เราพูดถึงพระคริสต์
ปาฏิหาริย์แท้จริงของการเยียวยา
ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา
หลังประสบอุบัติเหตุ ผมทราบว่าอัมพาตทางกายรักษาไม่ได้—แต่เพราะการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ความเป็นอัมพาตทางวิญญาณรักษาได้
ปี 2000 เต็มไปด้วยเหตุการณ์สำคัญสำหรับผมและครอบครัว ผมกับภรรยาฉลองแต่งงานครบหนึ่งปี เราเป็นพ่อแม่ครั้งแรก ทั้งยังเป็นปีที่ผมเป็นอัมพาตด้วย เพียงห้าสัปดาห์หลังจากลูกสาวของเราเกิด
ฤดูร้อนปีนั้นผมช่วยซิสเตอร์สูงวัยคนหนึ่งในวอร์ดโดยขี่จักรยานสองสามช่วงตึกจากอพาร์ตเมนต์ของเราไปตัดหญ้าที่บ้านของเธอเป็นประจำ แต่เช้าวันหนึ่งผมเหนื่อยมาก ไม่ตื่นตัวเท่าที่ควร—และถูกรถยนต์ชนอย่างคาดไม่ถึง แม้จะเป็นปาฏิหาริย์ที่ผมรอดตาย แต่ก็หนีไม่พ้นการบาดเจ็บ หนึ่งสัปดาห์หลังประสบอุบัติเหตุ ผมตื่นมารับรู้ว่าผมเป็นอัมพาต ไม่สามารถขยับกล้ามเนื้อตั้งแต่อกลงมาได้
อัมพาตเป็นความพิการถาวร แม้ทุกวันนี้วิทยาศาสตร์และการแพทย์สมัยใหม่จะก้าวหน้ามาก แต่ก็ไม่สามารถรักษาได้ ตอนแรกผมกลัว เป็นห่วงว่าผมจะเป็นสามีและบิดาได้อย่างไร ต่อจากนั้นความกลัวถูกแทนที่ด้วยความโกรธตัวเองที่โง่—ไม่หยุดตรงสี่แยกและไม่สวมหมวกกันน็อค
ผมรู้สึกเหมือนเป็นภาระ ผมอยู่ที่โรงพยาบาลฟื้นฟูสมรรถภาพหลายเดือนเพื่อฝึกใช้ชีวิตที่เหลือกับความพิการและพึ่งพาตนเองได้อีกครั้ง ขณะเดียวกัน การอยู่กับอัมพาตช่วยให้ผมเข้าใจพระคัมภีร์และการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นด้วย
ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งอย่างหนึ่งเกิดขึ้นขณะผมกำลังไตร่ตรองปาฏิหาริย์ที่พระคริสต์ทรงกระทำ ในมาระโก 2 พระเยซูทรงยกโทษบาปของคนง่อยและทรงรักษาเขาให้หาย เมื่อพวกธรรมาจารย์สงสัยการให้อภัยของพระเยซู พระองค์ตรัสว่า “การที่พูดกับคนง่อยว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน” (ข้อ 9)
ผมเคยอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้หลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าใจจนหลังจากอุบัติเหตุของผม การอ่านบทนั้นเตือนใจผมว่าการเยียวยาน่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง ทุกวันนี้ แม้หลังจาก 2,000 ปีและความก้าวหน้ามากมายด้านการแพทย์ แต่ลำพังมนุษย์ยังไม่สามารถเยียวยาเช่นนั้นได้ และผมอยู่กับความจริงนี้ทุกวัน หลายคนคิดว่านี่เป็นบทเรียนเบื้องหลังพระคัมภีร์ข้อนี้—ที่ว่าพระคริสต์ทรงมีเดชานุภาพในการรักษาแม้กระทั่งโรคที่รักษาไม่หาย แต่ในพระคัมภีร์ข้อนี้มีมากกว่านั้นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามองข้ามปาฏิหาริย์ทางกายและมุ่งให้ความสนใจไปที่ปาฏิหาริย์ทางวิญญาณแทน
คนที่เป็นอัมพาตทางกายไม่มีทาง “ลุกขึ้น” และ “เดิน” ได้ฉันใด ลำพังมนุษย์ก็ไม่สามารถเอาชนะอัมพาตทางวิญญาณอันเกิดจากบาปได้ฉันนั้น ผมเรียนรู้ว่าการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นปาฏิหาริย์แท้จริงในพระคัมภีร์ข้อนี้ ผมอาจไม่มีวันประสบปาฏิหาริย์ของการสามารถลุกเดินได้อีกครั้งในชีวิตบนโลกนี้ แต่ผมได้รับปาฏิหาริย์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นของการให้อภัยบาปผ่านการชดใช้ของพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ของผม ความเป็นจริงของปาฏิหาริย์ดังกล่าวได้รับการยืนยันใน ข้อ 10 และ 11
“ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะอภัยบาปได้ (พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า)
“เราสั่งท่านว่า จงลุกขึ้นยกแคร่แล้วกลับบ้านของท่าน”
การหายจากผลของบาปเป็นปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เราแต่ละคนได้รับในชีวิตเรา ทั้งหมดเพราะพระเยซูคริสต์ ในการชดใช้บาปของเรา พระคริสต์ทรงรับเอาความทุพพลภาพและบาปของเราไว้กับพระองค์ พระองค์ทรงทราบว่าเราประสบอะไรบ้างในชีวิต พระองค์เข้าพระทัยความพิการ ความอ่อนแอ และความท้าทายของเรา ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่เพียงใด ไม่มีใครอื่นใดในโลกนี้สามารถเยียวยาอัมพาตทางวิญญาณของบาปได้
ผมขอบพระทัยสำหรับความเข้าใจนี้ที่เป็นพรแก่ผม อีกทั้งให้มุมมองที่จำเป็นขณะอยู่กับความพิการของผมและพยายามใช้มุมมองนั้นช่วยให้ผมเรียนรู้และเติบโต ผมสามารถเลิกสงสารตัวเองและไปทำสิ่งที่ผมชอบทำก่อนประสบอุบัติเหตุ ผมได้รับพรให้สามารถรับใช้แม้ในสภาพที่เป็นอยู่ บางคนอาจพบว่ายากจะขอบพระทัยเมื่ออยู่กับความพิการ แต่พระผู้เป็นเจ้าประทานพรเราอย่างต่อเนื่อง—แม้ในเวลาเหล่านี้ ผมสำนึกคุณต่อพระผู้ช่วยให้รอดของผม การชดใช้ของพระองค์ และปาฏิหาริย์อันน่าทึ่งนี้ในชีวิตผม