การสอนในบ้าน—ความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์และน่ายินดี
ข้าพเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลือจากสวรรค์ขณะที่เราพยายามเป็นครูเหมือนพระคริสต์ในบ้านของเรา
ข้าพเจ้ากับจูลีภรรยาที่รักเลี้ยงดูบุตรที่มีค่าหกคน เราเป็นพ่อแม่ที่ลูกๆ เพิ่งออกจากรัง ข้าพเจ้าคิดถึงมากเวลาที่ลูกๆ อยู่ในบ้านเราเต็มเวลา ข้าพเจ้าคิดถึงการเรียนรู้จากพวกเขาและการสอนพวกเขา
วันนี้ข้าพเจ้ามีจุดมุ่งหมายจะพูดกับบิดามารดาทุกท่านและทุกคนที่ปรารถนาจะเป็นบิดามารดา เวลานี้หลายท่านกำลังเลี้ยงดูบุตร ส่วนอีกหลายท่าน เวลานั้นจะมาถึงในไม่ช้า และสำหรับอีกหลายท่าน การเป็นบิดามารดาอาจเป็นพรในอนาคต ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราทุกคนรับรู้ว่าการสอนบุตรธิดาเป็นความรับผิดชอบอันศักดิ์สิทธิ์และน่ายินดี1
ในฐานะบิดามารดา เราแนะนำบุตรธิดาให้รู้จักพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ เราช่วยบุตรธิดากล่าวคำสวดอ้อนวอนเป็นครั้งแรก เราให้การนำทางและการสนับสนุนขณะพวกเขาเข้าสู่เส้นทางแห่งพันธสัญญา2 ผ่านบัพติศมา เราสอนให้พวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เราให้ความรู้แก่พวกเขาเรื่องแผนสำหรับบุตรธิดาของพระองค์ และเราช่วยให้พวกเขารู้จักสุรเสียงกระซิบของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราเล่าเรื่องศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณและกระตุ้นให้พวกเขาทำตามศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ เราสวดอ้อนวอนให้พวกเขาประสบความสำเร็จและเจ็บปวดกับพวกเขาในช่วงเผชิญการทดลอง เราเป็นพยานต่อบุตรธิดาถึงพรพระวิหาร และเราพยายามเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา เราให้คำแนะนำด้วยความรักเมื่อบุตรธิดาของเรากลายเป็นบิดามารดา แต่—แม้หลังจากนั้น—เราก็ไม่หยุดเป็นบิดามารดา เราไม่หยุดการเป็นครู เราไม่ได้รับการปลดจากการเรียกนิรันดร์เหล่านี้
วันนี้ขอให้เราตรึกตรองโอกาสอันแสนวิเศษบางโอกาสที่เรามีต่อการสอนบุตรธิดาในบ้านของเรา
การสอนขณะสังสรรค์ในครอบครัว
เราจะเริ่มกับการสังสรรค์ในครอบครัว ซึ่งมีความสำคัญมากในบ้านเปี่ยมศรัทธาที่ข้าพเจ้าเติบโตมา ข้าพเจ้าจำบทเรียนที่สอนขณะสังสรรค์ในครอบครัวไม่ได้ แต่จำได้ว่าเราไม่พลาดแม้แต่สัปดาห์เดียว3 ข้าพเจ้าทราบว่าอะไรสำคัญต่อบิดามารดาข้าพเจ้า4
ข้าพเจ้าจำกิจกรรมที่ข้าพเจ้าโปรดปรานอย่างหนึ่งที่การสังสรรค์ในครอบครัวได้ คุณพ่อจะเชิญลูกคนหนึ่งออกมารับ “การทดสอบ” ท่านจะให้คำแนะนำชุดหนึ่งแก่เขาอย่างเช่น “ก่อนอื่น เข้าไปในครัว แล้วเปิดและปิดตู้เย็น จากนั้นให้วิ่งเข้าไปในห้องนอนของพ่อและหยิบถุงเท้าคู่หนึ่งจากลิ้นชัก แล้วกลับมาหาพ่อ กระโดดขึ้นลงสามครั้ง และพูดว่า ‘พ่อครับ ผมทำได้แล้ว!’”
ข้าพเจ้าชอบเมื่อถึงตาข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องการทำทุกขั้นตอนให้ถูกต้อง ข้าพเจ้าหวงแหนช่วงเวลาที่จะได้พูดว่า “พ่อครับ ผมทำได้แล้ว!” กิจกรรมนี้ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ข้าพเจ้าและทำให้เด็กจอมซนเอาใจใส่มากขึ้นเมื่อพ่อหรือแม่สอนหลักธรรมพระกิตติคุณ
ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์แนะนำว่า “หากท่านมีความสงสัยประการใดเกี่ยวกับประสิทธิผลของการสังสรรค์ในครอบครัว ลองทำดูให้บุตรธิดามาอยู่พร้อมหน้า สอนพวกเขา แสดงประจักษ์พยานให้พวกเขาฟัง อ่านพระคัมภีร์ด้วยกัน และมีเวลาสนุกสนานด้วยกัน”5
มักจะมีการต่อต้านการจัดสังสรรค์ในครอบครัวเสมอ6 อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านหาวิธีขจัดอุปสรรคและให้ความสำคัญกับการสังสรรค์ในครอบครัว—และทำให้สนุก
การสอนขณะสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว
การสวดอ้อนวอนเป็นโอกาสดีที่สุดอีกโอกาสหนึ่งในการสอน
ข้าพเจ้าชอบวิธีที่คุณพ่อของประธานเอ็น. เอ็ลดัน แทนเนอร์สอนระหว่างการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว ประธานแทนเนอร์กล่าวดังนี้
“ข้าพเจ้าจำค่ำวันหนึ่งได้เมื่อเราคุกเข่าสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว คุณพ่อทูลพระเจ้าว่า ‘วันนี้เอ็ลดันทำบางอย่างที่เขาไม่ควรทำ เขาเสียใจ และถ้าพระองค์จะทรงให้อภัยเขา เขาจะไม่ทำอีก’
“นั่นทำให้ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก—ตั้งใจยิ่งกว่าตอนถูกลงโทษเสียอีก”7
สมัยเป็นเด็ก บางครั้งข้าพเจ้าจะหงุดหงิดกับการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวที่ดูเหมือนมากเกินไป พลางคิดในใจว่า “เราเพิ่งสวดอ้อนวอนเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง” เวลานี้ ในฐานะบิดา ข้าพเจ้าทราบว่าครอบครัวเราไม่ได้สวดอ้อนวอนมากเกินไป8
ข้าพเจ้าประทับใจเสมอกับวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงแนะนำว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรที่รักของพระองค์9 ข้าพเจ้าชอบสวดอ้อนวอนให้ลูกๆ โดยเอ่ยชื่อขณะพวกเขาฟังข้าพเจ้าทูลพระบิดาบนสวรรค์ว่าพวกเขาเป็นที่รักของข้าพเจ้ามากเพียงใด ดูเหมือนไม่มีเวลาใดสื่อความรักถึงลูกๆ ของเราได้ดีไปกว่าเมื่อสวดอ้อนวอนกับพวกเขาหรือให้พรพวกเขา เมื่อครอบครัวรวมตัวกันสวดอ้อนวอนอย่างนอบน้อม พวกเขาจะได้รับบทเรียนอันทรงพลังและยั่งยืน
การสอนแบบไม่ทันตั้งตัว
การสอนของบิดามารดาเหมือนกับการเป็นแพทย์ที่ตามตัวได้ทุกเมื่อ เราต้องพร้อมสอนบุตรธิดาของเราเสมอเพราะเราไม่มีวันรู้ว่าโอกาสจะมาถึงเมื่อใด
เราเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด ผู้ซึ่งบ่อยครั้งการสอน “ไม่ได้เกิดขึ้นในธรรมศาลาแต่เกิดขึ้นในสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นทางการ ทุกวัน—เช่นขณะรับประทานอาหารกับสานุศิษย์ ตักน้ำจากบ่อ หรือเดินผ่านต้นมะเดื่อ”10
หลายปีก่อน มารดาข้าพเจ้าแบ่งปันว่าการสนทนาพระกิตติคุณที่ดีที่สุดสองครั้งกับแมทท์พี่ชายข้าพเจ้าคือครั้งหนึ่งขณะท่านพับผ้าและอีกครั้งขณะขับรถส่งเขาไปทำฟัน สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชมมารดาข้าพเจ้าคือท่านพร้อมสอนลูกๆ เสมอ
การสอนของคุณแม่ไม่มีวันสิ้นสุด ขณะข้าพเจ้ารับใช้เป็นอธิการ คุณแม่ซึ่งเวลานั้นอายุ 78 ปีบอกข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าต้องตัดผม ท่านทราบว่าข้าพเจ้าต้องเป็นแบบอย่าง และท่านไม่ลังเลที่จะบอกข้าพเจ้าเช่นนั้น ผมรักแม่นะครับ!
ในฐานะบิดา ข้าพเจ้าได้รับแรงจูงใจให้ศึกษาและไตร่ตรองพระคัมภีร์เป็นส่วนตัวเพื่อจะสามารถตอบได้เมื่อลูกหรือหลานเสนอโอกาสให้สอนแบบไม่ทันตั้งตัว11 “ช่วงการสอนที่ดีที่สุดบางครั้งเกิดขึ้นจากคำถามหรือข้อกังวลในใจของสมาชิก [ครอบครัว]”12 เราฟังระหว่างช่วงเวลาเหล่านั้นหรือไม่13
ข้าพเจ้ารักคำเชื้อเชิญของอัครสาวกเปโตร “จงเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับทุกคน [และข้าพเจ้าเพิ่มคำว่าบุตรธิดา] ที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน”14
สมัยข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น ข้าพเจ้ากับคุณพ่อชอบประลองกันว่าใครมีแรงบีบมากที่สุด เราจะบีบมืออีกฝ่ายให้แน่นที่สุดเพื่อพยายามให้อีกฝ่ายทำหน้าเหยเกด้วยความเจ็บปวด ดูเหมือนไม่สนุกเท่าใดนักตอนนี้ แต่ตอนนั้นสนุก หลังจากประลองแบบนั้นครั้งหนึ่ง คุณพ่อมองตาข้าพเจ้าและพูดว่า “ลูกชายพ่อมีมือที่แข็งแรง พ่อหวังให้มือลูกแข็งแรงเสมอเพื่อลูกจะไม่ไปสัมผัสหญิงสาวอย่างไม่เหมาะสม” จากนั้นท่านเชิญชวนให้ข้าพเจ้าอยู่อย่างสะอาดทางศีลธรรมและช่วยให้คนอื่นๆ ทำเช่นเดียวกัน
เอ็ลเดอร์ดักลาส แอล. คอลลิสเตอร์แบ่งปันเกี่ยวกับบิดาของท่านดังนี้ “ขณะเดินทางกลับจากที่ทำงานวันหนึ่ง คุณพ่อพูดขึ้นมาว่า ‘วันนี้พ่อจ่ายส่วนสิบ พ่อเขียนว่า “ขอบคุณ” บนเช็คส่วนสิบ พ่อแสดงความกตัญญูต่อพระเจ้าที่ทรงอวยพรครอบครัวเรา’”
หลังจากนั้นเอ็ลเดอร์คอลลิสเตอร์กล่าวสรรเสริญผู้เป็นทั้งบิดาและครูของท่านว่า “ท่านสอนทั้งการประพฤติปฏิบัติตนและเจตคติของการเชื่อฟัง”15
ข้าพเจ้าคิดว่าเราควรถามตนเองเป็นครั้งคราวว่า “ฉันจะสอนอะไรหรือฉันกำลังสอนอะไรลูกผ่านการประพฤติปฏิบัติตนและเจตคติของการเชื่อฟัง”
การสอนขณะศึกษาพระคัมภีร์กับครอบครัว
การศึกษาพระคัมภีร์กับครอบครัวเป็นโอกาสเหมาะที่สุดที่จะสอนหลักคำสอนในบ้าน
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวว่า “บิดามารดาไม่เพียงต้องแนบสนิทกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขาได้รับบัญชาจากสวรรค์ให้สอนพระวจนะนั้นกับบุตรธิดาของตนด้วย”16
เมื่อจูลีกับข้าพเจ้าเลี้ยงดูลูกของเรา เราพยายามเสมอต้นเสมอปลายและสร้างสรรค์ ปีหนึ่ง ครอบครัวเราตัดสินใจอ่านพระคัมภีร์มอรมอนเป็นภาษาสเปน นั่นเป็นสาเหตุที่พระเจ้าทรงเรียกลูกแต่ละคนของเราที่รับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาให้ไปคณะเผยแผ่ที่พูดภาษาสเปนหรือไม่ Es posible (น่าจะใช่)
ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจอย่างยิ่งเมื่อบราเดอร์ไบรอัน เค. แอชตันเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าท่านกับบิดาท่านอ่านพระคัมภีร์มอรมอนทุกหน้าด้วยกันในช่วงที่ท่านเรียนมัธยมปลายปีสุดท้าย บราเดอร์แอชตันรักพระคัมภีร์ พระคัมภีร์จารึกอยู่ในความคิดและในใจท่าน บิดาท่านหว่านเมล็ดนั้นเมื่อบราเดอร์แอชตันเป็นวัยรุ่น และเมล็ดนั้น17 เติบโตเป็นต้นความจริงที่หยั่งรากลึก บราเดอร์แอชตันทำแบบเดียวกันกับลูกที่โตขึ้นของท่าน18 ลูกชายวัยเจ็ดขวบถามท่านเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “พ่อครับ ผมจะได้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนกับพ่อเมื่อไร”
การสอนด้วยแบบอย่าง
สุดท้าย การสอนที่ส่งผลมากที่สุดคือแบบอย่างของเรา เราได้รับคำแนะนำให้เป็น “แบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์”19
ระหว่างการเดินทางเมื่อไม่นานมานี้ จูลีกับข้าพเจ้าเข้าร่วมการประชุมที่โบสถ์และเห็นการปฏิบัติตามข้อนี้ ชายหนุ่มที่จะไปเป็นผู้สอนศาสนาอีกไม่นานพูดในการประชุมศีลระลึก
เขาพูดว่า “ทุกท่านคิดว่าคุณพ่อผมเป็นคนดีที่โบสถ์ แต่ …” เขาหยุดครู่หนึ่ง และข้าพเจ้าสงสัยมากว่าเขาจะพูดอะไรต่อ เขาพูดต่อไปว่า “คุณพ่อผมเป็นคนดีกว่านั้นเมื่ออยู่ที่บ้าน”
ข้าพเจ้าขอบคุณชายหนุ่มคนนี้หลังจากนั้นสำหรับคำพูดสรรเสริญบิดาของเขา ต่อจากนั้นข้าพเจ้าทราบว่าคุณพ่อของเขาเป็นอธิการวอร์ด ถึงแม้อธิการคนนี้รับใช้วอร์ดของเขาอย่างซื่อสัตย์ แต่บุตรชายรู้สึกว่าเขาทำงานดีที่สุดที่บ้าน20
เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแนะนำว่า “เรามีช่องทางมากมายให้สอนอนุชนรุ่นหลัง … และเราควรทุ่มเทความคิดและความพยายามทั้งหมดของเราเพื่อใช้ประโยชน์เต็มที่จากช่องทางเหล่านี้ เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องให้กำลังใจต่อไปและช่วยให้บิดามารดาเป็นครูที่ดีขึ้นและเสมอต้นเสมอปลายมากขึ้น … โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยแบบอย่าง”21
นั่นคือวิธีที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอน22
ปีที่แล้ว ขณะไปพักร้อนกับลูกคนเล็กสองคนของเรา จูลีเสนอให้เราทำบัพติศมาแทนคนตายทั้งในพระวิหารเซนต์จอร์จและพระวิหารแซนดีเอโก ข้าพเจ้าบ่นพึมพำ—กับตัวเอง—ว่า “เราเข้าพระวิหารที่บ้าน แล้วนี่เรากำลังพักร้อน ทำไมไม่ทำอย่างอื่นที่เหมือนพักร้อนมากกว่านี้” หลังจากบัพติศมา จูลีต้องการถ่ายรูปนอกพระวิหาร ข้าพเจ้าบ่นในใจอีกครั้ง ท่านคงเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น เราถ่ายรูป
จูลีต้องการให้ลูกๆ มีความทรงจำเกี่ยวกับวิธีที่เราช่วยบรรพชนของเรา และข้าพเจ้าก็ต้องการเช่นนั้น เราไม่จำเป็นต้องสอนบทเรียนอย่างเป็นทางการเรื่องความสำคัญของพระวิหาร เราทำให้เห็น—ขอบคุณมารดาผู้รักพระวิหารและต้องการให้ลูกของเธอรักพระวิหารเช่นกัน
เมื่อบิดามารดาถนอมน้ำใจกันและเป็นแบบอย่างที่ชอบธรรม บุตรธิดาย่อมได้รับพรชั่วนิรันดร์
สรุป
สำหรับทุกท่านที่กำลังพยายามสุดความสามารถเพื่อสอนในบ้านท่าน ขอให้ท่านพบสันติสุขและปีติในความพยายามเหล่านั้น หากท่านรู้สึกว่าท่านยังต้องปรับปรุงหรือต้องเตรียมมากขึ้น ขอให้ตอบรับอย่างนอบน้อมเมื่อพระวิญญาณทรงกระตุ้นเตือนท่านและตั้งใจทำ23
เอ็ลเดอร์แอล. ทอม เพอร์รีย์กล่าวว่า “สภาพสังคมใดก็ตาม ความสุข ความเจริญรุ่งเรือง และสันติสุขของคนในสังคมนั้นล้วนเกิดจากการสอนลูกๆ ที่บ้านทั้งสิ้น”24
ใช่ครับ ตอนนี้บ้านข้าพเจ้าว่างเปล่า แต่ข้าพเจ้ายังคงเตรียมพร้อมและคอยหาโอกาสอันล้ำค่าเพิ่มขึ้นเพื่อสอนลูกที่โตแล้วของข้าพเจ้า และหลานๆหวังว่าสักวันหนึ่งจะได้สอนเหลนของข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้าวิงวอนขอความช่วยเหลือจากสวรรค์ขณะที่เราพยายามเป็นครูเหมือนพระคริสต์ในบ้านของเรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน