ดิจิทัลเท่านั้น
15 วิธีสร้างสันติสุขเมื่อท่านรู้สึกโดดเดี่ยว
รู้สึกโดดเดี่ยว? พระบิดาบนสวรรค์ประทานวิธีมากมายให้เรารู้สึกถึงแสงสว่างและความรักของพระองค์เพื่อนำเราผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก
หลายปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งกล่าวว่าเมื่อใดก็ตามที่เธอมีวัน (หรือสัปดาห์) ที่ยากลำบาก และเธอต้องการแสงสว่างในชีวิตเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย เธอมักจะพบว่ามีพระบัญญัติที่ต้องรักษาเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าเธอพยายามรักษาพระบัญญัติอยู่เสมอเพราะความรักที่เธอมีต่อพระผู้เป็นเจ้า เธอเพิ่งเข้าใจว่าเธอสามารถรู้สึกถึงแสงสว่างได้มากขึ้น—ในตอนนั้น—เมื่อเธอตั้งใจหาคนที่เธอจะรับใช้หรือโดยการทำประวัติครอบครัวบ่อยขึ้นหรือโดยการอ่านพระคัมภีร์มากขึ้นหรือโดยการแสดงความขอบคุณมากขึ้นสำหรับพรที่พระบิดาบนสวรรค์ประทานแก่เธอ คำพูดของเพื่อนคนนั้นอยู่กับฉันเสมอ เตือนฉันว่า “เมื่อเราได้รับพรประการใดจากพระผู้เป็นเจ้า, ย่อมเป็นไปเนื่องจากการเชื่อฟังกฎนั้นซึ่งในนั้นทรงกำหนดพรไว้” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:21) ตอนนี้ฉันยึดมั่นความคิดแบบเดียวกันนั้นและติดตัวฉันไปทุกเมื่อที่ฉันต้องการความหวัง การปลอบโยน สันติสุข หรือปีติที่มากกว่าเดิม
เมื่อเราต้องการได้รับปีติเพิ่มขึ้น1 ในชีวิตหากเรารู้สึกโดดเดี่ยว (หรือทุกเวลา!) เราสามารถทำตามพระดำรัสเชิญของพระเจ้าด้วยพรที่สัญญาไว้ ต่อไปนี้คือตัวอย่างพระดำรัสเชิญ 15 ข้อที่ประทานผ่านอัครสาวกของพระองค์ซึ่งนำปีติเข้ามาในชีวิตฉันมากขึ้นและสามารถนำปีติมาสู่ชีวิตท่านมากขึ้นได้เช่นกัน!2
1. มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ที่ท่านมีอยู่แล้ว
เรามักรู้สึกโดดเดี่ยวเพราะขาดการเชื่อมความสัมพันธ์เฉพาะกับคนที่เราแสวงหา แต่จําไว้เสมอว่ามักจะมีใครบางคนที่รอให้เรายื่นมือเข้าไปหาเสมอ อาจเป็นครอบครัว เพื่อน เพื่อนร่วมงาน พี่น้องผู้ปฏิบัติศาสนกิจ หรือผู้นำศาสนจักรคนอื่นๆ นึกถึงและเชื่อมโยงกับผู้คนที่พระเจ้าประทานให้ในชีวิตท่านเพื่อหนุนใจและเป็นพรแก่ท่าน
ดังที่ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์สอนว่า “จงรักษาและแผ่ขยายความสัมพันธ์ในครอบครัวของท่าน … จงให้คุณค่าแก่มิตรภาพและโอกาสในการเรียนรู้และการรับใช้ เพราะความพยายามเหล่านั้นสามารถนำไปสู่ปีติที่เป็นนิรันดร์ได้เช่นกัน”3 ดังที่เอ็ลเดอร์เควนทิน แอล. คุกแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองเชื้อเชิญเราว่า “ข้าพเจ้าแนะนำให้ท่านไม่มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ที่ท่านยังไม่มี—แต่ให้มุ่งเน้นไปที่ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ท่านมีอยู่แล้ว เมื่อท่านทำเช่นนั้น ท่านจะได้รับพรด้วยความใกล้ชิดและความสุขกับคนที่ท่านรักมากขึ้น”4
2. ยื่นมือออกไปและรับใช้
การให้ความสำคัญกับผู้อื่นสามารถช่วยให้เราเอาชนะความรู้สึกโดดเดี่ยวได้ ในช่วงเวลานี้อาจเป็นเรื่องยากที่จะยื่นมือออกไป หรือเราอาจสงสัยว่าผู้คนจะต้องการความช่วยเหลือจากเราหรือ แต่เราสามารถสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาบนสวรรค์เพื่อทราบว่าใครต้องการความช่วยเหลือจากเรา และพระองค์จะทรงนำทางเราไปหาคนที่เราสามารถเป็นพรได้ (และจะประทานพรแก่เราเป็นการตอบแทนอย่างแน่นอน) เพราะมักจะมีใครบางคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเราอยู่เสมอ
ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองเตือนเราว่า
“เรามีชีวิตอยู่ในโลกของความไม่แน่นอน ความซับซ้อน และความสับสน ความต้องการของชีวิตประจำวันสามารถทำให้เราเหนื่อยล้า ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีหลักธรรมที่เรียบง่ายทว่าลึกซึ้งอยู่ข้อหนึ่งซึ่งสามารถช่วยเราปลดปล่อยตนเองจากใยที่พันกันยุ่งเหยิงของความท้าทายเพื่อพบสันติสุขทางใจและความสุข คือ การรับใช้กัน
“มีวิธีและสภาวการณ์เล็กน้อยและเรียบง่ายมากมายให้เราสามารถรับใช้และรักผู้อื่นที่บ้าน ที่โบสถ์ และในชุมชนของเรา
“สิ่งสำคัญยิ่งเกิดจากการแสดงน้ำใจและการรับใช้เล็กๆ น้อยๆ และเรียบง่าย การกระทำเหล่านี้จะสั่งสมกลายเป็นชีวิตที่เปี่ยมด้วยความรักต่อพระบิดาบนสวรรค์ การทุ่มเทต่องานของพระเยซูคริสต์ ความรู้สึกปีติและสันติสุขทุกครั้งที่เรายื่นมือช่วยเหลือกัน”5
3. เป็นพยานถึงพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์
ไม่ว่าจะเป็นต่อหน้า บนสื่อสังคม หรือแม้แต่ในวารสารหรือ FamilySearch Memories สำหรับลูกหลานในอนาคต เราสามารถเป็นพยานถึงพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ การทำเช่นนั้นสามารถช่วยให้เรารู้สึกเหมือนเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ที่กล่าวว่า “ความสุขที่สุดประการหนึ่งในชีวิตของข้าพเจ้าคือการเป็นพยานถึงพระผู้ไถ่ของเราและเชื้อเชิญให้ผู้อื่นติดตามพระองค์ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ทุกท่านเรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และมาหาพระอง”6
แอลมาแบ่งปันประสบการณ์คล้ายกันนี้เมื่อท่านบันทึกว่า “ข้าพเจ้าอาจจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าที่จะนําจิตวิญญาณสักดวงมาสู่การกลับใจ, และนี่คือปีติของข้าพเจ้า” (แอลมา 29:9)
4. ร้องเพลงสวด
ดังที่ฝ่ายประธานสูงสุดสอนว่า
“เพลงสวดจะเป็นประโยชน์ต่อเราแต่ละคนอย่างมาก เพลงสวดสามารถยกระดับจิตวิญญาณของเรา ปลุกความกล้าหาญในเรา และนำเราไปสู่การกระทำที่ชอบธรรม สามารถเติมเต็มจิตวิญญาณของเราด้วยความคิดจากสวรรค์และนำวิญญาณแห่งสันติสุขมาสู่เรา …
“… ขอให้เราท่องจําและไตร่ตรอง ท่องและร้องเพลง และรับส่วนการบํารุงเลี้ยงทางวิญญาณ”7
เรารู้เช่นกันถึงคำสัญญาอันยิ่งใหญ่ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 25:12: “เพราะจิตวิญญาณเราเบิกบานในเพลงจากใจ; แท้จริงแล้ว, เพลงจากคนชอบธรรมเป็นคำสวดอ้อนวอนต่อเรา, และจะได้รับตอบด้วยพรบนศีรษะพวกเขา”
ท่านสามารถค้นหาบทเพลงต่างๆ เพื่อยกระดับจิตใจท่านในหมวด “ดนตรี” ของแอปคลังค้นคว้าพระกิตติคุณ
5. วางใจในพระผู้เป็นเจ้าว่าพระองค์ทรงทราบว่าท่านรู้สึกอย่างไร
ช่วงเวลาที่โดดเดี่ยวของเราอาจไม่ได้ผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์จะทรงเคียงข้างเราเสมอ และกับทั้งสองพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องรู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป เมื่อเราวางใจว่าพระองค์ทรงรู้จักเราและรู้ว่าเรารู้สึกอย่างไร จิตวิญญาณของเราจะเบิกบานขึ้นได้ ดังที่ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานสูงสุดแบ่งปันว่า:
“ความมืดที่เกิดขึ้นเมื่อเราประสบความยากลําบากจะทําให้เรารู้สึกโดดเดี่ยวและเหงา อย่างไรก็ตาม เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงชดใช้ให้เราในสวนเกทเสมนี พระองค์ไม่เพียงทรงทําเช่นนั้นเพื่อบาปของเราเท่านั้น พระองค์ทรงรู้สึกถึงความเจ็บปวดและความโดดเดี่ยวที่เรารู้สึกเช่นกันเมื่อการทดลองเกิดขึ้น ไม่ว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร ก็ยังมีพระองค์ผู้ทรงเดินบนเส้นทางเดียวกันและทรงนำทางเราเสมอ
“เมื่อรู้สิ่งนี้ ข้าพเจ้าสัญญาว่าเราจะรู้สึกทั้งปีติและการมองโลกในแง่ดีระหว่างการทดลอง—ไม่ใช่เพียงเพราะเราคาดหวังว่าช่วงเวลานั้นจะดีขึ้นหรือง่ายขึ้น แต่เพราะเราวางใจพระองค์ เราวางใจพระองค์มากพอที่จะสวดอ้อนวอนและทูลขอความช่วยเหลือ เราวางใจว่าพระองค์ทรงเข้าใจความรู้สึกของเราในช่วงเวลาเหล่านี้อย่างถ่องแท้ สิ่งนี้จะทำให้เรามั่นใจว่าไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ทุกอย่างจะดีขึ้น”8
เอ็ลเดอร์เบดนาร์แบ่งปันคำสัญญาที่คล้ายกันด้วย: “พระผู้ช่วยให้รอดทรงเข้าใจความทุกข์ยากของเราอย่างถ่องแท้ เพราะพระองค์ทรงแบกรับความผิดหวัง ความอ่อนแอ และความปวดร้าวของเรา พระองค์จึงสามารถพยุงและเสริมกำลังเราได้ พระองค์จะทรงทำให้ความคิดและวิญญาณของเราเข้มแข็งขึ้น พระองค์จะทรงเสริมกำลังเราทั้งทางร่างกายและในทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อทำสิ่งที่เราต้องทำ เมื่อเราหันไปหาพระองค์ เราไม่มีวันโดดเดี่ยว”9
6. แสวงหาการเปลี่ยนแปลงและการเติบโต
บางครั้งเราได้รับพรให้เอาชนะความโดดเดี่ยวของเราโดยการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้และกิจกรรมใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงสิ่งที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเรียกว่า “ปีติจากการกลับใจทุกวัน”10 และการเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ ตลอดชีวิตด้วย
ดังที่ประธานเนลสันสอนว่า “ให้เรารับของประทานอันล้ำค่าและสมบูรณ์แบบจากพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราทิ้งภาระและบาปไว้แทบพระบาทของพระผู้ช่วยให้รอดและสัมผัสกับปีติที่มาจากการกลับใจและการเปลี่ยนแปลง”11
เอ็ลเดอร์คุกแบ่งปันประโยชน์ของการเติบโตด้วยวิธีอื่นๆ เช่นกัน:
“พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงปลดภาระความรับผิดชอบส่วนตัวในวิธีที่เราดำเนินชีวิตในการชดใช้บาปของเรา คุณค่าของงาน ความอุตสาหะ การทำงานด้วยกำลังของเรา การปรับปรุงพรสวรรค์ของเรา และการจัดหาให้ครอบครัวได้รับการประกาศอย่างกว้างขวางในพระคัมภีร์ตั้งแต่ต้น
“ข้าพเจ้าท้าทายให้ท่านตรวจสอบเป้าหมายและพิจารณาว่าเป้าหมายใดจะช่วยให้ท่านบรรลุพันธกรณีของครอบครัว รักษาท่านให้อยู่บนเส้นทางพันธสัญญา และยอมให้ท่านมีปีติตามที่พระเจ้าทรงประสงค์ โปรดจำไว้ว่าการมีเป้าหมายช่วยให้ท่านประหยัดเวลาและความพยายามโดยการวางแผนล่วงหน้า และไม่พลาดสิ่งสำคัญและกำหนดเวลาที่สำคัญ”12
แม้แต่พระผู้ช่วยให้รอดยังทรงแสดงให้เราเห็นความสําคัญของการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะพระองค์ “เจริญขึ้นในด้านสติปัญญาและด้านร่างกาย เป็นที่ชอบต่อพระพักตร์พระเจ้าและต่อหน้าคนทั้งหลายด้วย” (ลูกา 2:52)
7. มุ่งเน้นไปที่พันธสัญญาของท่าน
แม้ในช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุด เราสามารถจดจ่อกับพรนิรันดร์ที่เรามีผ่านพันธสัญญาของเรา ซึ่งคนจำนวนมากในโลกยังไม่มี พิจารณาพรและพลังฐานะปุโรหิตที่เราดึงมาใช้ได้ รวมถึงการมีส่วนร่วมในศีลระลึกทุกสัปดาห์และการเข้าถึงพลังอำนาจที่เราได้รับ (หรือสามารถรับได้) ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เอ็ลเดอร์เบดนาร์สอนถึงพรและปีติอันยิ่งใหญ่นี้ว่า:
“การดำเนินชีวิตตามและความรักในคำมั่นสัญญาแห่งพันธสัญญาสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้าแบบเป็นส่วนตัวอย่างลึกซึ้งและทรงพลังทางวิญญาณ เมื่อเราเคารพเงื่อนไขของพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์และศาสนพิธี เราค่อยๆ เข้าใกล้พระองค์มากขึ้น และลิ้มรสอิทธิพลของความเป็นพระเจ้าและการดำรงอยู่จริงของพระองค์ในชีวิตเรา
“ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าการสานความสัมพันธ์กับพระบุตรที่ฟื้นคืนพระชนม์และพระชนม์ชีพของพระผู้เป็นเจ้าเป็นไปได้ผ่านพันธสัญญา สามารถเกิดขึ้นจริง และเป็นแหล่งที่มาสูงสุดของความมั่นใจ สันติสุข ปีติ และความเข้มแข็งทางวิญญาณที่ทำให้เราสามารถ ‘ไม่ใส่ใจ’ และ ‘ไม่กลัว แม้ว่าศัตรูจะเย้ยหยัน’”
เอ็ลเดอร์สตีเวนสันสอนเพิ่มเติมว่า “‘ไข่มุกอันล้ำค่า’ คือศาสนพิธี พันธสัญญา สัญญา และคําสั่งสอนที่ได้รับ [ในพระวิหาร] เป็นความสุขและปีติที่ผู้คนจากทั้งสองด้านของม่านสัมผัสได้เมื่อพวกเขาได้รับพรของพระวิหารและมาหาพระคริสต์” และท่านเชื้อเชิญให้พวกเรา “ใคร่ครวญถึงสันติสุขที่มาจากการนมัสการและการรับใช้ในพระวิหาร”14
8. ศึกษาพระคําของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อเข้าใกล้พระองค์
ประธานอายริงก์แบ่งปันว่า:
“เมื่อข้าพเจ้าศึกษาพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดและพระชนม์ชีพของพระองค์ ข้าพเจ้ารู้จักและรักพระองค์ในสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อเราแต่ละคน …
“‘พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์’ (ยอห์น 3:16)
“ของประทานแห่งพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าเป็นของประทานอันล้ำค่า พระองค์ทรงเป็นของประทานที่ส่องสว่างนำทางและยกเราขึ้น พระองค์ทรงเป็นของประทานที่ค้ำจุนเราผ่านวันเวลาที่ยากลำบากในการเดินทางมรรตัยของเรา พระองค์ทรงเป็นของขวัญที่มอบความรักอันศักดิ์สิทธิ์ ความหวังที่ยั่งยืน และปีติที่แท้จริง”15
ยิ่งเราเรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดและเข้าใกล้พระองค์มากขึ้นเท่าไรเราจะยิ่งรู้สึกถึงปีติแท้จริงของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น ลีไฮแบ่งปันว่าสิ่งนี้เป็นพรแก่ท่านอย่างไรเมื่อท่านอ่านพระคัมภีร์ “ท่านเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า” (1 นีไฟ 1:12)
เราสามารถได้รับพรตามคําสัญญานี้เช่นกันขณะที่เราอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ดังที่เอ็ลเดอร์โรนัลด์ เอ. ราสแบนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่า: “ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและทําตามคําสอนของพระเยซูคริสต์ที่อยู่ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ เมื่อทำเช่นนั้น ท่านจะพบปีติและสันติสุขที่เพิ่มพูนในชีวิตนี้และในชีวิตที่จะมาถึง ข้าพเจ้าทราบว่านี่เป็นความจริง”16
9. พูดกับผู้อื่นด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
การแบ่งปันคําพูดที่ดีเกี่ยวกับผู้อื่นจะช่วยให้เรารู้สึกดีขึ้นได้เช่นกัน! ประธานอายริงก์สอนว่า “ข้าพเจ้าสัญญากับท่านได้ว่าจะรู้สึกสงบและปีติเมื่อท่านพูดสิ่งที่ดีเกี่ยวกับผู้อื่นในความสว่างของพระคริสต์”17
10. น้อมขอบพระทัย
เจตคติของความกตัญญูสามารถเปลี่ยนวันให้ดีขึ้นได้เสมอ! ดังที่เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองแบ่งปันดังนี้:
“แม้ว่าสภาวการณ์ของเรา ความท้าทายหรือการทดลองของเราจะเป็นอย่างไร จะมีบางสิ่งในทุกๆ วันให้เราชื่นชมยินดีเสมอ มีบางอย่างในแต่ละวันที่สามารถสร้างความสำนึกคุณและความสุขได้หากเพียงเรามองเห็นและชื่นชมมัน
“บางทีเราควรใช้ตามองให้น้อยลงและใช้ใจมองให้มากขึ้น ฉันชอบคำพูดที่ว่า ‘คน ๆ หนึ่งเห็นชัดด้วยใจเท่านั้น อะไรก็ตามที่สำคัญมิอาจเห็นได้ด้วยดวงตา’ [อ็องตวน เดอ แซ็งแตกซูว์เปรี, The Little Prince, แปลโดย ริชาร์ด ฮาเวิร์ด (2000), 63]
“เราได้รับบัญชา ‘ให้น้อมขอบพระทัยในทุกสิ่ง’ [โมไซยาห์ 26:39] ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าเรามองด้วยตาและใจแม้แต่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ที่เราสามารถน้อมขอบพระทัยได้ แทนที่จะพยายามโฟกัสในแง่ลบในสภาพปัจจุบันของเรา”18
11. เป็นหนึ่งเดียวกัน
บางทีความโดดเดี่ยวของท่านอาจมาจากการรู้สึกว่าคนอื่นไม่เข้าใจความคิดและแนวคิดของท่าน ถ้าเป็นเช่นนั้น จำคำสัญญานี้จากประธานอายริงก์:
“เรารู้จากประสบการณ์ว่าปีติเกิดขึ้นเมื่อเราได้รับพรด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกัน เราในฐานะบุตรธิดาทางวิญญาณของพระบิดาบนสวรรค์ เราโหยหาปีตินั้นซึ่งเราเคยมีกับพระองค์ในชีวิตก่อนหน้านี้ พระประสงค์ของพระองค์คือให้เรามีความปรารถนาอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับความเป็นหนึ่งเดียวกันอันเกิดจากความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา
“พระองค์จะไม่ประทานสิ่งนี้ให้เราเป็นรายบุคคล ปีติของความเป็นหนึ่งเดียวกันที่พระองค์ทรงประสงค์จะประทานแก่เราอย่างมากนั้นไม่ใช่ให้เราคนเดียว เราต้องแสวงหาและมีคุณสมบัติคู่ควรจะได้สิ่งนี้ร่วมกับผู้อื่น จึงไม่น่าแปลกใจที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกระตุ้นให้เรามารวมกันเพื่อพระองค์จะประทานพรเราได้ พระองค์ทรงต้องการให้เรามารวมกันเป็นครอบครัว พระองค์ทรงจัดชั้นเรียน วอร์ด สาขา และทรงบัญชาให้เรามาประชุมกันบ่อยๆ ในการชุมนุมเหล่านั้นซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงวางรูปแบบไว้ เรามีโอกาสยิ่งใหญ่รอเราอยู่ เราสามารถสวดอ้อนวอนและทำสุดความสามารถเพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่จะนำปีติมาให้เราและเพิ่มพูนพลังในการรับใช้
“ถึงชาวนีไฟสามคน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาปีติในความเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์เป็นรางวัลสุดท้ายหลังจากรับใช้อย่างซื่อสัตย์ พระองค์ตรัสว่า ‘เจ้าจะมีความบริบูรณ์แห่งปีติ; และเจ้าจะนั่งลงในอาณาจักรพระบิดาของเรา; แท้จริงแล้ว, ปีติของเจ้าจะเต็มเปี่ยม, แม้ดังพระบิดาประทานความบริบูรณ์แห่งปีติให้เรา; และเจ้าจะเป็นแม้ดังเราเป็น, และเราเป็นแม้ดังพระบิดา และพระบิดากับเราเป็นหนึ่ง’ [3 นีไฟ 28:10]”19
หาโอกาสหารือร่วมกันในครอบครัว วอร์ด และหน่วยอื่นๆ และพิจารณาหลักธรรมที่จะนําไปสู่การหารือกันอย่างมีประสิทธิภาพใน คู่มือทั่วไป: การรับใช้ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย, 4.4
12. สร้าง
ค้นหาสิ่งที่จะสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม งานศิลปะ เฟอร์นิเจอร์ หรือทำให้พื้นที่หนึ่งสะอาดขึ้น พิจารณาถ้อยคําเหล่านี้จากเอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟ ท่านคิดว่าอะไรคือความสุขที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ สําหรับข้าพเจ้า คําตอบของคําถามนี้คือ ความสุขของพระผู้เป็นเจ้า สิ่งนี้นําไปสู่คําถามอีกข้อหนึ่ง: อะไรคือความสุขของพระบิดาบนสวรรค์? … การสร้างและการเห็นอกเห็นใจเป็นจุดประสงค์สองประการที่นำไปสู่ความสุขอันบริบูรณ์ของพระบิดาบนสวรรค์ … การสร้างสรรค์นำมาซึ่งความพอใจและเติมเต็มอย่างลึกซึ้ง”20
13. อัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาในชีวิตของท่าน
พระวิญญาณบริสุทธิ์นำปีติมาสู่ชีวิตเรา ดังนั้นทุกสิ่งที่เราทำเพื่อเชิญพระองค์เข้ามาในทุกๆ วันของเราสามารถช่วยให้เรารู้สึกถึงปีตินั้น พระคัมภีร์สอนว่า “ส่วนผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติสุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อสัตย์” [กาลาเทีย 5:22] และใน หลักคําสอนและพันธสัญญา 11:13 พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญากับเราว่า “เราจะเผยพระวิญญาณของเราส่วนหนึ่งให้เจ้า, ซึ่งจะให้ความสว่างแก่ความคิดเจ้า, ซึ่งจะทำให้จิตวิญญาณเจ้าเปี่ยมด้วยปีติ”
14. จงเชื่อฟัง
ปีติคือ “สภาพของความสุขอันยิ่งใหญ่ที่มาจากการดําเนินชีวิตอย่างชอบธรรม จุดประสงค์ของชีวิตมรรตัยคือให้ทุกคนมีปิติ (2 นีไฟ 2:22–25) ปีติที่เต็มเปี่ยมจะมาโดยผ่านพระเยซูคริสต์เท่านั้น (ยอห์น 15:[10–]11; ค&พ 93:33–34; 101:36)”21
แม้ว่าการเชื่อฟังไม่ได้สัญญากับเราว่าโลกจะเป็นอิสระจากความท้าทายและความยากลำบาก แต่มันช่วยให้เรามีความเข้มแข็งและปีติที่จะผ่านมันไปได้ ดังที่เอ็ลเดอร์เบ็นจามิน เดอ โอโยสแห่งสาวกเจ็ดสิบสอนว่า “ความสุขเป็นสภาพทางจิตวิญญาณ สภาพแห่งปีตินี้เป็นผลจากการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม”22
และเราได้รับคำเชื้อเชิญจาก โมไซยาห์ 2:41 ให้ “พิจารณาถึงสภาพอันเป็นพรและเป็นสุขของคนที่รักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า เพราะดูเถิด, พวกเขาได้รับพรในทุกสิ่ง, ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ”
15. สวดอ้อนวอน
พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราแต่ละคนมากในฐานะบุตรธิดาของพระองค์ พระองค์ทรงต้องการให้เรารู้สึกปีติในการเป็นบุตรธิดาอันเป็นที่รักของพระองค์ พระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ และเราสามารถหันไปหาพระองค์ได้ทุกเมื่อ ดังที่ หลักคำสอนและพันธสัญญา 136:29 สอนว่า “หากเจ้าโศกเศร้าเสียใจ จงเรียกหาพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยการวิงวอน เพื่อจิตวิญญาณเจ้าจะเกิดปิติ”
ดังที่เอ็ลเดอร์ราสแบนด์เตือนเราว่า “พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงรักเรามาก เราเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้า เราควรแบ่งปันความจริงที่สำคัญนี้กับทุกคนที่เรารู้จัก เราไม่มีวันโดดเดี่ยวแน่นอน ในพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ เราค้นพบมิตรภาพและการค้ำจุนที่ยั่งยืน”23
ในทุกสิ่ง: ติดตามพระเยซูคริสต์
เหนือสิ่งอื่นใด ปีติอันเป็นนิจและสำคัญที่สุดของเรามาจากการทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอดในทุกสิ่ง! ดังที่ประธานบัลลาร์ดสอน “ข้าพเจ้าน้อมขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาที่ทรงส่งพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์มายังแผ่นดินโลก พระผู้ช่วยให้รอดทรงเอาชนะความตายและบาป ถ้าเราทําตามพระองค์ เราจะประสบปีติอันเป็นนิจ”24
เอ็ลเดอร์คุกกล่าวคล้ายกันว่า “เราใคร่ครวญและชื่นชมยินดีในทุกสิ่งที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงทําเพื่อเรา พระองค์ทรงสละพระชนม์ชีพให้เป็นการชดใช้แทนเรา โดยทรงเอาชนะความตาย และทรงจัดเตรียมการไถ่ให้มวลมนุษยชาติ ข้าพเจ้าสัญญาว่าการทำตามแสงสว่างและแบบอย่างของพระองค์จะนำปีติ ความสุข และสันติสุขในชีวิตนี้มาให้เรามากกว่าสิ่งอื่นใด”25
และสุดท้าย เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวไว้อย่างจับใจว่า “ความหวัง สันติสุข และปีติที่เกิดจากการติดตามพระเยซูคริสต์เป็นคำพูดที่ไม่เกินจริงแต่อย่างใด แต่หมายถึงทุกสิ่ง”
จริงดังที่ประธานเนลสันกล่าวไว้ว่า “พระเยซูคริสต์ทรงเป็นปีติ”27 และท่านทําสัญญาเหลือเชื่อต่อไปว่า “วิสุทธิชนมีความสุขได้ภายใต้สภาวการณ์ทุกรูปแบบ เรารู้สึกมีปีติได้แม้เมื่อเรามีวันที่หนัก สัปดาห์ที่หนัก หรือแม้แต่ปีที่หนัก! พี่น้องที่รัก ปีติที่เรารู้สึกแทบไม่เกี่ยวกับสภาพการณ์ในชีวิตและทุกอย่างที่เราทำกับศูนย์กลางชีวิตเรา เมื่อศูนย์กลางของชีวิตเราอยู่ที่แผนแห่งความรอดของพระผู้เป็นเจ้า … และพระเยซูคริสต์กับพระกิตติคุณของพระองค์ เราจะรู้สึกมีปีติได้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น—หรือไม่เกิดขึ้น—ในชีวิตเรา ปีติมาจากพระองค์และมาเพราะพระองค์ พระองค์ทรงเป็นที่มาของปีติทั้งปวง เรารู้สึกถึงความสุขนั้นในช่วงเทศกาลคริสต์มาสเมื่อเราร้องเพลง ‘พระทรงบังเกิด โลกจงสุขี’ [โลกจงสุขี, เพลงสวด, บทเพลงที่ 94] เรารู้สึกอย่างนั้นได้ตลอดทั้งปี”28