดและเราไม่อาจเลี่ยงผลจากการเลือกของเรา เขาพูดตรงและแรงเพราะรู้ว่าความเศร้าโศกจะเกิดกับคนที่จะไม่ฟังและไม่เอาใจใส่คำเตือนของเขา

นี่คือวิธีที่เขาอธิบายผลจากการเลือกของเราไม่ว่าจะเลือกทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณหรือเลือกทำตามข่าวสารชั่วร้ายที่มาจากซาตานผู้มีเจตนาล่อลวงและทำลายเรา:

“เพราะดูเถิด, วิบัติอย่างหนึ่งกำหนดให้เกิดแก่คนที่เลือกเชื่อฟังวิญญาณนั้น; เพราะหากเขาเลือกเชื่อฟังมัน, และคงอยู่และตายในบาปของเขา, คนคนนั้นย่อมดื่มความอัปมงคลเข้าไปในจิตวิญญาณของเขาเอง; เพราะเขาย่อมได้รับโทษอันเป็นนิจเป็นค่าจ้างของเขา, โดยที่ล่วงละเมิดกฎของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งขัดกับความรู้ของเขาเอง. …

“ฉะนั้นหากคนนั้นหาได้กลับใจไม่, และดำรงอยู่และตายโดยเป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว, ข้อเรียกร้องความยุติธรรมแห่งสวรรค์จึงปลุกจิตวิญญาณอันเป็นอมตะของเขามาสู่ความรู้สึกรุ่มร้อนในความผิดของตนเอง, ซึ่งทำให้เขาระย่อต่อที่ประทับของพระเจ้า, และทำให้ในอกของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด, และความเจ็บปวด, และความปวดร้าว, ซึ่งเปรียบเหมือนเพลิงที่ไม่รู้ดับ, ซึ่งเปลวเพลิงนั้นลุกโชนอยู่ตลอดกาลและตลอดไป”

กษัตริย์เบ็นจามินกล่าวต่อไปว่า: “โอ้, ท่านผู้สูงอายุทั้งหลาย, และท่านคนหนุ่มด้วย, และท่านเด็กเล็กๆ ผู้ที่เข้าใจถ้อยคำข้าพเจ้าได้, เพราะข้าพเจ้าพูดอย่างแจ้งชัดกับท่านเพื่อท่านจะได้เข้าใจ, ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้ท่านตื่นขึ้นมาสู่ความทรงจำถึงสถานการณ์อันน่าสะพรึงกลัวของคนที่ตกอยู่ในการล่วงละเมิด”4

สำหรับข้าพเจ้า พลังของการเตือนให้กลับใจนั้นทำให้ข้าพเจ้าเห็นภาพเวลาแน่นอนที่ท่านและข้าพเจ้าจะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอดหลังจากชีวิตนี้ เราต้องการสุดหัวใจที่จะไม่ระย่อแต่เงยหน้ามองพระองค์ เห็นพระองค์แย้มพระสรวล และได้ยินพระองค์ตรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์ … [จงเข้ามาเถิด]”5

กษัตริย์เบ็นจามินอธิบายชัดเจนว่าเราจะได้ยินพระดำรัสเหล่านั้นถ้าในชีวิตนี้เราหาทางเปลี่ยนธรรมชาติวิสัยของเราผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ นั่นคือทางเดียวที่เราจะสร้างบนรากฐานอันแน่นอนและยืนหยัดมั่นคงระหว่างเกิดพายุของการล่อลวงและความยากลำบากข้างหน้า กษัตริย์เบ็นจามินอธิบายการเปลี่ยนธรรมชาติวิสัยของเราเช่นนั้นโดยใช้อุปลักษณ์เปรียบไว้อย่างสวยงามซึ่งสัมผัสใจข้าพเจ้าเสมอมา ศาสดาพยากรณ์ใช้อุปลักษณ์นี้มานับพันปีและพระเจ้าเองก็ทรงใช้ด้วย อุปลักษณ์นั้นคือ: เราต้องเป็นเหมือนเด็ก—เด็กเล็กๆ

บางคนจะยอมรับเรื่องนี้ได้ยาก เราส่วนใหญ่อยากเป็นคนเข้มแข็ง เราอาจมองว่าการเป็นเหมือนเด็กคือการเป็นคนอ่อนแอ พ่อแม่ส่วนใหญ่เฝ้ารอวันที่ลูกๆ จะทำตัวเป็นเด็กน้อยลง แต่กษัตริย์เบ็นจามินผู้เข้าใจเช่นเดียวกับมนุษย์ทุกคนถึงความหมายของการเป็นคนเข้มแข็งและกล้าหาญ อธิบายชัดเจนว่าการเป็นเหมือนเด็กไม่ใช่การทำตัวเป็นเด็ก แต่คือการเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ทรงสวดอ้อนวอนพระบิดาขอให้มีพลังที่จะสามารถทำตามพระประสงค์ของพระบิดาและชดใช้บาปของลูกๆ ทุกคนของพระบิดาแล้วก็ทรงทำอย่างนั้น ธรรมชาติวิสัยของเราต้องเปลี่ยนมาเป็นเหมือนเด็ก เราจึงจะได้พลังที่เราต้องมีเพื่อจะยืนหยัดอย่างสงบมั่นคงในช่วงเวลาน่ากลัว

นี่คือคำพูดปลุกใจของกษัตริย์เบ็นจามินที่อธิบายว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นอย่างไร: “เพราะมนุษย์ปุถุชนเป็นศัตรูต่อพระผู้เป็นเจ้า, และเป็นมาแล้วนับแต่การตกของอาดัม, และจะเป็นไป, ตลอดกาลและตลอดไป, เว้นแต่เขาจะยอมต่อการชักจูงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์, และทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชนและกลับเป็นวิสุทธิชนโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้า, และกลายเป็นดังเด็ก, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ถ่อมตน, อดทน, เปี่ยมด้วยความรัก, เต็มใจยอมในสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเห็นควรจะอุบัติแก่เขา, แม้ดังเด็กยินยอมต่อบิดาตน”6

เราได้รับการเปลี่ยนแปลงนั้นเมื่อเราทำและต่อพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งนำอำนาจการชดใช้ของพระคริสต์มาทำให้เกิดการแปลงเปลี่ยนในใจเรา เรารู้สึกได้ทุกครั้งที่เรารับส่วนศีลระลึก ประกอบศาสนพิธีพระวิหารสำหรับบรรพชนผู้ล่วงลับ เป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอด หรือดูแลคนขัดสนในฐานะสานุศิษย์ของพระคริสต์

ในประสบการณ์เหล่านั้น เรากลายเป็นเหมือนเด็กในด้านความสามารถที่จะรักและเชื่อฟัง เรามายืนอยู่บนรากฐานอันแน่นอน ศรัทธาของเราในพระเยซูคริสต์นำเรามาสู่การกลับใจและการรักษาพระบัญญัติ เราเชื่อฟัง เราได้พลังต่อต้านการล่อลวง และเราได้ความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่ทรงสัญญาไว้

ธรรมชาติของเราเปลี่ยนเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เชื่อฟังพระผู้เป็นเจ้าและมีความรักมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนั้นจะทำให้เราคู่ควรได้รับของประทานที่มาผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ การมีความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณจะปลอบโยน นำทาง และทำให้เราเข้มแข็งขึ้น

ข้าพเจ้าได้รู้บางอย่างที่กษัตริย์เบ็นจามินหมายถึงเมื่อเขากล่าวว่าเราจะเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าได้เรียนรู้จากประสบการณ์มากมายว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ตรัสบ่อยที่สุดด้วยสุรเสียงแผ่วเบาซึ่งได้ยินง่ายที่สุดเมื่อใจคนนั้นอ่อนโยนและว่าง่ายเหมือนใจของเด็ก ที่จริงแล้ว คำสวดอ้อนวอนที่ได้ผลคือ “ข้าพระองค์ต้องการเฉพาะสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการ ขอเพียงทรงบอกข้าพระองค์ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ข้าพระองค์จะทำ”

เมื่อเกิดพายุในชีวิต ท่านจะมั่นคงได้เพราะท่านกำลังยืนอยู่บนศิลาแห่งศรัทธาในพระเยซูคริสต์ ศรัทธานั้นจะนำท่านให้กลับใจทุกวันและรักษาพันธสัญญาอยู่เสมอ แล้วท่านจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และท่านจะรู้สึกมั่นคงและมีความหวังท่ามกลางพายุของความเกลียดชังและความชั่วร้าย

ยิ่งไปกว่านี้ ท่านจะพบตนเองยื่นมือไปช่วยพยุงผู้อื่นมายังความปลอดภัยบนศิลากับท่าน ศรัทธาในพระเยซูคริสต์ทำให้เกิดความหวังมากขึ้นเสมอและทำให้รู้สึกมีจิตกุศลต่อผู้อื่น ซึ่งคือรักแท้ของพระคริสต์

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานอย่างจริงจังว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงเชื้อเชิญท่านว่า “จงมาหาเรา”7 เพราะทรงรักท่านและคนที่ท่านรัก พระองค์จึงทรงเชื้อเชิญให้ท่านมาหาพระองค์เพื่อสันติสุขในชีวิตนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง พระองค์ทรงรู้จักพายุนั้นเป็นอย่างดีซึ่งท่านจะเจอในบททดสอบอันเป็นส่วนหนึ่งของแผนแห่งความสุข

ข้าพเจ้าวิงวอนท่านให้ยอมรับพระดำรัสเชิญของพระผู้ช่วยให้รอด ยอมรับความช่วยเหลือของพระองค์ดังเด็กที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรัก ทำและรักษาพันธสัญญาที่ทรงมอบให้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย พันธสัญญาเหล่านั้นจะทำให้ท่านเข้มแข็งขึ้น พระผู้ช่วยให้รอดทรงรู้จักพายุและสถานที่ปลอดภัยระหว่างเส้นทางกลับบ้านไปหาพระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงรู้ทาง พระองค์ทรงเป็นทางนั้น ข้าพเจ้าเป็นพยานในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน