2016
ยอมรับพระประสงค์และจังหวะเวลาของพระเจ้า
สิงหาคม 2016


ยอมรับประสงค์และจังหวะเวลาของพระเจ้า

จากการให้ข้อคิดทางวิญญาณระบบการศึกษาของศาสนจักรเรื่อง “เพื่อเราจะ ‘ไม่ … ชะงักอยู่’” ที่มหาวิทยาลัยแห่งเทกซัสที่อาร์ลิงตันเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 2013

ศรัทธาแก่กล้าในพระผู้ช่วยให้รอดคือการยอมรับพระประสงค์และจังหวะเวลาของพระองค์ในชีวิตเราอย่างนอบน้อม—แม้ผลไม่เป็นไปอย่างที่เราหวังหรือต้องการ

ภาพ
Christ in Gethsemane

ส่วนหนึ่งจากภาพ พระคริสต์ในสวนเกทเสมนี, โดย แฮร์รีย์ แอนเดอร์สัน

เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ (1926–2004) เป็นสานุศิษย์ที่รักของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ท่านรับใช้เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองนาน 23 ปี ตั้งแต่ ค.ศ. 1981 ถึง ค.ศ. 2004 พลังทางวิญญาณแห่งคำสอนและแบบอย่างการเป็นสานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของท่านเป็นพรและยังคงเป็นพรอย่างน่าอัศจรรย์แก่สมาชิกศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระผู้ช่วยให้รอดและคนของโลก

ในเดือนตุลาคม ปี 1997 ข้าพเจ้ากับซิสเตอร์เบดนาร์ต้อนรับเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์แม็กซ์เวลล์ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์-ไอดาโฮ (สมัยนั้นเป็นวิทยาลัยริคส์) เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์ต้องพูดกับนักศึกษา เจ้าหน้าที่ และคณาจารย์ในการประชุมให้ข้อคิดทางวิญญาณ

ต้นปีเดียวกันนั้น เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์รับเคมีบำบัดมะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ทำให้ท่านอ่อนเพลียมาก 46 วัน 46 คืน การพักฟื้นและการบำบัดต่อเนื่องได้ผลดีตลอดหลายเดือนของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน แต่พละกำลังทางร่างกายของเอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์ยังจำกัดเมื่อท่านเดินทางไปเร็กซ์เบิร์ก หลังจากต้อนรับเอ็ลเดอร์และซิสเตอร์แม็กซ์เวลล์ที่สนามบิน ข้าพเจ้ากับซูซานขับรถพาพวกท่านไปพักที่บ้านของเราและรับประทานอาหารเบาๆ ก่อนการให้ข้อคิดทางวิญญาณ

ข้าพเจ้าถามเอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์ว่าท่านได้เรียนรู้อะไรผ่านความเจ็บป่วยของท่าน ข้าพเจ้าจะจดจำคำตอบที่ชัดเจนและลึกซึ้งของท่านตลอดไป “เดฟ” ท่านตอบ “ผมเรียนรู้ว่าการไม่ชะงักสำคัญกว่าการรอดตาย”

คำตอบของท่านเป็นหลักธรรมที่ท่านได้จากประสบการณ์ส่วนตัวครั้งใหญ่ในช่วงเคมีบำบัดของท่าน ในเดือนมกราคม ปี 1997 ในวันที่กำหนดให้ท่านเริ่มบำบัดรอบแรก เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์มองภรรยา เอื้อมไปแตะมือเธอ สูดลมหายใจลืก และพูดว่า “ผมแค่ไม่อยากชะงักอยู่”

ในข่าวสารการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 1997 เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์สอนด้วยความชัดเจนยิ่งว่า “ขณะเผชิญการทดลองและความทุกข์ยาก … ของเราเอง เราสามารถวิงวอนพระบิดาเช่นเดียวกับพระเยซูทรงวิงวอนด้วยว่าขอให้เรา ‘ไม่ … ชะงักอยู่’—หมายถึงย่อท้อหรือล่าถอย (คพ. 19:18) การไม่ชะงักสำคัญยิ่งกว่าการรอดตาย! นอกจากนี้แล้ว การดื่มถ้วยอันขมขื่นโดยไม่ขมขื่นเป็นส่วนหนึ่งของการเลียนแบบพระเยซูเช่นกัน”1

พระคัมภีร์เกี่ยวกับความทุกขเวทนาของพระผู้ช่วยให้รอดขณะพระองค์พลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ถึงกับสะเทือนใจและมีความหมายต่อข้าพเจ้ามากขึ้น

“เพราะดูเถิด, เรา, พระผู้เป็นเจ้า, ทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากพวกเขาจะกลับใจ;

“แต่หากพวกเขาจะไม่กลับใจ พวกเขาต้องทนทุกข์แม้ดังเรา;

“ซึ่งความทุกขเวทนานี้ทำให้ตัวเรา, แม้พระผู้เป็นเจ้า, ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งปวง, ต้องสั่นเพราะความเจ็บปวด, และเลือดออกจากทุกขุมขน, และทนทุกข์ทั้งร่างกายและวิญญาณ—และปรารถนาที่เราจะไม่ต้องดื่มถ้วยอันขมขื่น, และชะงักอยู่—

“กระนั้นก็ตาม, รัศมีภาพจงมีแด่พระบิดา, และเรารับส่วนและทำให้การเตรียมของเราเสร็จสิ้นเพื่อลูกหลานมนุษย์.” [คพ. 19:16–19]

พระผู้ช่วยให้รอดมิได้ทรงชะงักในเกทเสมนีหรือบนกลโกธา

เอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์ไม่ชะงักเช่นกัน อัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ท่านนี้มุ่งหน้าอย่างแน่วแน่และได้รับพรให้มีเวลาเพิ่มในชีวิตมรรตัยเพื่อรัก รับใช้ สอน และเป็นพยาน วาระสุดท้ายของชีวิตท่านเป็นแบบอย่างอันทรงพลังอย่างเด่นชัดของการเป็นสานุศิษย์ที่ภักดีของท่าน—ผ่านทั้งคำพูดและการกระทำของท่าน

ข้าพเจ้าเชื่อว่าพวกเราส่วนใหญ่คงคาดหวังว่าชายที่มีสมรรถภาพทางวิญญาณ ประสบการณ์ และมีชื่อเสียงอย่างเอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์จะเผชิญและรับมือกับความเจ็บป่วยร้ายแรงและความตายด้วยความเข้าใจแผนแห่งความสุขของพระผู้เป็นเจ้า ด้วยความเชื่อมั่น ด้วยความสง่างาม และด้วยศักดิ์ศรี แต่ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพรเช่นนั้นไม่ได้สงวนไว้สำหรับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่หรือสำหรับสมาชิกที่โดดเด่นบางคนของศาสนจักรเท่านั้น

ตั้งแต่การเรียกข้าพเจ้าสู่โควรัมอัครสาวกสิบสอง งานมอบหมายและการเดินทางของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าได้รู้จักกับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เปี่ยมด้วยศรัทธา และองอาจกล้าหาญทั่วโลก ข้าพเจ้าต้องการเล่าให้ท่านฟังเกี่ยวกับชายหนุ่มคนหนึ่งและหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเป็นพรแก่ชีวิตข้าพเจ้าและกับคนที่ข้าพเจ้าได้เรียนรู้บทเรียนสำคัญทางวิญญาณเกี่ยวกับการไม่ชะงักและยอมให้ความประสงค์ของตัวเราถูก “กลืนเข้าไปในพระประสงค์ของพระบิดา” (โมไซยาห์ 15:7)

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงและบุคคลในเรื่องมีอยู่จริง แต่ข้าพเจ้าจะไม่ใช้ชื่อจริงของบุคคลที่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าได้รับอนุญาตให้ใช้ข้อความที่เลือกมาจากบันทึกส่วนตัวของพวกเขา

“อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์เถิด”

จอห์นเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่มีค่าควรและรับใช้อย่างซื่อสัตย์ในฐานะผู้สอนศาสนาเต็มเวลา หลังกลับจากงานเผยแผ่ เขาออกเดทและแต่งงานกับเฮเธอร์หญิงสาวที่ชอบธรรมและดีเยี่ยม จอห์นอายุ 23 ปี ส่วนเฮเธอร์อายุ 20 ปีในวันที่พวกเขารับการผนึกด้วยกันเพื่อกาลเวลาและนิรันดรในพระนิเวศน์ของพระเจ้า

ประมาณสามสัปดาห์หลังจากแต่งงานในพระวิหาร แพทย์วินิจฉัยว่าจอห์นเป็นมะเร็งกระดูก เพราะพบก้อนมะเร็งในปอดของเขาด้วย การคาดคะเนผลการรักษาจึงไม่สู้จะดีนัก

จอห์นเขียนในบันทึกส่วนตัวของเขาว่า “วันนี้เป็นวันที่น่ากลัวที่สุดในชีวิตผม ไม่เพียงเพราะผมทราบว่าเป็นมะเร็งเท่านั้น แต่เพราะผมเพิ่งแต่งงานและรู้สึกว่าผมล้มเหลวในฐานะสามี ผมเป็นผู้หาเลี้ยงและผู้คุ้มครองครอบครัวใหม่ของผม และเวลานี้—สามสัปดาห์หลังจากรับบทบาทนั้น—ผมรู้สึกเหมือนผมล้มเหลว”

เฮเธอร์กล่าวว่า “นี่เป็นข่าวร้าย ดิฉันจำได้ว่านั่นเปลี่ยนทัศนะของเราอย่างมาก ดิฉันอยู่ในห้องรอตรวจของโรงพยาบาลกำลังเขียนจดหมายสั้นๆ ขอบคุณผู้มาร่วมงานแต่งขณะรอผลตรวจของจอห์น แต่หลังจากทราบว่าจอห์นเป็นมะเร็ง บรรดาเครื่องถ้วยชามและเครื่องครัวดูเหมือนไม่สำคัญอีกต่อไป นี่เป็นวันเลวร้ายที่สุดในชีวิตดิฉัน แต่ดิฉันจำได้ว่าเข้านอนคืนนั้นด้วยความสำนึกคุณต่อการผนึกในพระวิหารของเรา ถึงแม้แพทย์จะบอกว่าโอกาสรอดชีวิตของจอห์นมีเพียง 30 เปอร์เซ็นต์ แต่ดิฉันรู้ว่าถ้าเรายังคงซื่อสัตย์ดิฉันมีโอกาสอยู่กับเขา 100 เปอร์เซ็นต์”

ภาพ
John in a hospital bed

ภาพประกอบโดย เบ็น โซวอร์ดส์

ประมาณหนึ่งเดือนต่อมาจอห์นเริ่มรับเคมีบำบัด เขาพูดถึงประสบการณ์นั้นว่า “การรักษาทำให้ผมป่วยหนักกว่าที่เคยป่วยมาในชีวิต ผมร่วง น้ำหนักลด 41 ปอนด์ และตัวผมเหมือนกำลังแตกเป็นเสี่ยงๆ เคมีบำบัดมีผลต่อต่ออารมณ์ จิตใจ และวิญญาณของผมเช่นกัน ชีวิตเป็นเหมือนรถไฟเหาะตีลังกาในช่วงหลายเดือนของเคมีบำบัดที่มีขึ้น มีลง และทุกอย่างระหว่างนั้น แต่แม้จะผ่านทั้งหมดนี้ ผมกับเฮเธอร์ยังคงมีศรัทธาว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงรักษาผม เรารู้เช่นนั้น”

เฮเธอร์จดลำดับความคิดและความรู้สึกของเธอดังนี้ “ดิฉันไม่สามารถปล่อยให้จอห์นอยู่คนเดียวในโรงพยาบาลตอนกลางคืน ดิฉันจึงนอนหลับบนโซฟาตัวเล็กในห้องของเขาทุกคืน เรามีเพื่อนและครอบครัวมากมายมาเยี่ยมเราตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืนยากที่สุด ดิฉันจะจ้องมองเพดานพลางสงสัยว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงมีแผนอะไรสำหรับเรา บางครั้งความคิดของดิฉันจะล่องลอยไปในที่มืด และกลัวมากว่าจะสูญเสียจอห์น แต่ดิฉันรู้ว่าความคิดเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระบิดาบนสวรรค์ ดิฉันสวดอ้อนวอนขอการปลอบโยนบ่อยขึ้น และพระเจ้าประทานความเข้มแข็งให้ดิฉันก้าวต่อไป”

สามเดือนต่อมา จอห์นรับการผ่าตัดเอาเนื้องอกก้อนใหญ่ที่ขาออก สองวันหลังผ่าตัด ข้าพเจ้าไปเยี่ยมจอห์นกับเฮเธอร์ที่โรงพยาบาล เราพูดถึงครั้งแรกที่ข้าพเจ้าพบจอห์นในสนามเผยแผ่ การแต่งงานของพวกเขา มะเร็ง และบทเรียนสำคัญชั่วนิรันดร์ที่เราเรียนรู้ผ่านการทดลองในความเป็นมรรตัย เมื่อเวลาที่เราอยู่ด้วยกันสิ้นสุดลง จอห์นถามว่าข้าพเจ้าจะให้พรฐานะปุโรหิตแก่เขาได้ไหม ข้าพเจ้าตอบว่าข้าพเจ้ายินดีจะให้พรเช่นนั้น แต่ต้องถามคำถามบางข้อก่อน

จากนั้นข้าพเจ้าจึงตั้งคำถามที่ไม่มีแผนจะถามและไม่เคยคิดมาก่อนว่า “คุณมีศรัทธาว่าจะไม่หายหรือไม่ หากนั่นเป็นพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์ที่ความตายก่อนถึงเวลาอันควรส่งคุณไปโลกวิญญาณเพื่อปฏิบัติศาสนกิจของคุณต่อไป คุณมีศรัทธาจะยอมรับพระประสงค์และไม่หายหรือไม่”

บ่อยครั้งในพระคัมภีร์ พระผู้ช่วยให้รอดหรือผู้รับใช้ของพระองค์ใช้ของประทานทางวิญญาณของการรักษา (ดู 1 โครินธ์ 12:9; คพ. 35:9; 46:20) และรับรู้ว่าคนๆ นั้นมีศรัทธาว่าจะหาย (ดู กิจการ 14:9; 3 นีฟ 17:8; คพ. 46:19) แต่เมื่อจอห์น เฮเธอร์ กับข้าพเจ้าหารือกันและพยายามตอบคำถามเหล่านี้ เราเข้าใจเพิ่มขึ้นว่าถ้าพระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้ชายหนุ่มที่ดีคนนี้หาย เขาย่อมได้รับพรนั้นหากสามีภรรยาที่กล้าหาญคู่นี้มีศรัทธาก่อนว่าจะไม่หาย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จอห์นกับเฮเธอร์ต้องเอาชนะ “ความเป็นมนุษย์ปุถุชน” (โมไซยาห์ 3:19) ผ่านการชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ซึ่งคือแนวโน้มที่เราทุกคนจะเรียกร้องอย่างไม่อดทน ดึงดันขอพรที่เราต้องการและเชื่อว่าเราสมควรได้รับ

เรายอมรับหลักธรรมหนึ่งที่ประยุกต์ใช้กับสานุศิษย์ที่ภักดีทุกคน นั่นคือ ศรัทธาแก่กล้าในพระผู้ช่วยให้รอดคือการน้อมรับพระประสงค์และจังหวะเวลาของพระองค์ในชีวิต—แม้ผลจะไม่เป็นอย่างที่เราหวังหรือต้องการ แน่นอนว่าจอห์นกับเฮเธอร์ปรารถนา ใฝ่ฝัน และวิงวอนขอการรักษาด้วยสุดพลัง ความคิด และพละกำลังของพวกเขา แต่สำคัญกว่านั้น พวกเขาจะ “เต็มใจยอมในสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเห็นควรจะอุบัติแก่ [พวกเขา], แม้ดังเด็กยินยอมต่อบิดาตน” [โมไซยาห์ 3:19] โดยแท้แล้ว พวกเขาเต็มใจ “ถวายทั้งจิตวิญญาณ [ของพวกเขา] เป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์” (ออมไน1:26) และสวดอ้อนวอนอย่างนอบน้อมว่า “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42)

สิ่งที่ตอนแรกเหมือนจะเป็นคำถามที่จอห์นกับเฮเธอร์และข้าพเจ้าไม่เข้าใจกลับกลายเป็นส่วนหนึ่งของปฏิทรรศน์พระกิตติคุณ พึงพิจารณาพระดำรัสเตือนของพระผู้ช่วยให้รอดดังนี้ “ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด” (มัทธิว 10:39) พระองค์ทรงประกาศเช่นกันว่า “แต่หลายคนที่เป็นคนแรกจะกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนสุดท้ายจะกลับไปเป็นคนแรก” (มัทธิว 19:30) และพระเจ้าทรงแนะนำสานุศิษย์ยุคสุดท้ายของพระองค์ว่า “โดยคำของเจ้าคนสูงมากมายจะถูกพาลงต่ำ, และโดยคำของเจ้าคนต่ำมากมายจะได้รับการยกให้สูงส่ง” (คพ. 112:8) ด้วยเหตุนี้ การมีศรัทธาว่าจะไม่หายจึงดูเหมือนเข้ากันอย่างเหมาะเจาะกับรูปแบบอันทรงพลังของปฏิทรรศน์ซึ่งเรียกร้องให้เราขอ หา และเคาะเพื่อเราจะได้รับความรู้และความเข้าใจ (ดู 3 นีไฟ 14:7)

หลังจากใช้เวลาที่จำเป็นไตร่ตรองคำถามของข้าพเจ้าและพูดคุยกับภรรยา จอห์นบอกข้าพเจ้าว่า “เอ็ลเดอร์เบดนาร์ครับ ผมไม่อยากตาย ผมไม่อยากจากเฮเธอร์ แต่ถ้าพระประสงค์ของพระเจ้าคือย้ายผมไปโลกวิญญาณ ผมคิดว่าผมจะยอมรับ”

ใจข้าพเจ้าพองโตด้วยความชื่นชมและความขอบคุณขณะเห็นสามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้เผชิญกับการต่อสู้ทางวิญญาณที่เรียกร้องมากที่สุด—การยอมให้ความประสงค์ของพวกเขาเป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ศรัทธาของข้าพเจ้าเข้มแข็งขึ้นเมื่อเห็นสามีภรรยาคู่นี้ยอมให้ความปรารถนาอันแรงกล้าและเข้าใจได้ของพวกเขาว่าจะหายป่วยถูก “กลืนเข้าไปในพระประสงค์ของพระบิดา” (โมไซยาห์ 15:7)

จอห์นพูดถึงปฏิกิริยาของเขาต่อการสนทนาของเราและพรที่เขาได้รับดังนี้ “เอ็ลเดอร์เบดนาร์แบ่งปันความคิดจากเอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์กับเราว่าการไม่ชะงักดีกว่ารอดตาย จากนั้นเอ็ลเดอร์เบดนาร์ถามเราว่า ‘ผมรู้ว่าคุณมีศรัทธาว่าจะหาย แต่คุณมีศรัทธาว่าจะไม่หายหรือไม่’ นี่เป็นแนวความคิดที่แปลกสำหรับผม สิ่งสำคัญคือท่านกำลังถามว่าผมมีศรัทธาจะยอมรับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าหรือไม่ถ้าพระประสงค์ของพระองค์คือผมจะไม่หาย ถ้าผมใกล้ถึงเวลาเข้าไปในโลกวิญญาณผ่านความตาย ผมพร้อมจะยอมรับหรือไม่”

จอห์นกล่าวต่อไปว่า “การมีศรัทธาว่าจะไม่หายดูเหมือนจะขัดกับความรู้สึกโดยทั่วไป แต่ทัศนะเช่นนั้นเปลี่ยนวิธีคิดของผมกับภรรยาและทำให้เราวางใจเต็มที่ในแผนของพระบิดาสำหรับเรา เราเรียนรู้ว่าเราต้องมีศรัทธาว่าพระเจ้าทรงรับผิดชอบไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร และพระองค์จะทรงนำทางเราจากจุดที่เราอยู่ไปจนถึงจุดที่เราจำเป็นต้องอยู่ เมื่อเราสวดอ้อนวอน คำวิงวอนของเราเปลี่ยนจาก ‘โปรดทำให้ข้าพระองค์หายป่วย’ เป็น ‘โปรดประทานศรัทธาให้ข้าพระองค์ยอมรับผลที่พระองค์ทรงมีแผนสำหรับข้าพระองค์’

“ผมมั่นใจว่าเนื่องจากเอ็ลเดอร์เบดนาร์เป็นอัครสาวก ท่านจะอวยพรให้ร่างกายของผมจัดองค์ประกอบขึ้นใหม่ และผมจะกระโดดลุกจากเตียงและเริ่มร้องรำทำเพลงหรือทำอะไรบางอย่างที่น่าตื่นตาตื่นใจ! แต่เมื่อท่านให้พรผมวันนั้น ผมประหลาดใจเมื่อคำที่ท่านพูดแทบจะเหมือนกับคำพูดของคุณพ่อผม พ่อตาของผม และประธานคณะเผยแผ่ของผม ผมตระหนักว่าสุดท้ายแล้วไม่สำคัญว่ามือใครอยู่บนศีรษะผม พระเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าไม่เปลี่ยน เราแต่ละคนรู้พระประสงค์ของพระองค์ผ่านผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงมอบอำนาจ”

ภาพ
wife laying on husbands chest

เฮเธอร์เขียนว่า “วันนี้ดิฉันมีหลากหลายความรู้สึกปนกัน ดิฉันเชื่อมั่นว่าเอ็ลเดอร์เบดนาร์จะวางมือบนศีรษะจอห์นและทำให้เขาหายจากมะเร็งเป็นปลิดทิ้ง ดิฉันทราบว่าโดยผ่านพลังของฐานะปุโรหิตเขาจะหาย และดิฉันต้องการให้เป็นเช่นนั้นอย่างมาก หลังจากท่านสอนเราเกี่ยวกับศรัทธาว่าจะไม่หาย ดิฉันหวาดกลัว จนถึงจุดนั้น ดิฉันไม่เคยเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ว่าแผนของพระเจ้าอาจรวมถึงการสูญเสียสามีที่ดิฉันเพิ่งแต่งงานด้วย ศรัทธาของดิฉันขึ้นอยู่กับผลที่ดิฉันต้องการ กล่าวคือนั่นเป็นมิติเดียว แม้จะน่าหวาดกลัวตอนแรก แต่สุดท้ายแล้วความคิดเรื่องการมีศรัทธาว่าจะไม่หายทำให้ดิฉันหมดกังวล ทำให้ดิฉันวางใจอย่างสมบูรณ์ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักดิฉันดีกว่าดิฉันรู้จักตนเอง พระองค์จะทรงทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับดิฉันและจอห์น”

เขาได้รับพร หลายสัปดาห์ หลายเดือน และหลายปีผ่านไป มะเร็งของจอห์นบรรเทาลงอย่างน่าอัศจรรรย์ เขาสามารถเรียนมหาวิทยาลัยจนจบและประกอบอาชีพที่ประสบความสำเร็จ จอห์นกับเฮเธอร์ยังคงมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและมีความสุขกับชีวิตด้วยกัน

ต่อมาข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากจอห์นและเฮเธอร์แจ้งว่ามะเร็งกลับมา เขาเริ่มรับเคมีบำบัดและกำหนดการผ่าตัด จอห์นอธิบายว่า “ข่าวนี้ไม่เพียงทำให้ผมกับเฮเธอร์ผิดหวังเท่านั้น แต่ทำให้เรางุนงงด้วย มีบางอย่างที่เราไม่ได้เรียนรู้ครั้งแรกหรือ พระเจ้าทรงคาดหวังบางอย่างจากเราหรือ

“ผมจึงเริ่มสวดอ้อนวอนขอความชัดเจนและขอพระเจ้าทรงช่วยให้ผมเข้าใจว่าเหตุใดมะเร็งจึงเกิดขึ้นอีก วันหนึ่งขณะที่ผมกำลังอ่านพันธสัญญาใหม่ผมได้รับคำตอบ ผมอ่านเรื่องราวของพระคริสต์กับเหล่าอัครสาวกอยู่กลางทะเลขณะเกิดพายุ โดยเกรงว่าเรือจะล่ม เหล่าสาวกจึงไปทูลถามพระผู้ช่วยให้รอดว่า ‘พระอาจารย์ พระองค์ไม่ทรงเป็นห่วงว่าพวกเรากำลังจะพินาศหรือ’ นี่ตรงกับที่ผมรู้สึก! ไม่ทรงเป็นห่วงหรือว่าผมเป็นมะเร็ง ไม่ทรงเป็นห่วงหรือว่าเราต้องการเริ่มต้นชีวิตครอบครัว แต่ขณะอ่านเรื่องนี้ต่อไป ผมพบคำตอบ พระเจ้าทอดพระเนตรพวกเขาและตรัสว่า ‘คนมีศรัทธาน้อย’ และทรงเหยียดพระหัตถ์ทำให้น้ำนิ่ง

“ในขณะนั้นผมต้องถามตนเองว่า ‘ผมเชื่อเรื่องนี้จริงหรือ ผมเชื่อจริงหรือว่าพระองค์ทรงทำให้น้ำนิ่งในวันนั้น หรือเป็นแค่เรื่องดีๆ เรื่องหนึ่งที่ผมอ่าน’ คำตอบคือ ผมเชื่อ ผมทราบว่าพระองค์ทรงทำให้น้ำนิ่ง ผมรู้ทันทีว่าพระองค์ทรงรักษาผมได้ จนถึงจุดนี้ ผมจำเป็นต้องทำให้ศรัทธาของผมในพระคริสต์สอดคล้องกับการเลี่ยงไม่พ้นพระประสงค์ของพระองค์ ผมมองสองอย่างนี้แยกกัน บางครั้งผมรู้สึกว่าอย่างหนึ่งขัดแย้งกับอีกอย่างหนึ่ง ‘เหตุใดผมจึงควรมีศรัทธาว่าสุดท้ายแล้วพระประสงค์ของพระองค์จะบังเกิดผลตามนั้น’ ผมถาม หลังจากประสบการณ์นี้ ผมรู้ว่าการมีศรัทธา—อย่างน้อยก็ในสภาวการณ์ของผม—ไม่จำเป็นต้องรู้ว่าพระองค์ จะ ทรงรักษาผมให้หาย แต่รู้ว่าพระองค์ ทรงสามารถ รักษาผมให้หายได้ ผมต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงสามารถ และเมื่อนั้นไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็สุดแล้วแต่พระองค์

“เมื่อผมยอมให้ความคิดทั้งสองนั้นอยู่ร่วมกันในชีวิตผม มุ่งเน้นศรัทธาในพระเยซูคริสต์ และยอมตามพระประสงค์ของพระองค์โดยไม่มีข้อแม้ ผมพบว่าผมสบายใจและมีสันติสุขมากขึ้น การได้เห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในชีวิตเราเป็นเรื่องประหลาดมาก เหตุการณ์ต่างๆ ลงตัว ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น และเรายังคงเห็นแผนของพระผู้เป็นเจ้าเผยต่อเรา”

ความชอบธรรมและศรัทธาเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนภูเขาอย่างแน่นอน—หากการเคลื่อนภูเขาทำให้บรรลุจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ความชอบธรรมและศรัทธาเป็นเครื่องมือในการรักษาคนป่วย คนหูหนวก และคนง่อยอย่างแน่นอน—หากการรักษานั้นทำให้บรรลุจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระองค์ ฉะนั้น แม้เราจะมีศรัทธาแรงกล้า แต่ภูเขาหลายลูกจะไม่เคลื่อน ผู้ป่วยและผู้ทุพพลภาพทั้งหมดจะไม่หาย หากตัดการตรงกันข้ามทั้งหมดออก หากนำเอาโรคภัยไข้เจ็บทั้งหมดออกไป เมื่อนั้นจุดประสงค์เบื้องต้นในแผนของพระบิดาย่อมล้มเหลว

ภาพ
mother with son in a wheelchair

บทเรียนมากมายที่เราต้องเรียนรู้ในความเป็นมรรตัยจะได้รับผ่านสิ่งที่เราประสบและบางครั้งทนทุกข์เท่านั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังและวางพระทัยให้เราเผชิญความยากลำบากชั่วคราวด้วยความช่วยเหลือของพระองค์เพื่อเราจะได้เรียนรู้สิ่งที่เราต้องเรียนรู้และในที่สุดจะเป็นอย่างที่เราพึงเป็นในนิรันดร

ความหมายของสิ่งทั้งปวง

เรื่องเกี่ยวกับจอห์นและเฮเธอร์เป็นทั้งเรื่องธรรมดาและพิเศษกว่าธรรมดา สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่นี้เป็นตัวแทนของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์และรักษาพันธสัญญาหลายล้านคนทั่วโลกผู้กำลังมุ่งหน้าไปตามทางคับแคบและแคบด้วยศรัทธาอันแน่วแน่ในพระคริสต์และความเจิดจ้าอันบริบูรณ์แห่งความหวัง (ดู 2 นีไฟ 31:19–20) จอห์นกับเฮเธอร์ไม่ได้รับใช้ในตำแหน่งผู้นำที่โดดเด่นในศาสนจักร พวกเขาไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ บางครั้งพวกเขามีความสงสัยและความกลัว ในหลายด้านเหล่านี้ เรื่องราวของพวกเขาธรรมดามาก

แต่ชายหนุ่มและหญิงสาวคู่นี้ได้รับพรในวิธีที่พิเศษกว่าธรรมดาเพื่อเรียนรู้บทเรียนที่จำเป็นสำหรับนิรันดรผ่านความทุกข์และความยากลำบาก ข้าพเจ้าแบ่งปันเรื่องนี้กับท่านเพราะจอห์นกับเฮเธอร์ผู้เป็นเหมือนพวกท่านหลายคนเข้าใจว่าการไม่ชะงักสำคัญกว่าการรอดตาย ด้วยเหตุนี้ ประสบการณ์ของพวกเขาในเบื้องต้นจึงไม่เกี่ยวกับการอยู่และตาย แต่เกี่ยวกับการเรียนรู้ การดำเนินชีวิต และการเป็น

สำหรับพวกท่านหลายคน เรื่องราวของพวกเขาเป็น เคยเป็น หรืออาจจะเป็นเรื่องราวของท่านได้ ท่านกำลังเผชิญ เคยเผชิญ หรือจะเผชิญความท้าทายเช่นนี้ในชีวิตท่านด้วยความกล้าหาญและทัศนะทางวิญญาณเช่นเดียวกับที่จอห์นและเฮเธอร์มี ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าเหตุใดบางคนจึงเรียนรู้บทเรียนแห่งนิรันดรผ่านการทดลองและความทุกข์ยาก—ขณะที่หลายคนเรียนรู้บทเรียนเดียวกันผ่านการรอดชีวิตและการรักษาให้หาย ข้าพเจ้าไม่ทราบเหตุผลทั้งหมด จุดประสงค์ทั้งหมด และไม่ทราบทุกอย่างเกี่ยวกับจังหวะเวลาของพระเจ้า ท่านและข้าพเจ้าสามารถพูดพร้อมกับนีไฟได้ว่าเรา “ไม่รู้ความหมายของเรื่องทั้งหมด” (1 นีไฟ 11:17)

แต่บางอย่างข้าพเจ้ารู้แน่นอน ข้าพเจ้ารู้ว่าเราเป็นบุตรและธิดาทางวิญญาณของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา ข้าพเจ้ารู้ว่าพระบิดานิรันดร์ทรงเป็นผู้ลิขิตแผนแห่งความสุข ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูทรงสามารถเปิดทางให้แผนของพระบิดาผ่านการชดใช้อันไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ของพระองค์ ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรง “พบความชอกช้ำเพื่อเรา”2 ทรงสามารถช่วยชีวิตและเพิ่มพลังให้ “ผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขา” (แอลมา 7:12 และข้าพเจ้ารู้ว่าพรประเสริฐที่สุดประการหนึ่งของความเป็นมรรตัยคือการไม่ชะงักและยอมให้ความประสงค์ของเราแต่ละคนถูก “กลืนเข้าไปในพระประสงค์ของพระบิดา” (โมไซยาห์ 15:7)

ถึงแม้ข้าพเจ้าไม่รู้ทุกอย่างว่าพรเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างไร เมื่อใด ที่ไหน และเพราะเหตุใด แต่ข้าพเจ้าเป็นพยานว่ามีจริง ข้าพเจ้ารู้ว่าเมื่อท่านมุ่งหน้าในชีวิตด้วยศรัทธาอันแน่วแน่ในพระคริสต์ ท่านจะมีความสามารถในการไม่ชะงัก

อ้างอิง

  1. นีล เอ. แม็กซ์เวลล์, “การใช้โลหิตแห่งการชดใช้ของพระคริสต์,” เลียโฮนา, ม.ค. 1998, 28.

  2. “เยซูแห่งนาซาเร็ธ,” เพลงสวด, บทเพลงที่ 82.

พิมพ์