การเป็นสตรี: มองไกลให้ถึงนิรันดร
จากคำปราศรัยที่การประชุม Fair Mormon Conference ในเมืองโพรโว รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกาเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2014
ดิฉันต้องการแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยจากประสบการณ์ของดิฉันเองว่าชีวิตสตรีอย่างดิฉันมีค่า งดงาม และดีขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเพราะพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
หลายปีก่อน เพื่อนดิฉันกับสามีเธอทำการอบรมผู้นำในชนบทของกานา สตรีคนหนึ่งตรงมาหาเธอและพูดอย่างตื้นตันใจมากว่า “นี่เป็นศาสนจักรของผู้หญิง” เพื่อนของดิฉันถามเธอว่าเธอหมายความว่าอย่างไร เธอตอบว่า “เรามีสมาคมสงเคราะห์ที่มีชื่อเสียง ซึ่งสอนเราเกี่ยวกับเรื่องทางวิญญาณและเรื่องราวประจำวันที่เป็นพรแก่เราและครอบครัว ขณะเดียวกันสามีของคุณก็อยู่ในห้องถัดไปกำลังสอนสามีของเราว่าพวกเขาพึงปฏิบัติต่อภรรยาและลูกๆ ด้วยความสุภาพอ่อนโยน เรามีพระวิหาร ลูกๆ ของดิฉันที่สิ้นชีวิตแล้วจะเป็นลูกของดิฉันตลอดไป ทุกอย่างที่ดิฉันต้องการดิฉันพบในศาสนจักรนี้ นี่เป็นศาสนจักรของผู้หญิง”
นี่เป็นศาสนจักรของสตรีหรือ อาจมีข้อยกเว้นที่น่าสนใจอยู่บ้างแต่ส่วนใหญ่แล้วประสบการณ์ส่วนตัวของดิฉันทำให้ดิฉันมีพลัง ด้วยเหตุนี้แทนที่จะตอบคำถามแทนท่าน ดิฉันจะพูดเฉพาะสิ่งที่ดิฉันเห็นมาแล้วทั่วโลก ดิฉันไม่ใช่นักวิชาการ ไม่ใช่ศาสตราจารย์ หรือโฆษกของศาสนจักร แต่ดิฉันต้องการแสดงความเห็นอย่างเปิดเผยจากประสบการณ์ของดิฉันเองว่าชีวิตสตรีอย่างดิฉันมีค่า งดงาม และดีขึ้นอย่างไม่สิ้นสุดเพราะพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
นี่ไม่ได้จำกัดสิทธิสตรีหรือไม่ได้เป็นแนวคิดล้าหลังแน่นอน แต่หลักคำสอนของศาสนจักรเกี่ยวกับบทบาทของสตรีในครอบครัว ศาสนจักร ชุมชน ประเทศชาติ และพระวิหาร—และชายหญิงเกี่ยวข้องและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร—เป็นหลักคำสอนที่เหมาะสมที่สุด เปี่ยมด้วยอิทธิพล จุดประกายความคิด และให้พลังอย่างที่ดิฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงพูดกับพี่น้องสตรีของดิฉันว่าสิ่งที่คุณหิวกระหายในฐานะสตรี ชาวคริสต์ ปัญญาชน และสัตภาวะนิรันดร์อยู่ในหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์และในการปฏิบัติตามหลักคำสอนนั้นในศาสนจักร
หลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าชายกับหญิงมีภาระรับผิดชอบเท่าเทียมกัน
พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ประยุกต์ใช้ทั้งกับชายและหญิง หลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าถือว่าทั้งคู่มีภาระรับผิดชอบเท่าเทียมกัน โดยไม่มีสองมาตรฐาน พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงยอมรับสื่อลามก การล่วงประเวณี การกระทำทารุณกรรม การละเลยเพิกเฉย ความไม่เท่าเทียมกัน หรือการกดขี่ข่มเหง โดยไม่คำนึงถึงเพศของเรา
หลักคำสอนดังกล่าวให้ความรู้แก่เราเช่นกันว่าเรามาจากไหน เรามาที่นี่ทำไม และเราจะไปที่ไหน อีกทั้งให้ความเข้าใจแก่เราเรื่องเพศหญิงและเพศชาย ตลอดจนบทบาทของเราในฐานะธิดาและบุตร พี่สาวน้องสาวและพี่ชายน้องชาย ภรรยาและสามี มารดาและบิดา1
เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนดังนี้ “ศาสดาพยากรณ์เปิดเผยว่าเราเคยดำรงอยู่มาก่อนในฐานะสัตภาวะรู้แจ้งและพระผู้เป็นเจ้าประทานรูปแบบหรือร่างกายทางวิญญาณแก่เรา เราจึงเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์—บุตรและธิดาของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์”2 ความรู้แจ้งดำรงอยู่ตลอดไป (ดู คพ. 93:29)
ดิฉันเป็น สตรี คุณลักษณะและความรับผิดชอบที่แน่ชัดมาพร้อมเพศ
ดิฉันเป็น ธิดา บทบาทนี้บอกว่าดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้า ดิฉันมีพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์และในฐานะธิดาดิฉันมีสิทธิ์สื่อสารกับพระบิดาบนสวรรค์ผ่านการสวดอ้อนวอนและได้รับการเปิดเผยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์3
ดิฉันเป็น พี่สาวน้องสาว บทบาทนี้หมายความว่าดิฉันเป็นชาวคริสต์ สมาชิกของศาสนจักร พี่น้องสตรีในพระกิตติคุณ สานุศิษย์ และดิฉันทำพันธสัญญาว่าจะเสียสละ อุทิศถวาย รับใช้ และนำ
ดิฉันอาจมีโอกาสเป็น ภรรยา ในชีวิตนี้เช่นกัน—ถ้าไม่ใช่ในชีวิตนี้ก็ในชีวิตหน้าแน่นอน บทบาทนี้คือดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับสามีที่ดิฉันเลือกผู้เป็นหุ้นส่วนเท่าเทียมกัน แม้เราไม่เหมือนกัน—เพราะไม่มีใครมีของประทานรวมทั้งคุณสมบัติที่ดิฉันมีหรือเขามี—แต่เราใช้คุณลักษณะเสริมกันเพื่อพยายามเป็นหนึ่งเดียว คำว่า การผนึก เป็นคำอธิบายที่ดีเยี่ยมของศักยภาพการเป็นหนึ่งเดียวกันนิรันดร์ของชีวิตแต่งงานที่สร้างจากสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในพระวิหาร
บทบาทของ มารดา คือดิฉันเป็นใครในความสัมพันธ์กับลูกหลาน ไม่ว่าดิฉันจะบรรลุบทบาทนี้ในช่วงสั้นๆ บนแผ่นดินโลกหรือหลังจากนี้ แต่คำสัญญาเกี่ยวกับครอบครัวนิรันดร์ทำไว้กับคนที่ผนึกการแต่งงานในพระวิหารและโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา (ดู คพ. 132:19)
หลักคำสอนของเราพิเศษสุดบนแผ่นดินโลก และเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ลองคิดดูว่านี่หมายความอย่างไรถ้าท่านเข้าใจหลักคำสอนนี้และเชื่อ สำหรับดิฉันนั่นทำให้ดิฉันมองไกลถึงนิรันดรในการทำทุกอย่าง
ศาสนจักรคือที่ซึ่งเราปฏิบัติหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า
ดิฉันเชื่อว่าการเป็นสมาชิกของศาสนจักรทำให้ดิฉันเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมพัฒนาที่ดีที่สุดโปรแกรมหนึ่งเท่าที่เคยออกแบบมา หลักสูตรรวบยอดของการพัฒนาตนเอง พลังความสามารถในการดำเนินงาน และการเป็นผู้นำสำหรับสตรีเกิดจากการทำสิ่งที่สมาชิกทุกคนทำ นั่นคือ การเป็นผู้นำ การพูดต่อหน้าสาธารณชน การตัดสินใจ การสนทนาที่โน้มน้าวใจ การทำงบประมาณ การมีอิทธิพลต่อผู้อื่น การรับใช้ในชุมชน การอ่านออกเขียนได้ การค้นคว้า การพัฒนาสติปัญญา การเพาะปลูก การถนอมอาหาร สุขภาพครอบครัว—และอื่นๆ
ดิฉันเชื่อว่าความเข้าใจผิดเกี่ยวกับบทบาทของสตรีเกิดขึ้นเมื่อขาดความเชื่อมโยงระหว่างหลักคำสอนกับการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ อย่างไรก็ดี โดยผ่านการเปิดเผยอย่างต่อเนื่องจากพระผู้เป็นเจ้าต่อศาสดาพยากรณ์ของพระองค์และต่อเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะยังคงสามารถแยกแยะและขจัดความเข้าใจผิดส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นได้
เหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ยังคงชี้แจงแนวคิดที่เราเชื่อมาตลอด เช่น
-
เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “เมื่อชายและหญิงไปพระวิหาร ทั้งสองได้รับเอ็นดาวเม้นท์ด้วยอำนาจเดียวกัน ซึ่งโดยนิยามนั้นคืออำนาจฐานะปุโรหิต”4
-
เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวดังนี้ “เราไม่คุ้นเคยกับการพูดว่าสตรีมีสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตในการเรียกของพวกเธอในศาสนจักร แต่นั่นจะเป็นสิทธิอำนาจอื่นใดไปได้เล่า”5
-
ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์ (1920–2007) ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุด อธิบายว่า “บิดาทุกคนเป็นปิตุของครอบครัวและมารดาทุกคนเป็นมาตุที่เสมอภาคกันในบทบาทการเป็นบิดามารดาที่แตกต่างกันของพวกเขา”6
1. จำภาพใหญ่ไว้ให้แม่น
ตอนนี้ดิฉันขอให้คำแนะนำสามข้อที่จะช่วยเราเรื่องการนำหลักคำสอนมาปฏิบัติ คำแนะนำข้อแรกคือจำภาพใหญ่ที่ได้จากหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ไว้ให้แม่น
นานมาแล้ว ในฐานะผู้อำนวยการองค์กรการกุศลแอลดีเอส ดิฉันอยู่ในการประชุมหนึ่งขณะได้รับคำขอเร่งด่วนเกี่ยวกับผู้อพยพชาวคริสต์ที่ถูกกองกำลังรัฐอิสลามกวาดล้างจากเมืองโมซุล ประเทศอิรักและกำลังทะลักเข้าเคอร์ดิสถาน ราชาคณะของนิกายแองลิกันในแบกแดดให้ประชาชน 5,000 คนเบียดกันอยู่ที่ลานโบสถ์ของเขาและพวกเขาไม่มีอาหารรับประทาน ผู้สอนศาสนาคู่สามีภรรยาด้านมนุษยธรรมของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกำลังขอทุนฉุกเฉินมาซื้อข้าว ถั่ว น้ำมัน และผ้าห่ม เราตอบรับทันทีเพื่อให้พวกเขามีอาหารรับประทานเย็นนั้น
เพราะงานของดิฉัน เรื่องแบบนี้จึงเป็นเรื่องที่ดิฉันต้องจัดการทุกวัน ดิฉันจำต้องมองภาพกว้างบ่อยๆ ด้วยเหตุนี้จึงถามตนเองว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดจากความเพียรพยายามของดิฉัน ขณะที่เราหาคำตอบ ขอให้เราค้นคว้าหลักคำสอนของพระกิตติคุณ “การมองข้ามเครื่องหมาย” (เจคอบ 4:14) หรือการหมกมุ่นกับคำถามหนึ่งหรือการปฏิบัติอย่างหนึ่งมักเบนจุดสนใจและเวลาของเราไปจากการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ
บอนนี แอล. ออสคาร์สัน ประธานเยาวชนหญิงสามัญ พูดถึงการตรึงแน่นอยู่กับพระกิตติคุณขณะที่เราหาคำตอบว่า “เราสามารถเลือกได้ว่าเราจะยึดมั่นสิ่งที่เรารู้สึกอยู่แล้วหรือไม่ ไม่มีคำตอบสำหรับทุกอย่าง แต่เราเลือกว่าเราจะซื่อตรงต่อสิ่งที่เรารู้สึกจากพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ ขอให้เราทำต่อไปเพื่อให้สถานการณ์ดีขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็จรรโลงศรัทธาของเราไว้”7
การปฏิบัติของเราจะเปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้งในศาสนจักรขณะฝึกประยุกต์ใช้หลักคำสอนของเราให้ดีขึ้นและสมบูรณ์แบบมากขึ้น ดิฉันหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะนำพระกิตติคุณมาปฏิบัติได้ดีกว่าหรือดีเท่ากัน แต่ดิฉันเชื่อเช่นกันว่าศิลารากฐานก้อนใหญ่อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมและใหญ่พอจะบำรุงเลี้ยงศรัทธาและประจักษ์พยานของเรา
2. ซื่อสัตย์ขณะเผชิญการต่อต้าน
การต่อต้านไม่เลวร้ายเสมอไป ดิฉันเชื่อว่าการต่อต้านทำให้เราเข้มแข็งขึ้นด้วย เมื่อดิฉันไปเยือนสวนพฤกษศาสตร์ฮันทิงตันในเมืองซานมารีโน รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ดิฉันสังเกตว่าในงานนิทรรศการใช้พัดลมเครื่องใหญ่หลายเครื่องสร้างกระแสลมจำลองเพื่อให้ต้นไม้เขตร้อนมีแรงต้านเฮอร์ริเคนที่อาจเกิดขึ้น พระเจ้าทรงส่งหรือยอมให้ “กระแสลม” เกิดขึ้นกับเราทุกวันในรูปของปัญหาและการต่อต้านเพื่อให้รากของเราแข็งแรงและทำให้เราปรับตัวได้ง่ายขึ้น ความท้าทายเช่นนั้นเป็นของขวัญอย่างแท้จริง
บทความสั้นๆ สองเรื่องต่อไปนี้จากประวัติศาสนจักรให้ทัศนะที่ถูกต้องแก่เราเกี่ยวกับการต่อต้าน
บทความแรกคือการมาถึงหุบเขาซอลท์เลคของบริคัม ยังก์ในปี 1847 ตามที่ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ (1910–2008) อธิบาย “ไม่เคยมีการไถหว่านที่นั่นมาก่อน [บริคัม ยังก์] ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน ฤดูกาล สภาพดินฟ้าอากาศ น้ำค้างแข็ง ความรุนแรงของฤดูหนาว หรือโอกาสเกิดการระบาดของแมลง [นักสำรวจรุ่นแรก] จิม บริดเจอร์และไมลส์ กูดเยียร์ไม่มีอะไรดีๆ ให้พูดเกี่ยวกับที่แห่งนี้ แซม แบรนนันขอร้องให้ท่านเดินทางต่อไปยังแคลิฟอร์เนีย ท่านไม่ฟังพวกเขา ท่านนำผู้คนไปยังที่ร้อนแห่งนี้และดูเหมือนจะเป็นที่กันดารมาก เมื่อท่านมาถึง ท่านมองข้ามที่กว้างแห่งนี้ไปยังซอลท์เลคทางตะวันตกและพูดว่า ‘ตรงนี้แหละ’”8
บทความที่สองเป็นเรื่องที่วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์นึกถึงคำพูดของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ท่านศาสดาพยากรณ์พูดในช่วงแรกๆ ของการฟื้นฟูกับผู้นำกลุ่มเล็กเกี่ยวกับความรู้กว้างขวางที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาว่า “ข้าพเจ้าได้รับคำสั่งสอนและคำแนะนำมากมายในประจักษ์พยานของพวกท่านที่นี่คืนนี้ แต่ข้าพเจ้าต้องการบอกท่านต่อพระพักตร์พระเจ้าว่า ท่านรู้เกี่ยวกับจุดหมายของศาสนจักรและอาณาจักรนี้ไม่มากไปกว่าเด็กทารกบนตักมารดา ท่านไม่เข้าใจ”9
ดิฉันแบ่งปันสองเรื่องนี้เพราะเรื่องดังกล่าวบอกให้รู้ว่าดิฉันรู้สึกอย่างไร การอยู่ในสถานที่ถูกต้องหรือมีหลักคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีนาเกลือขาวโพลนที่สะท้อนแสงจนพร่าตาและฝูงตั๊กแตนหรือน้ำค้างแข็งหรือคนไม่เห็นด้วย แต่นั่นเป็นสถานที่ถูกต้องและหลักคำสอนที่ถูกต้อง เราควรเดินหน้าต่อไป เราเข้าใจมากเท่ากับเด็กทารกบนตักมารดาถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำกับชายหญิงและฐานะปุโรหิต แต่พระเจ้าพอพระทัยจะสอนเราขณะที่เรามีความสามารถ ขณะที่เราเติบโต ขณะที่เราขอ และขณะที่เราเข้าใจเพิ่มขึ้น เราจะทำได้เช่นเดียวกับที่ซิสเตอร์ออสคาร์สันกล่าว “ขณะเดียวกันก็จรรโลงรักษาศรัทธาของเราไว้”
3. แสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์
การถามคำถามและการหาคำตอบเป็นหัวใจของการได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นพยานเมื่อบางอย่างถูกต้องผ่านความรู้สึกสงบและอบอุ่น ลินดา เค. เบอร์ตันประธานสมาคมสงเคราะห์สามัญกล่าวถึงกระบวนการนี้ว่า “ขอให้เราไปหาแหล่งคำตอบที่ถูกต้อง เหตุใดเราจึงเชื่ออินเทอร์เน็ตแต่ไม่เชื่อศาสดาพยากรณ์ เราสามารถคิดวิธีถามคำถามในแบบที่ส่งเสริมความร่วมมือและเปิดเผยข้อกังวล … แต่จงอดทนและอ่อนน้อมถ่อมตน”10
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนให้เรารู้ความแตกต่างระหว่างอิทธิพลจากซาตานกับคำตอบจากพระผู้เป็นเจ้า “ใครแอบกระซิบ [ความเท็จ] ใส่หูเรา … ท่านกับข้าพเจ้าต่างรู้ว่าใคร—นั่นคือบิดาของความเท็จทั้งปวง เขาคือลูซิเฟอร์ ศัตรูของเราทุกคน”11
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธผู้เคยประสบการเปิดเผยมากกว่าใครในสมัยการประทานนี้พยายามสอนเราว่าเราต้องไขข้อสงสัยด้วยความตั้งใจว่าจะเป็นหนึ่งเดียวกันและเคารพกัน สิ่งนี้อัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสต์ศักราช 1839 โจเซฟเขียนในจดหมายจากคุกลิเบอร์ตี้ว่า “สิทธิของฐานะปุโรหิตเกี่ยวข้องกับอำนาจแห่งสวรรค์อย่างแยกจากกันไม่ได้” และพึงธำรงอำนาจนั้นในฐานะปุโรหิต “โดยการชักชวน, โดยความอดกลั้น, โดยความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยน, และโดยความรักที่ไม่เสแสร้ง” (คพ. 121:36, 41) ท่านศาสดาพยากรณ์สอนหลักธรรมคล้ายกันนี้กับสมาคมสงเคราะห์ “ความนุ่มนวล ความรัก ความบริสุทธิ์—นี่คือสิ่งที่ควรเชิดชู [เรา]”12
โจเซฟ สมิธพูดถึงความสุภาพอ่อนน้อมและความอ่อนโยนว่าเป็นรูปแบบของการรู้สึกถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์และการใช้อิทธิพลที่ชอบธรรม ท่านกล่าวเช่นนี้ทั้งกับชายและหญิงเพราะส่งผลต่อความเท่าเทียมกันของทั้งสองฝ่ายในชีวิตแต่งงานและในศาสนจักร สิทธิอำนาจและการอนุมัติทุกอย่างจากสวรรค์เป็นโมฆะ (เพราะพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากไป) ทันทีที่ชายหรือหญิงเริ่มใช้อำนาจปกครองที่ไม่ชอบธรรม (ดู คพ. 121:37) และไม่นำด้วยความอ่อนโยน ความรัก และความบริสุทธิ์
สิ่งที่สตรีหิวกระหายอยู่ในหลักคำสอนของเรา
มีความหิวกระหายในหมู่สตรีมากมายในโลก อยากให้ตนมีค่า พบจุดประสงค์สำหรับความเพียรพยายามของตน พบชายที่ต้องการสร้างครอบครัวและซื่อสัตย์
ดิฉันเคยพบนักเต้นชาวอังกฤษคนหนึ่งขณะโดยสารรถไฟในฟินแลนด์ เราทั้งคู่มีความสุขกับการพูดภาษาอังกฤษ และเมื่อเราคุยกันเราถามคำถามอย่างเช่น คุณทำอะไรในฟินแลนด์ คุณเชื่ออะไร พอทราบความเชื่อของดิฉัน เธอถามว่า “คุณไม่กินเหล้าสูบบุหรี่หรือคะ คุณไม่เชื่อเรื่องเพศก่อนแต่งงานหรือคะ” และตลอดการสนทนาของเรา เธอมักจะวกกลับมาที่หัวข้อนี้ด้วยความสนใจ “ดิฉันคิดว่าถ้าคุณออกเดทกับผู้ชายที่รู้สึกเหมือนคุณ นั่นคงจะดี” เธอกล่าว ต่อจากนั้น “มีผู้ชายคนไหนรู้สึกเหมือนคุณไหมคะ” เธอเริ่มรู้สึกไม่เห็นด้วยและจบลงด้วยความรู้สึกโหยหา เธอหิวกระหายบางอย่างที่เธอได้ยินในหลักคำสอนของเรา
ความทรงจำเกี่ยวกับการพบกันบนรถไฟไม่เคยไปจากดิฉันและมักเตือนดิฉันให้นึกถึงคำพูดที่รู้จักกันดีของประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ (1895–1985) “การเติบโตที่เกิดขึ้นกับศาสนจักรในยุคสุดท้ายนี้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะสตรีที่ดีจำนวนมากของโลก … ได้รับการชักนำเข้ามาสู่ศาสนจักรมากขึ้น เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสตรีของศาสนจักรสะท้อนความชอบธรรมและความชัดเจนในชีวิตจนถึงระดับที่บรรดาสตรีของโลกมองสตรีของศาสนจักรว่าผิดแผกและแตกต่างอย่างมีความสุข”13
หลักคำสอนเรื่องอัตลักษณ์และบทบาทของสตรีเป็นความปราถนายิ่งใหญ่ที่สุดในใจดิฉัน มนุษย์ยังปฏิบัติหลักคำสอนของพระผู้เป็นเจ้าไม่สมบูรณ์ แต่ตอบสนอง ดำเนินชีวิตตาม เปี่ยมด้วยความหวังและเจตนาดี เราเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้า “จะยังทรงเปิดเผยเรื่องสำคัญและยิ่งใหญ่อีกหลายเรื่องเกี่ยวกับอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า” (หลักแห่งความเชื่อ 1:9) เราเลือกทำตามหลักคำสอนนั้นได้
ด้วยเหตุนี้ดิฉันจึงจะถามอีกครั้งว่า นี่เป็นศาสนจักรของสตรีหรือ คำตอบของดิฉันใช้ประสบการณ์ทั่วโลกของดิฉันเป็นหลัก ใช่