2016
การเป็นสตรี: มองไกลให้ถึงนิรันดร
สิงหาคม 2016


การเป็นสตรี: มองไกลให้ถึงนิรันดร

จากคำปราศรัยที่การประชุม Fair Mormon Conference ในเมืองโพรโว รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2014

ดิฉันต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยจากประสบการณ์ของดิฉันเองว่าชีวิตสตรีอย่างดิฉันมีค่า งดงาม และดีขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเพราะพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

ภาพ
women in Relief Society

หลายปีก่อน เพื่อนดิฉันกับสามีเธอทำการอบรมผู้นำในชนบทของกานา สตรีคนหนึ่งตรงมาหาเธอและพูดอย่างตื้นตันใจมากว่า “นี่เป็นศาสนจักรของผู้หญิง” เพื่อนของดิฉันถามเธอว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เธอตอบว่า “เรามีสมาคมสงเคราะห์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งสอนเราเกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณและเรื่องราวประจำวันที่เป็นพรแก่เราและครอบครัว ขณะเดียวกันสามีของคุณก็อยู่ในห้องถัดไปกำลังสอนสามีของเราว่าพวกเขาพึงปฏิบัติต่อภรรยาและลูกๆ ด้วยความสุภาพอ่อนโยน เรามีพระวิหาร ลูกๆ ของดิฉันที่สิ้นชีวิตแล้วจะเป็นลูกของดิฉันตลอดไป ทุกอย่างที่ดิฉันต้องการดิฉันพบในศาสนจักรนี้ นี่เป็นศาสนจักรของผู้หญิง”

นี่เป็นศาสนจักรของสตรีหรือ อาจมีข้อยกเว้นที่น่าสนใจอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่แล้วประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉันทำให้ดิฉันมีพลัง ด้วยเหตุนี้แทนที่จะตอบคำถามแทนท่าน ดิฉันจะพูดเฉพาะสิ่งที่ดิฉันเห็นมาแล้วทั่วโลก ดิฉันไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่ศาสตราจารย์ หรือโฆษกของศาสนจักร แต่ดิฉันต้องการแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยจากประสบการณ์ของดิฉันเองว่าชีวิตสตรีอย่างดิฉันมีค่า งดงาม และดีขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเพราะพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

นี่ไม่ได้จำกัดสิทธิสตรีหรือไม่ได้เป็นแนวคิดล้าหลังแน่นอน แต่หลักคำสอนของศาสนจักรเกี่ยวกับบทบาทของสตรีในครอบครัว ศาสนจักร ชุมชน ประเทศชาติ และพระวิหาร—และชายหญิงเกี่ยวข้องและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร—เป็นหลักคำสอนที่เหมาะสมที่สุด เปี่ยมด้วยอิทธิพล จุดประกายความคิด และให้พลังอย่างที่ดิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงพูดกับพี่น้องสตรีของดิฉันว่าสิ่งที่คุณหิวกระหายในฐานะสตรี ชาวคริสต์ ปัญญาชน และสัตภาวะนิรันดร์อยู่ในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์และในการปฏิบัติตามหลักคำสอนนั้นในศาสนจักร

หลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าชายกับหญิงมีภาระรับผิดชอบเท่าเทียมกัน

พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ประยุกต์ใช้ทั้งกับชายและหญิง หลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าทั้งคู่มีภาระรับผิดชอบเท่าเทียมกัน โดยไม่มีสองมาตรฐาน พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับสื่อลามก การล่วงประเวณี การกระทำทารุณกรรม การละเลยเพิกเฉย ความไม่เท่าเทียมกัน หรือการกดขี่ข่มเหง โดยไม่คำนึงถึงเพศของเรา

หลักคำสอนดังกล่าวให้ความรู้แก่เราเช่นกันว่าเรามาจากไหน เรามาที่นี่ทำไม และเราจะไปที่ไหน อีกทั้งให้ความเข้าใจแก่เราเรื่องเพศหญิงและเพศชาย ตลอดจนบทบาทของเราในฐานะธิดาและบุตร พี่สาวน้องสาวและพี่ชายน้องชาย ภรรยาและสามี มารดาและบิดา1

เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนดังนี้ “ศาสดาพยากรณ์เปิดเผยว่าเราเคยดำรงอยู่มาก่อนในฐานะสัตภาวะรู้แจ้งและพระผู้เป็นเจ้าประทานรูปแบบหรือร่างกายทางวิญญาณแก่เรา เราจึงเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์—บุตรและธิดาของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์”2 ความรู้แจ้งดำรงอยู่ตลอดไป (ดู คพ. 93:29)

ดิฉันเป็น สตรี คุณลักษณะและความรับผิดชอบที่แน่ชัดมาพร้อมเพศ

ดิฉันเป็น ธิดา บทบาทนี้บอกว่าดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันมีพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์และในฐานะธิดาดิฉันมีสิทธิ์สื่อสารกับพระบิดาบนสวรรค์ผ่านการสวดอ้อนวอนและได้รับการเปิดเผยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์3

ดิฉันเป็น พี่สาวน้องสาว บทบาทนี้หมายความว่าดิฉันเป็นชาวคริสต์ สมาชิกของศาสนจักร พี่น้องสตรีในพระกิตติคุณ สานุศิษย์ และดิฉันทำพันธสัญญาว่าจะเสียสละ อุทิศถวาย รับใช้ และนำ

ดิฉันอาจมีโอกาสเป็น ภรรยา ในชีวิตนี้เช่นกัน—ถ้าไม่ใช่ในชีวิตนี้ก็ในชีวิตหน้าแน่นอน บทบาทนี้คือดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับสามีที่ดิฉันเลือกผู้เป็นหุ้นส่วนเท่าเทียมกัน แม้เราไม่เหมือนกัน—เพราะไม่มีใครมีของประทานรวมทั้งคุณสมบัติที่ดิฉันมีหรือเขามี—แต่เราใช้คุณลักษณะเสริมกันเพื่อพยายามเป็นหนึ่งเดียว คำว่า การผนึก เป็นคำอธิบายที่ดีเยี่ยมของศักยภาพการเป็นหนึ่งเดียวกันนิรันดร์ของชีวิตแต่งงานที่สร้างจากสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในพระวิหาร

บทบาทของ มารดา คือดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับลูกหลาน ไม่ว่าดิฉันจะบรรลุบทบาทนี้ในช่วงสั้นๆ บนแผ่นดินโลกหรือหลังจากนี้ แต่คำสัญญาเกี่ยวกับครอบครัวนิรันดร์ทำไว้กับคนที่ผนึกการแต่งงานในพระวิหารและโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา (ดู คพ. 132:19)

หลักคำสอนของเราพิเศษสุดบนแผ่นดินโลก และเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ลองคิดดูว่านี่หมายความอย่างไรถ้าท่านเข้าใจหลักคำสอนนี้และเชื่อ สำหรับดิฉันนั่นทำให้ดิฉันมองไกลถึงนิรันดรในการทำทุกอย่าง

ภาพ
mother reading scriptures to son

ศาสนจักรคือที่ซึ่งเราปฏิบัติหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า

ดิฉันเชื่อว่าการเป็นสมาชิกของศาสนจักรทำให้ดิฉันเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมพัฒนาที่ดีที่สุดโปรแกรมหนึ่งเท่าที่เคยออกแบบมา หลักสูตรรวบยอดของการพัฒนาตนเอง พลังความสามารถในการดำเนินงาน และการเป็นผู้นำสำหรับสตรีเกิดจากการทำสิ่งที่สมาชิกทุกคนทำ นั่นคือ การเป็นผู้นำ การพูดต่อหน้าสาธารณชน การตัดสินใจ การสนทนาที่โน้มน้าวใจ การทำงบประมาณ การมีอิทธิพลต่อผู้อื่น การรับใช้ในชุมชน การอ่านออกเขียนได้ การค้นคว้า การพัฒนาสติปัญญา การเพาะปลูก การถนอมอาหาร สุขภาพครอบครัว—และอื่นๆ

ดิฉันเชื่อว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของสตรีเกิดขึ้นเมื่อขาดความเชื่อมโยงระหว่างหลักคำสอนกับการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ อย่างไรก็ดี โดยผ่านการเปิดเผยอย่างต่อเนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าต่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์และต่อเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะยังคงสามารถแยกแยะและขจัดความเข้าใจผิดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นได้

เหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ยังคงชี้แจงแนวคิดที่เราเชื่อมาตลอด เช่น

  • เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “เมื่อชายและหญิงไปพระวิหาร ทั้งสองได้รับเอ็นดาวเม้นท์ด้วยอำนาจเดียวกัน ซึ่งโดยนิยามนั้นคืออำนาจฐานะปุโรหิต”4

  • เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวดังนี้ “เราไม่คุ้นเคยกับการพูดว่าสตรีมีสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในการเรียกของพวกเธอในศาสนจักร แต่นั่นจะเป็นสิทธิอำนาจอื่นใดไปได้เล่า”5

  • ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุด อธิบายว่า “บิดาทุกคนเป็นปิตุของครอบครัวและมารดาทุกคนเป็นมาตุที่เสมอภาคกันในบทบาทการเป็นบิดามารดาที่แตกต่างกันของพวกเขา”6

1. จำภาพใหญ่ไว้ให้แม่น

ตอนนี้ดิฉันขอให้คำแนะนำสามข้อที่จะช่วยเราเรื่องการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ คำแนะนำข้อแรกคือจำภาพใหญ่ที่ได้จากหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ไว้ให้แม่น

นานมาแล้ว ในฐานะผู้อำนวยการองค์กรการกุศลแอลดีเอส ดิฉันอยู่ในการประชุมหนึ่งขณะได้รับคำขอเร่งด่วนเกี่ยวกับผู้อพยพชาวคริสต์ที่ถูกกองกำลังรัฐอิสลามกวาดล้างจากเมืองโมซุล ประเทศอิรักและกำลังทะลักเข้าเคอร์ดิสถาน ราชาคณะของนิกายแองลิกันในแบกแดดให้ประชาชน 5,000 คนเบียดกันอยู่ที่ลานโบสถ์ของเขาและพวกเขาไม่มีอาหารรับประทาน ผู้สอนศาสนาคู่สามีภรรยาด้านมนุษยธรรมของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกำลังขอทุนฉุกเฉินมาซื้อข้าว ถั่ว น้ำมัน และผ้าห่ม เราตอบรับทันทีเพื่อให้พวกเขามีอาหารรับประทานเย็นนั้น

เพราะงานของดิฉัน เรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ดิฉันต้องจัดการทุกวัน ดิฉันจำต้องมองภาพกว้างบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงถามตนเองว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดจากความเพียรพยายามของดิฉัน ขณะที่เราหาคำตอบ ขอให้เราค้นคว้าหลักคำสอนของพระกิตติคุณ “การมองข้ามเครื่องหมาย” (เจคอบ 4:14) หรือการหมกมุ่นกับคำถามหนึ่งหรือการปฏิบัติอย่างหนึ่งมักเบนจุดสนใจและเวลาของเราไปจากการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ

บอนนี แอล. ออสคาร์สัน ประธานเยาวชนหญิงสามัญ พูดถึงการตรึงแน่นอยู่กับพระกิตติคุณขณะที่เราหาคำตอบว่า “เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะยึดมั่นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่แล้วหรือไม่ ไม่มีคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่เราเลือกว่าเราจะซื่อตรงต่อสิ่งที่เรารู้สึกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ขอให้เราทำต่อไปเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จรรโลงศรัทธาของเราไว้”7

การปฏิบัติของเราจะเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งในศาสนจักรขณะฝึกประยุกต์ใช้หลักคำสอนของเราให้ดีขึ้นและสมบูรณ์แบบมากขึ้น ดิฉันหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะนำพระกิตติคุณมาปฏิบัติได้ดีกว่าหรือดีเท่ากัน แต่ดิฉันเชื่อเช่นกันว่าศิลารากฐานก้อนใหญ่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและใหญ่พอจะบำรุงเลี้ยงศรัทธาและประจักษ์พยานของเรา

2. ซื่อสัตย์ขณะเผชิญการต่อต้าน

การต่อต้านไม่เลวร้ายเสมอไป ดิฉันเชื่อว่าการต่อต้านทำให้เราเข้มแข็งขึ้นด้วย เมื่อดิฉันไปเยือนสวนพฤกษศาสตร์ฮันทิงตันในเมืองซานมารีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ดิฉันสังเกตว่าในงานนิทรรศการใช้พัดลมเครื่องใหญ่หลายเครื่องสร้างกระแสลมจำลองเพื่อให้ต้นไม้เขตร้อนมีแรงต้านเฮอร์ริเคนที่อาจเกิดขึ้น พระเจ้าทรงส่งหรือยอมให้ “กระแสลม” เกิดขึ้นกับเราทุกวันในรูปของปัญหาและการต่อต้านเพื่อให้รากของเราแข็งแรงและทำให้เราปรับตัวได้ง่ายขึ้น ความท้าทายเช่นนั้นเป็นของขวัญอย่างแท้จริง

บทความสั้นๆ สองเรื่องต่อไปนี้จากประวัติศาสนจักรให้ทัศนะที่ถูกต้องแก่เราเกี่ยวกับการต่อต้าน

บทความแรกคือการมาถึงหุบเขาซอลท์เลคของบริคัม ยังก์ในปี 1847 ตามที่ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (1910–2008) อธิบาย “ไม่เคยมีการไถหว่านที่นั่นมาก่อน [บริคัม ยังก์] ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ฤดูกาล สภาพดินฟ้าอากาศ น้ำค้างแข็ง ความรุนแรงของฤดูหนาว หรือโอกาสเกิดการระบาดของแมลง [นักสำรวจรุ่นแรก] จิม บริดเจอร์และไมลส์ กูดเยียร์ไม่มีอะไรดีๆ ให้พูดเกี่ยวกับที่แห่งนี้ แซม แบรนนันขอร้องให้ท่านเดินทางต่อไปยังแคลิฟอร์เนีย ท่านไม่ฟังพวกเขา ท่านนำผู้คนไปยังที่ร้อนแห่งนี้และดูเหมือนจะเป็นที่กันดารมาก เมื่อท่านมาถึง ท่านมองข้ามที่กว้างแห่งนี้ไปยังซอลท์เลคทางตะวันตกและพูดว่า ‘ตรงนี้แหละ’”8

บทความที่สองเป็นเรื่องที่วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์นึกถึงคำพูดของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ท่านศาสดาพยากรณ์พูดในช่วงแรกๆ ของการฟื้นฟูกับผู้นำกลุ่มเล็กเกี่ยวกับความรู้กว้างขวางที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งสอนและคำแนะนำมากมายในประจักษ์พยานของพวกท่านที่นี่คืนนี้ แต่ข้าพเจ้าต้องการบอกท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า ท่านรู้เกี่ยวกับจุดหมายของศาสนจักรและอาณาจักรนี้ไม่มากไปกว่าเด็กทารกบนตักมารดา ท่านไม่เข้าใจ”9

ดิฉันแบ่งปันสองเรื่องนี้เพราะเรื่องดังกล่าวบอกให้รู้ว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร การอยู่ในสถานที่ถูกต้องหรือมีหลักคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนาเกลือขาวโพลนที่สะท้อนแสงจนพร่าตาและฝูงตั๊กแตนหรือน้ำค้างแข็งหรือคนไม่เห็นด้วย แต่นั่นเป็นสถานที่ถูกต้องและหลักคำสอนที่ถูกต้อง เราควรเดินหน้าต่อไป เราเข้าใจมากเท่ากับเด็กทารกบนตักมารดาถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับชายหญิงและฐานะปุโรหิต แต่พระเจ้าพอพระทัยจะสอนเราขณะที่เรามีความสามารถ ขณะที่เราเติบโต ขณะที่เราขอ และขณะที่เราเข้าใจเพิ่มขึ้น เราจะทำได้เช่นเดียวกับที่ซิสเตอร์ออสคาร์สันกล่าว “ขณะเดียวกันก็จรรโลงรักษาศรัทธาของเราไว้”

3. แสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์

การถามคำถามและการหาคำตอบเป็นหัวใจของการได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นพยานเมื่อบางอย่างถูกต้องผ่านความรู้สึกสงบและอบอุ่น ลินดา เค. เบอร์ตันประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญกล่าวถึงกระบวนการนี้ว่า “ขอให้เราไปหาแหล่งคำตอบที่ถูกต้อง เหตุใดเราจึงเชื่ออินเทอร์เน็ตแต่ไม่เชื่อศาสดาพยากรณ์ เราสามารถคิดวิธีถามคำถามในแบบที่ส่งเสริมความร่วมมือและเปิดเผยข้อกังวล … แต่จงอดทนและอ่อนน้อมถ่อมตน”10

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนให้เรารู้ความแตกต่างระหว่างอิทธิพลจากซาตานกับคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้า “ใครแอบกระซิบ [ความเท็จ] ใส่หูเรา … ท่านกับข้าพเจ้าต่างรู้ว่าใคร—นั่นคือบิดาของความเท็จทั้งปวง เขาคือลูซิเฟอร์ ศัตรูของเราทุกคน”11

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธผู้เคยประสบการเปิดเผยมากกว่าใครในสมัยการประทานนี้พยายามสอนเราว่าเราต้องไขข้อสงสัยด้วยความตั้งใจว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันและเคารพกัน สิ่งนี้อัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสต์ศักราช 1839 โจเซฟเขียนในจดหมายจากคุกลิเบอร์ตี้ว่า “สิทธิของฐานะปุโรหิตเกี่ยวข้องกับอำนาจแห่งสวรรค์อย่างแยกจากกันไม่ได้” และพึงธำรงอำนาจนั้นในฐานะปุโรหิต “โดยการชักชวน, โดยความอดกลั้น, โดยความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยน, และโดยความรักที่ไม่เสแสร้ง” (คพ. 121:36, 41) ท่านศาสดาพยากรณ์สอนหลักธรรมคล้ายกันนี้กับสมาคมสงเคราะห์ “ความนุ่มนวล ความรัก ความบริสุทธิ์—นี่คือสิ่งที่ควรเชิดชู [เรา]”12

โจเซฟ สมิธพูดถึงความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยนว่าเป็นรูปแบบของการรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์และการใช้อิทธิพลที่ชอบธรรม ท่านกล่าวเช่นนี้ทั้งกับชายและหญิงเพราะส่งผลต่อความเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่ายในชีวิตแต่งงานและในศาสนจักร สิทธิอำนาจและการอนุมัติทุกอย่างจากสวรรค์เป็นโมฆะ (เพราะพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากไป) ทันทีที่ชายหรือหญิงเริ่มใช้อำนาจปกครองที่ไม่ชอบธรรม (ดู คพ. 121:37) และไม่นำด้วยความอ่อนโยน ความรัก และความบริสุทธิ์

ภาพ
couple cooking in the kitchen

สิ่งที่สตรีหิวกระหายอยู่ในหลักคำสอนของเรา

มีความหิวกระหายในหมู่สตรีมากมายในโลก อยากให้ตนมีค่า พบจุดประสงค์สำหรับความเพียรพยายามของตน พบชายที่ต้องการสร้างครอบครัวและซื่อสัตย์

ดิฉันเคยพบนักเต้นชาวอังกฤษคนหนึ่งขณะโดยสารรถไฟในฟินแลนด์ เราทั้งคู่มีความสุขกับการพูดภาษาอังกฤษ และเมื่อเราคุยกันเราถามคำถามอย่างเช่น คุณทำอะไรในฟินแลนด์ คุณเชื่ออะไร พอทราบความเชื่อของดิฉัน เธอถามว่า “คุณไม่กินเหล้าสูบบุหรี่หรือคะ คุณไม่เชื่อเรื่องเพศก่อนแต่งงานหรือคะ” และตลอดการสนทนาของเรา เธอมักจะวกกลับมาที่หัวข้อนี้ด้วยความสนใจ “ดิฉันคิดว่าถ้าคุณออกเดทกับผู้ชายที่รู้สึกเหมือนคุณ นั่นคงจะดี” เธอกล่าว ต่อจากนั้น “มีผู้ชายคนไหนรู้สึกเหมือนคุณไหมคะ” เธอเริ่มรู้สึกไม่เห็นด้วยและจบลงด้วยความรู้สึกโหยหา เธอหิวกระหายบางอย่างที่เธอได้ยินในหลักคำสอนของเรา

ความทรงจำเกี่ยวกับการพบกันบนรถไฟไม่เคยไปจากดิฉันและมักเตือนดิฉันให้นึกถึงคำพูดที่รู้จักกันดีของประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) “การเติบโตที่เกิดขึ้นกับศาสนจักรในยุคสุดท้ายนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะสตรีที่ดีจำนวนมากของโลก … ได้รับการชักนำเข้ามาสู่ศาสนจักรมากขึ้น เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสตรีของศาสนจักรสะท้อนความชอบธรรมและความชัดเจนในชีวิตจนถึงระดับที่บรรดาสตรีของโลกมองสตรีของศาสนจักรว่าผิดแผกและแตกต่างอย่างมีความสุข”13

หลักคำสอนเรื่องอัตลักษณ์และบทบาทของสตรีเป็นความปราถนายิ่งใหญ่ที่สุดในใจดิฉัน มนุษย์ยังปฏิบัติหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าไม่สมบูรณ์ แต่ตอบสนอง ดำเนินชีวิตตาม เปี่ยมด้วยความหวังและเจตนาดี เราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า “จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” (หลักแห่งความเชื่อ 1:9) เราเลือกทำตามหลักคำสอนนั้นได้

ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงจะถามอีกครั้งว่า นี่เป็นศาสนจักรของสตรีหรือ คำตอบของดิฉันใช้ประสบการณ์ทั่วโลกของดิฉันเป็นหลัก ใช่

อ้างอิง

  1. ดู “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” เลียโฮนา, พ.ย. 2010, 165.

  2. ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สัน, “เหตุผลที่แต่งงาน เหตุผลที่มีครอบครัว,” เลียโฮนา, พ.ค. 2015, 50.

  3. ดู “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” 165.

  4. เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด, “ชายและหญิงกับอำนาจฐานะปุโรหิต,” เลียโฮนา, ก.ย. 2014, 36.

  5. ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “กุญแจและสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิต,” เลียโฮนา, พ.ค. 2014, 51.

  6. เจมส์ อี. เฟาสท์, “The Prophetic Voice,” Ensign, May 1996, 6.

  7. บอนนี แอล. ออสคาร์สัน, การสนทนาส่วนตัวกับผู้เขียน, 21 ก.ค. 2014.

  8. กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์, ใน เจมส์ อี. เฟาสท์, “Brigham Young: A Bold Prophet” (Education Week address, Aug. 21, 2001), 1, speeches.byu.edu.

  9. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 147.

  10. ลินดา เค. เบอร์ตัน, การสนทนาส่วนตัวกับผู้เขียน, 21 ก.ค. 2014.

  11. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “บุตรหายไปอีกคนหนึ่ง,” เลียโฮนา, ก.ค. 2002, 77.

  12. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 519.

  13. คำสอนของประธานศาสนาจักร: สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (2006), 239.

พิมพ์