2017
พบความช่วยเหลือหลังจากแนนซีสิ้นชีวิต
ตุลาคม 2017


พบความช่วยเหลือ หลังจากแนนซีสิ้นชีวิต

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา

ผมต้องทำอะไรจึงจะทำให้เดชานุภาพการเยียวยาของพระเยซูคริสต์มีผลในชีวิตผม

man sitting down

ภาพประกอบโดย ไอเคอร์ อายสตาราน

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2016 แนนซีภรรยาผมสิ้นชีวิตหลังจากต่อสู้กับมะเร็งเต้านมมานาน 11 ปี ผมไม่สามารถอธิบายความเศร้าเสียใจที่ผมรู้สึกในช่วงเดือนแรกๆ หลังจากเธอสิ้นชีวิตให้กับคนที่ไม่เคยประสบการสูญเสียแบบนี้ฟังได้ ความโศกเศร้า ความปวดร้าว ความหม่นหมอง ความเจ็บปวด—คำเหล่านี้ไม่อาจบรรยายความรู้สึกของผมได้ ผมแทบทนไม่ไหว

เดชานุภาพการเยียวยาของพระผู้ช่วยให้รอด

ผมเข้าใจมานานว่าพระเยซูคริสต์ “เสด็จลงต่ำกว่าสิ่งทั้งปวง” (คพ. 88:6) ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงสามารถ “ช่วย [บรรเทาหรือช่วยเหลือ] ผู้คนของพระองค์ตามความทุพพลภาพของพวกเขา” (แอลมา 7:12) นี่หมายความว่าอำนาจการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดให้มากกว่าการฟื้นคืนชีวิตและการไถ่จากบาป โดยผ่านอำนาจนี้ พระองค์ทรงสามารถเยียวยาเราในยามทุกข์และยามยากได้เช่นกัน ในความเศร้าของผม ผมพยายามเรียนรู้—แทบคลั่ง—อย่างรีบด่วนว่าผมต้องทำอะไรจึงจะทำให้เดชานุภาพส่วนนี้ของพระผู้ช่วยให้รอดมีผลในชีวิตผม ผมค้นคว้าพระคัมภีร์และคำพูดของเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักรหลายสัปดาห์ ผมเชื่ออย่างจริงใจว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงทราบความเจ็บปวดที่ผมกำลังประสบเพราะทรงเจ็บปวดอย่างมากและพลีพระองค์มาแล้ว แต่การที่พระองค์ทรงรู้เช่นนั้นช่วยผมอย่างไร เนื่องจากพระองค์ทรงทนทุกข์สิ่งนี้ เพื่อ ผม ผมต้องทำอะไรจึงจะได้รับความช่วยเหลือที่พระองค์ทรงรู้วิธี

หลังจากค้นคว้ามาก ศึกษา สวดอ้อนวอน และนมัสการในพระวิหาร ผมเริ่มเข้าใจ เหนือสิ่งอื่นใด ผมเริ่มเห็นชัดขึ้นว่าพระเจ้าทรงช่วย ปลอบโยน และสนับสนุนครอบครัวเรามาตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงหลายสัปดาห์ก่อนแนนซีสิ้นชีวิต มีประสบการณ์ทางวิญญาณอันน่าพิศวงที่เวลานี้ผมตระหนักว่านั่นเป็นพรที่มาจากเดชานุภาพการเยียวยาและการเสริมสร้างพลังที่มีให้เราเพราะการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด และการรู้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงดูแลเราอยู่เสมอในวิธีที่เหมาะกับเราแต่ละคนทำให้ผมอบอุ่นใจอย่างยิ่ง เหมือนชัดรัค เมชาค และอาเบดเนโก พระองค์ทรงอยู่กับเราใน “เตาที่ไฟลุกอยู่” (ดาเนียล 3:17) ของความทุกข์ของเรา

วางใจพระเจ้า

ผมเรียนรู้เช่นกันว่ามีบางอย่างที่เรียกร้องจากเราเพื่อให้เราได้รับการปลอบโยนและการเยียวยาจากพระเจ้า สำคัญที่สุดคือเราต้องวางใจพระองค์ นั่นเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เหตุใดผมจึงควรวางใจพระผู้เป็นเจ้าทั้งที่พระองค์ทรงสามารถป้องกันไม่ให้แนนซี่สิ้นชีวิตแต่แรก เพื่อตอบคำถามนี้ ผมจึงเฝ้าไตร่ตรองบางอย่างที่พระเจ้ารับสั่งกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

“เจ้าจะมองเห็นแผนของพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยดวงตาฝ่ายธรรมชาติของเจ้าไม่ได้, ในเวลานี้, เกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นซึ่งจะมาถึงในภายหน้า, และรัศมีภาพซึ่งจะตามมาหลังจากความยากลำบากยิ่ง” (คพ. 58:3)

เราได้รับพรด้วยเครื่องหมายมากมายที่บอกว่ารูปแบบและจังหวะเวลาการสิ้นชีวิตของแนนซีเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผมเข้าใจว่าพระบิดาผู้ทรงรอบรู้และเปี่ยมด้วยรักทรงยอมให้เราทนทุกข์สิ่งเหล่านี้เพราะในแผนที่สมบูรณ์ของพระองค์เพื่อความสูงส่งของครอบครัวเรา ความทุกข์นี้จำเป็นไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม ความรู้นั้นทำให้ผมเข้าใจว่าส่วนของผมในแผนของพระองค์คือไม่เพียงอดทนเท่านั้นแต่ “อดทนมันด้วยดี” (คพ. 121:8) เมื่อถึงขั้นที่ผมสามารถอุทิศถวายความยากลำบากแด่พระองค์แล้ว ผมจะไม่เพียงรับความช่วยเหลือเท่านั้นแต่รับการชำระให้บริสุทธิ์ด้วย ผมประสบมาแล้วในหลายๆ ด้าน

ผมแนะนำลูกๆ ให้ทำสิ่งที่ผมเรียนรู้ในกระบวนนี้ด้วยตนเองว่า

  • จงให้ความเจ็บปวดของประสบการณ์ยากๆ ผลักดันลูกให้เป็นสานุศิษย์ที่ดียิ่งขึ้น

  • ระบายความในใจของลูกในการสวดอ้อนวอน

  • ถ้าลูกรู้สึกโกรธพระผู้เป็นเจ้าเพราะทรงยอมให้เรื่องเศร้าสลดเกิดขึ้น จงวิงวอนขอให้พระองค์แทนที่ความโกรธนั้นด้วยศรัทธาและความอ่อนน้อม

  • ทำพันธสัญญาว่าลูกจะรักพระองค์และซื่อสัตย์จนกว่าชีวิตจะหาไม่

  • ดื่มจากพระคำของพระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ—จากพระคัมภีร์ คำพูดและงานเขียนของศาสดาพยากรณ์ยุคปัจจุบันและครูที่ได้รับการดลใจ

  • ไปพระวิหารด้วยความหิวกระหายที่จะได้รับการสอนในเรื่องของนิรันดร

  • หาคนที่วิกฤตส่วนตัวของเขากลายเป็นวิกฤตของศรัทธา และเสริมสร้างพลังให้พวกเขาด้วยประจักษ์พยานของลูกในหลักคำสอนเหล่านี้

คำพยานของอัครสาวก

ประมาณหนึ่งเดือนหลังจากแนนซีสิ้นชีวิต มีอยู่คืนหนึ่งความเศร้าที่ผมรู้สึกบีบคั้นผมอย่างยิ่ง ผมอยู่ในความเจ็บปวดและความเศร้าเสียใจตลอดทั้งวัน ผมจำได้ว่าเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนดังนี้ “เส้นทางแห่งความรอดมักนำเรา … ผ่านเกทเสมนีเสมอ”1 แม้ความทุกข์ของผมจะเทียบไม่ได้กับความทุกข์ของพระผู้ช่วยให้รอด แต่คืนนั้นผมอยู่ท่ามกลาง “ช่วงเวลาอันขมขื่นและมืดมน” ของผมเอง2

หลังจากประสบสิ่งนี้ช่วงระยะเวลาหนึ่งและสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือ ผมก็นึกขึ้นได้ว่าผมเคยอ่านและทำเครื่องหมายบางอย่างไว้ที่คอมพิวเตอร์เมื่อหลายปีก่อน ผมหาข้อมูลนั้นและเลื่อนหน้าจอลงไปดูสิ่งที่ผมกำลังหา ข้อมูลนั้นคือการสัมภาษณ์เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง (1928–2015) ซึ่งถามท่านเรื่องการสูญเสียจีนเนภรรยาให้แก่โรคมะเร็งในปี 1995 เอ็ลเดอร์สก็อตต์ตอบว่า “อย่างแรกเลย … ผมไม่ได้สูญเสียเธอ เธออยู่อีกด้านหนึ่งของม่าน เราได้รับการผนึกในศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหาร และเราจะอยู่ด้วยกันตลอดไป”3

Atlanta Georgia Temple

ภาพประกอบของพระวิหารแอตแลนตา จอร์เจีย

คืนนั้นคำพูดเหล่านั้นมาพร้อมพลังที่ผมไม่เคยรู้สึกมาก่อน เปรียบเสมือนการเปิดสวิตช์ไฟประภาคารในคืนเดือนมืด ผมไม่เคยอ่านอะไรที่มีผลต่อผมลึกซึ้งฉับพลันเช่นนั้นมาก่อน ความมืดและความเจ็บปวดหายไป เหมือนแอลมาเมื่อท่าน “จำความเจ็บปวด [ของท่าน] ไม่ได้อีก” (แอลมา 36:19) พยานของอัครสาวกท่านนี้เสียดแทงเข้าไปในใจผม ผมแปลกใจที่แนวคิดซึ่งผมเข้าใจตั้งแต่เด็กดูเหมือนจะน่าสนใจขึ้นมาทันที ผมกำลังสงสัยว่าเอ็ลเดอร์สก็อตต์รู้เรื่องแบบนี้ได้อย่างไร และในขณะนั้น ผมตระหนักว่าผมก็รู้เรื่องนี้ด้วย ถ้าผมซื่อสัตย์ ผมจะมีความหวังทั้งหมดที่เอ็ลเดอร์สก็อตต์มี แม้จะมีความเสียใจและความอาลัยนับแต่นั้น แต่ผมไม่รู้สึกเจ็บปวดและเศร้าเสียใจอย่างที่ผมประสบคืนนั้นอีกเลย

นี่คือพลังอำนาจที่พระผู้ช่วยให้รอดเผื่อแผ่มาถึงเราเพื่อช่วยเราในการทดลอง ผมรู้ว่าความโศกเศร้าของครอบครัวเราจะไม่หายเป็นปลิดทิ้ง แต่จะถูกกลืนเข้าไปในสิ่งที่เรียกว่าเป็นพรแห่งการ “เสริมสร้างพลัง” และ “ทำให้ดีพร้อม” ของการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด4 เราเข้ามาอยู่ใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น รู้สึกถึงคำมั่นสัญญาของพระองค์ และมีรากฐานอันแน่นอนแห่งพันธสัญญาค้ำจุนเรา

อ้างอิง

  1. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “Lessons from Liberty Jail” (Brigham Young University devotional, Sept. 7, 2008), 6, speeches.byu.edu.

  2. ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “โอบไว้ในพาหุที่อ่อนโยนของพระองค์,” เลียโฮนา, มี.ค. 2015, 5.

  3. “A Sure Witness of Jesus Christ: Elder Richard G. Scott,” lds.org/prophets-and-apostles.

  4. ดู Bruce C. Hafen and Marie K. Hafen, The Contrite Spirit: How the Temple Helps Us Apply Christ’s Atonement (2015), 34–52.