การประชุมใหญ่สามัญ
เส้นทางพันธสัญญา: หนทางสู่ชีวิตนิรันดร์
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2022


11:22

เส้นทางพันธสัญญา: หนทางสู่ชีวิตนิรันดร์

เส้นทางสู่ความดีพร้อมคือเส้นทางพันธสัญญา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของศาสนพิธีและพันธสัญญาทั้งมวล

กษัตริย์ผู้เรืองอำนาจปรารถนาให้บุตรชายปกครองอาณาจักรหนึ่งของตน เจ้าชายต้องเรียนรู้และเติบโตด้วยปัญญาจึงจะได้ครองบัลลังก์ วันหนึ่ง กษัตริย์ประชุมกับเจ้าชายและเล่าแผนให้ฟัง ทั้งคู่เห็นพ้องกันว่าเจ้าชายจะเดินทางไปต่างเมืองเพื่อรับประสบการณ์ เขาจะเผชิญกับความท้าทายและพบเรื่องดีๆ มากมายที่นั่น กษัตริย์จึงส่งเขาไปยังเมืองนั้น และคาดหวังว่าเจ้าชายจะพิสูจน์ความซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์และแสดงให้เห็นว่าเขาเหมาะที่จะได้รับสิทธิพิเศษและหน้าที่รับผิดชอบที่กษัตริย์เตรียมไว้ให้ เจ้าชายมีเสรีภาพที่จะเลือกว่าจะรับสิทธิพิเศษและหน้าที่รับผิดชอบเหล่านี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความปรารถนาและความซื่อสัตย์ของเขาเอง ข้าพเจ้าแน่ใจว่าท่านต้องการรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าชายองค์นี้ เขาได้กลับไปสืบทอดอาณาจักรหรือไม่?

พี่น้องที่รัก เราต่างก็เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิง พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราทรงส่งเรามาสู่ความเป็นมรรตัยเพื่อรับพรของการมีร่างกายซึ่งจะเป็นอมตะผ่านการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงคาดหวังให้เราเตรียมกลับไปที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าโดยพิสูจน์ว่าเราจะ “ทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้า [ของเรา] จะทรงบัญชา [เรา]” (อับราฮัม 3:25)

เพื่อช่วยเรา พระผู้ช่วยให้รอดเสด็จมาไถ่เราและแสดงเส้นทางกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้รับเชิญให้มาหาพระผู้ช่วยให้รอดและรับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์ ในพระคัมภีร์ เราพบคำเชื้อเชิญให้เราไปหาพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่ามากกว่า 90 ครั้ง และมากกว่าครึ่งเป็นพระดำรัสเชิญที่มาจากพระเจ้าพระองค์เอง การยอมรับพระดำรัสเชิญของพระผู้ช่วยให้รอดหมายถึงการรับส่วนศาสนพิธีของพระองค์และรักษาพันธสัญญาของเรากับพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็น​ “ทาง​นั้น เป็น​ความ​จริง และ​เป็น​ชีวิต” (ยอห์น 14:6) ทรงเชื้อเชิญเรา “ทั้งหมดให้มาหาพระองค์และรับส่วนพระคุณความดีของพระองค์; และพระองค์ไม่ทรงปฏิเสธผู้ใดที่มาหาพระองค์เลย” (2 นีไฟ 26:33)

การเรียนการสอนพระกิตติคุณของเราทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสต่อพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ลึกซึ้งขึ้นและช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น ถึงแม้ยังไม่ได้มีการเปิดเผยทุกสิ่งเกี่ยวกับ “เวลาและวิธีที่แน่ชัดในการ [จะ] ได้รับพรแห่งความสูงส่ง” แต่ทรงรับรองว่าเราจะได้รับการเปิดเผยเหล่านั้น (เอ็ม. รัสเซ็ลล์ บัลลาร์ด, “ความหวังในพระคริสต์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2021, 55)

แอลมาผู้เป็นมหาปุโรหิตที่กำลังสอนในแผ่นดินเซราเฮ็มลา เล่าถึงพระดำรัสเชิญอันลึกซึ้งจากพระเยซูคริสต์ว่า:

“ดูเถิด, พระองค์ทรงส่งคำเชิญมาถึงมนุษย์ทั้งปวง, เพราะพระพาหุแห่งพระเมตตายื่นมาให้พวกเขา, และพระองค์ตรัส: จงกลับใจ, และเราจะรับเจ้าไว้.

“แท้จริงแล้ว, พระองค์ตรัส: จงมาหาเราเถิดและเจ้าจะรับส่วนผลของต้นไม้แห่งชีวิต” (แอลมา 5:33–34)

พระผู้ช่วยให้รอดพระองค์เองทรงเชื้อเชิญให้เรามาหาพระองค์และเอาแอกของพระองค์แบกไว้เพื่อเราจะได้หยุดพักในโลกอันแสนวุ่นวายนี้ (ดู มัทธิว 11:28–29) เรามาหาพระคริสต์โดย “ใช้ศรัทธาใน [พระองค์] กลับใจทุกวัน ทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเรารับศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่ง และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่โดยรักษาพันธสัญญาเหล่านั้น” (คู่มือทั่วไป: การรับใช้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย, 1.2.1, ChurchofJesusChrist.org) เส้นทางสู่ความดีพร้อมคือเส้นทางพันธสัญญา พระเยซูคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของศาสนพิธีและพันธสัญญาทั้งมวล

กษัตริย์เบ็นจามินสอนว่าเพราะพันธสัญญาที่เราทำ เราจึงกลายเป็นบุตรและธิดาของพระคริสต์ผู้ทรงให้กำเนิดเราทางวิญญาณ และเราถูกปลดปล่อยให้เป็นอิสระภายใต้การนำของพระองค์ เพราะ “ไม่มีชื่ออื่นใดให้ไว้ซึ่งความรอดจะมาได้” (ดู โมไซยาห์ 5:7–8) เราได้รับการช่วยให้รอดเมื่อเราอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่โดย “ทำตามตัวอย่างของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์” (2 นีไฟ 31:16) นีไฟแนะนำเราว่าทั้งหมดไม่ได้จบลงแค่การเข้าไปสู่ทางคับแคบและแคบเท่านั้น เรา “ต้องมุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในพระคริสต์, โดยมีความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง, และความรักต่อพระผู้เป็นเจ้าและต่อมนุษย์ทั้งปวง” (ดู 2 นีไฟ 31:19–20)

หลักคำสอนของพระคริสต์ช่วยให้เราพบและคงอยู่ในเส้นทางพันธสัญญา จึงมีการจัดเตรียมพระกิตติคุณเพื่อให้เราได้รับพรที่สัญญาไว้ของพระเจ้าผ่านศาสนพิธีและพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ ศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันแนะนำเราในการถ่ายทอดเมื่อวันที่ 16 มกราคม ค.ศ. 2018 ให้ “ดำเนินต่อไปบนเส้นทางพันธสัญญา คำมั่นสัญญาของท่านที่จะทำตามพระผู้ช่วยให้รอดโดยการทำพันธสัญญากับพระองค์แล้วรักษาพันธสัญญาเหล่านั้นจะเปิดประตูไปสู่พรและสิทธิพิเศษทางวิญญาณทุกอย่างที่มีให้แก่ชาย หญิง และเด็กทุกแห่งหน … จุดหมายที่เราแต่ละคนพากเพียรไปให้ถึงคือได้รับการประสาทพรด้วยพลังอำนาจในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ผนึกเป็นครอบครัว ซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่ทำในพระวิหาร ซึ่งทำให้เรามีคุณสมบัติคู่ควรรับของประทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระผู้เป็นเจ้า—นั่นคือชีวิตนิรันดร์” (ดู ”ขณะที่เราเดินหน้าไปด้วยกัน,” เลียโฮนา, เม.ย. 2018, 7)

พระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงทอดทิ้งความสัมพันธ์ของพระองค์หรือระงับพรที่สัญญาไว้แห่งชีวิตนิรันดร์กับผู้รักษาพันธสัญญาที่ซื่อสัตย์ทุกคน เมื่อเรารักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เราเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์สอนเราเมื่อวานว่าพันธสัญญาและศาสนพิธีพระกิตติคุณทำงานในชีวิตเราเหมือนเข็มทิศที่นำทางให้เรามาหาพระคริสต์และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น

พันธสัญญาบ่งบอกเส้นทางกลับไปหาพระผู้เป็นเจ้า ศาสนพิธีบัพติศมาและการรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ การแต่งตั้งฐานะปุโรหิต และศีลระลึก นำเราไปสู่พระวิหารของพระเจ้าเพื่อรับส่วนศาสนพิธีแห่งความสูงส่งของพระองค์

ข้าพเจ้าอยากพูดถึงสองสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงเน้นเพื่อช่วยเรารักษาพันธสัญญาอย่างซื่อสัตย์:

  1. พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสามารถสอนเรา ย้ำเตือนเราถึงคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด และสถิตอยู่กับเราตลอดไป (ดู ยอห์น 14:16, 26) พระองค์ทรงสามารถเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของเราเพื่อนำทางเราบนเส้นทางพันธสัญญา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลที่คอยนำทาง ชี้ทาง ปลอบโยน และมีให้ตลอดเวลาของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (ดู “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2018, 96)

  2. พระผู้ช่วยให้รอดทรงจัดตั้งศาสนพิธีศีลระลึกเพื่อให้เราระลึกถึงพระองค์และมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา บัพติศมาเปิดประตูสู่ชีวิตนิรันดร์ และศีลระลึกช่วยให้เรามุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ไปตามเส้นทางพันธสัญญา เมื่อเรารับศีลระลึก นั่นจะเป็นประจักษ์พยานต่อพระบิดาว่าเราระลึกถึงพระบุตรของพระองค์ตลอดเวลา และเมื่อเราระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเรา นอกจากสัญญานี้ พระเจ้าทรงต่อสัญญาเรื่องการปลดบาปเมื่อเรากลับใจจากบาปของเราอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน

เพื่อยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของเรา เราควรมานะบากบั่นเพื่อให้มีพระวิญญาณอยู่เสมอเพื่อเตรียมเราให้รับส่วนศีลระลึกอย่างมีค่าควร และในทำนองเดียวกัน เรารับส่วนศีลระลึกเป็นประจำเพื่อให้มีพระวิญญาณอยู่กับเราตลอดเวลา

เมื่อลูกสาวของเราอายุห้าขวบ เธอมีรถขนาดเล็กที่วิ่งด้วยพลังงานแบตเตอรี่และชอบขับวนไปรอบบ้าน เย็นวันหนึ่ง เธอมาหาข้าพเจ้าและบอกว่า “คุณพ่อคะ รถหนูขับไม่ได้แล้ว เราไปเอาน้ำมันจากรถคุณพ่อมาเติมให้มันขับต่อได้ไหมคะ? มันคงต้องการน้ำมันแบบรถคุณพ่อถึงจะขับได้”

ต่อมาข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าแบตเตอรี่หมด จึงบอกไปว่าเราจะทำให้มันขับได้ภายในประมาณหนึ่งชั่วโมง ด้วยความตื่นเต้น เธอพูดว่า “เย้! เราจะเอารถไปปั๊มน้ำมัน” ข้าพเจ้าแค่เสียบแบตเตอรี่เพื่อชาร์จกับแหล่งจ่ายไฟ หลังจากหนึ่งชั่วโมงเธอก็ขับรถได้โดยใช้พลังงานจากแบตเตอรี่ที่ชาร์จไฟแล้ว นับแต่นั้นมาเธอก็เรียนรู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่จะชาร์จแบตเตอรี่ใหม่เสมอโดยเสียบเข้ากับแหล่งจ่ายไฟ

ขณะที่ลูกสาวของเราเรียนรู้ความสัมพันธ์ระหว่างแบตเตอรี่กับพลังงานเพื่อขับเคลื่อนรถของเล่นของเธอ เราก็เรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ศีลระลึก และพระวิญญาณด้วยเช่นกัน เราต้องการพระวิญญาณเพื่อช่วยเราผ่านความเป็นมรรตัยขณะรักษาพันธสัญญาอย่างซื่อสัตย์ และเราต้องการศีลระลึกเพื่อช่วยเติมพลังความเป็นอยู่ทางวิญญาณของเรา การต่อพันธสัญญาบัพติศมาและการรับส่วนศีลระลึกขับเคลื่อนความซื่อสัตย์ไปสู่พันธสัญญาอื่นๆ ตอนจบย่อมพบกับความสุขเมื่อเราศึกษาร่วมกับการสวดอ้อนวอน ให้เกียรติพระดำรัสเชิญจากพระผู้ช่วยให้รอด และชื่นชมพรที่ทรงสัญญาไว้ พระองค์ตรัสว่า “และเพื่อเจ้าจะรักษาตัวให้หมดจดจากโลกได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น, เจ้าจงไปยังบ้านแห่งการสวดอ้อนวอนและถวายศีลระลึกของเจ้าในวันศักดิ์สิทธิ์ของเรา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:9)

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าผู้รักษาพันธสัญญาได้รับสัญญาถึง “สันติสุขในโลกนี้ และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 59:23) ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อท่านรับส่วนเครื่องหมายของพระผู้ช่วยให้รอดผ่านศีลระลึกเป็นประจำ ท่านจะมีพระวิญญาณของพระองค์คอยนำทางท่านบนเส้นทางพันธสัญญาและยังคงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของท่าน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน