คลังค้นคว้า
ล้อมรอบด้วยไฟ


ล้อมรอบด้วยไฟ

การถ่ายทอดผ่านดาวเทียมเซมินารีและสถาบันศาสนา•4สิงหาคม 2015

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าสำนึกคุณสำหรับโอกาสที่ได้พูดกับท่านในการถ่ายทอดทั่วโลกครั้งนี้ เราได้รับพรอย่างล้นเหลือที่ได้มาอยู่ที่นี่

ข้าพเจ้าอยากให้ท่านทราบว่าข้าพเจ้ารักพวกท่านมากซึ่งข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นของประทานจากพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงรักท่าน และพระองค์ทรงต้องการให้ข้าพเจ้าเห็นท่านในแบบที่พระองค์ทรงเห็นท่านและให้รักท่านในแบบที่พระองค์ทรงรักท่าน พระองค์จึงทรงอวยพรข้าพเจ้าด้วยของประทานนั้น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าท่านจะสัมผัสถึงความรักของพระองค์และของข้าพเจ้าในวันนี้

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนเช่นกันว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสถิตกับเราเมื่อเราพิจารณาร่วมกันถึงความหมายของข่าวสารอันเรียบง่าย ข่าวสารนี้มาสู่ข้าพเจ้าเป็นการส่วนตัว แต่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าควรแบ่งปันกับท่านเช่นกัน ข่าวสารนั้นคือ ไม่ว่าความเข้มแข็งทางวิญญาณที่เราได้รับในชีวิตเวลานี้จะอยู่ในระดับใด ไม่ว่าเวลานี้เราจะมีศรัทธาเพียงใดในพระเยซูคริสต์ ไม่ว่าคำมั่นสัญญาและการอุทิศถวายจะมีพลังมากเพียงใด ไม่ว่าระดับความเชื่อฟังหรือความหวังหรือจิตกุศลของเราจะมีมากเท่าใด ไม่ว่าเราจะมีทักษะและความสามารถในงานอาชีพระดับใด สิ่งเหล่านี้จะไม่เพียงพอต่องานที่รออยู่ข้างหน้า

พี่น้องทั้งหลาย ท่านกับข้าพเจ้าต้องดีกว่าที่เราเป็นอยู่เวลานี้ พระคัมภีร์สอนเราว่าเวลานี้โลกอยู่ในความโกลาหลและจะเป็นอยู่อย่างนั้น ความชั่วร้ายและความมืดมนจะเพิ่มขึ้น กระนั้นในโลกที่มืดมนจะมีแสงแห่งสวรรค์ที่สว่างขึ้น พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงมีงานยิ่งใหญ่ให้เราทำกับอนุชนรุ่นหลัง งานนี้เป็นงานยิ่งใหญ่กว่าที่เราเคยทำมา พระเจ้าทรงทำงานด้วยเดชานุภาพในการเสริมสร้างการสอนและการเรียนรู้ในศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ของพระองค์ พระองค์ทรงกำลังเร่งงานของพระองค์ ทรงเตรียมแผ่นดินโลกและอาณาจักรของพระองค์ให้เราพร้อมรับการเสด็จกลับมาของพระองค์

สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นส่วนหนึ่งของแบบแผนอันสวยงามที่เราเห็นตั้งแต่เริ่มการฟื้นฟู ในปี 1820 พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงปรากฏพร้อมพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ต่อเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธ ตั้งแต่วันนั้นในป่าศักดิ์สิทธิ์ พระเยซูคริสต์ทรงสร้างศาสนจักรและผู้คนของพระองค์บรรทัดมาเติมบรรทัด กฎเกณฑ์มาเติมกฎเกณฑ์ ทีละขั้น

นี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัส

“เพราะเราจะยกผู้คนบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งขึ้นสำหรับเรา, ผู้จะรับใช้เราในความชอบธรรม”1

“ว่างานแห่งการรวบรวมวิสุทธิชนของเราจะมีต่อไป, ว่าเราจะเสริมสร้างพวกเขาสำหรับนามของเราบนสถานที่ศักดิ์สิทธิ์; เพราะเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวมาถึงแล้ว, และคำของเราจำเป็นต้องเกิดสัมฤทธิผล.”2

“ผู้คนของเราต้องรับการทดลองในสิ่งทั้งหลายทั้งปวง, เพื่อพวกเขาจะพร้อมรับรัศมีภาพที่เรามีไว้ให้พวกเขา, แม้รัศมีภาพของไซอัน”3

นี่คือแบบแผนของพระเจ้า พระองค์ทรงกำลังยก เสริมสร้าง และเตรียมผู้คนตลอดจนศาสนจักรของพระองค์ แบบแผนนี้ปรากฏชัดในสมัยของเราในคำเชื้อเชิญจากประธานโธมัส เอส. มอนสันที่ให้เราทุกคนลุกขึ้นและสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ลองฟังคำเชื้อเชิญของท่านที่ให้เราทำมากขึ้นและดีขึ้นในงานแห่งความรอด ข้าพเจ้าอยากจะอ่านคำพูดสั้นๆ จากคำปราศรัยมากมายของประธานมอนสันที่ท่านได้ให้ไว้ในการประชุมใหญ่สามัญตั้งแต่ท่านเป็นประธานศาสนจักร

“เราขอเชื้อเชิญท่านด้วยใจจริงอีกครั้งให้กลับมา เราจะหยิบยื่นความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ให้ท่าน … กับท่านผู้บาดเจ็บในวิญญาณหรือผู้กำลังต่อสู้และหวาดกลัว เรากล่าวว่าขอให้เราช่วยพยุงท่าน ให้กำลังใจท่าน และระงับความหวาดกลัวของท่าน”4

“หากท่านคนใดใจเย็นเกี่ยวกับการเยี่ยมสอนประจำบ้าน  … ข้าพเจ้าขอบอกว่าไม่มีเวลาใดเหมือนปัจจุบันที่จะให้ท่านอุทิศตนอีกครั้ง”5

“มีคนให้ท่านต้องช่วยพยุง ช่วงจูงมือ คอยให้กำลังใจ สร้างแรงบันดาลใจ และช่วยจิตวิญญาณให้รอด”6

“โดยให้มีผลบังคับใช้ทันทีว่า ชายหนุ่มทุกคนที่สามารถและมีค่าควร สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า … มีทางเลือกที่จะขอคำรับรองเพื่อรับใช้งานเผยแผ่ศาสนาโดยกำหนดอายุให้เริ่มที่ 18 ปีแทน 19 ปี …

“สตรีสาวที่สามารถและมีค่าควร ผู้มีความปรารถนาจะรับใช้ สามารถได้รับการรับรองเพื่อรับใช้งานเผยแผ่ศาสนาโดยกำหนดอายุให้เริ่มที่ 19 ปีแทน 21 ปี”7

“ความท้าทายของเราคือการเป็นผู้รับใช้ที่สร้างประโยชน์ได้มากขึ้นในสวนองุ่นของพระเจ้า เรื่องนี้ใช้ได้กับเราทุกคน ไม่ว่าเราจะอายุเท่าใด และไม่เพียงกับผู้ที่กำลังเตรียมตัวรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาเท่านั้น เพราะเราแต่ละคนต่างก็ได้รับประกาศิตให้แบ่งปันพระกิตติคุณของพระคริสต์”8

“บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่สมาชิกและผู้สอนศาสนาจะพร้อมใจลงแรงทำงานด้วยกันในสวนองุ่นของพระเจ้าเพื่อนำจิตวิญญาณมาหาพระองค์”9

“ความปรารถนาจะ ไม่ได้ สมดังใจ พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราคิด พระองค์ทรงคาดหวังให้เราทำ … พระองค์ทรงคาดหวังให้เราอุทิศตน”10

“ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อท่านว่าพรที่สัญญาไว้กับเราไม่อาจประมาณได้ แม้เมฆลมมรสุมจะรวมตัวกัน และฝนเทลงมาที่เรา … จะไม่มีสิ่งใดในโลกนี้ชนะเราได้

“พี่น้องที่รัก อย่ากลัว จงรื่นเริงเถิด อนาคตสดใสเท่าศรัทธาของท่าน”11

พี่น้องทั้งหลาย ศาสดาพยากรณ์เรียกเราแล้ว ในระบบการศึกษาของศาสนจักร การเรียกนั้นหมายความว่าเราต้องการให้ผู้รับใช้ที่วางใจได้ของพระเจ้าเตรียมตัวทำงานในเซมินารีและสถาบัน ในวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยของศาสนจักร และในโรงเรียนของศาสนจักร งานทุกงาน การเรียกทุกอย่าง คนทุกคนในระบบการศึกษาของศาสนจักร รวมถึงข้าพเจ้าด้วย มีความสำคัญ และเราทุกคนต้องดียิ่งขึ้นกว่าที่เราเคยเป็น

ข้าพเจ้าคิดว่ามีเหตุผลสองข้อ

เหตุผลที่ 1: เราต้องให้การศึกษาแก่อนุชนรุ่นหลังอย่างลึกซึ้งและมีพลังมากกว่าที่เราเคยทำหรือมากกว่าที่ใครก็ตามเคยทำมาก่อน

การเรียนรู้อย่างลึกซึ้งคือ “การเพิ่ม … พลังที่จะรู้ ทำ และเป็น”12 ซึ่งหมายถึงความรู้ที่เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน แต่ยังหมายถึงความเข้าใจทางวิญญาณที่เพิ่มขึ้นด้วย หมายถึงทักษะและสมรรถภาพในการกระทำที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหมายถึงคุณลักษณะที่เพิ่มขึ้น อันได้แก่ความสุจริต ความกล้าหาญ และ ความเมตตา

การเรียนรู้อย่างลึกซึ้งคือประสบการณ์ทางวิญญาณโดยเนื้อแท้ อนุชนรุ่นหลังจะเรียนรู้อย่างลึกซึ้งตราบเท่าที่พลังแห่งการเสริมสร้างและการไถ่ของพระคริสต์มีผลในชีวิตพวกเขา ทำให้พวกเขาบริสุทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ และมีคุณสมบัติที่จะรับพระคุณและของประทานจากพระองค์ที่ทรงเตรียมไว้ให้พวกเขา พวกเขาต้องทำงานและแสวงหาการเรียนรู้อย่างขยันขันแข็ง แต่พวกเขาก็ต้องได้รับการชำระให้สะอาดผ่านพระโลหิตที่ทรงชดใช้ของพระคริสต์ทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะได้รับความสว่างที่เจิดจ้ากว่าและได้รับการสอนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

การสอนที่มาจากการดลใจซึ่งนำไปสู่การเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณเช่นกัน เราเองก็เช่นกันต้องการให้การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเกิดผลอย่างมีพลังมากขึ้นในชีวิตเรา เราต้องมีคุณสมบัติคู่ควรแก่การได้รับของประทานและพรแห่งการทำให้บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเราจะได้ช่วยอนุชนรุ่นหลังให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งขึ้นได้

อนุชนรุ่นหลังต้องการการเรียนรู้อย่างลึกซึ้งเพราะโลกที่พวกเขาจะเผชิญมีทั้งสิ่งดีและสิ่งเลวร้าย—จะมีความสว่างและพลังอำนาจจากสวรรค์ที่เพิ่มขึ้น และจะมีความชั่วร้าย ความวุ่นวายโกลาหล และความสับสนที่เลวร้ายกว่าเดิม พวกเขาจะต้องมีพื้นฐานในความจริงแห่งพระกิตติคุณที่ธรรมดาและเรียบง่าย พระกิตติคุณต้องหยั่งลึกในใจพวกเขา และพวกเขาต้องการสิ่งที่ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเรียกว่าศรัทธาที่มั่นคงในพระคริสต์ “เหตุใดเราจึงต้องมีศรัทธามั่นคงเช่นนั้น เพราะมีอุปสรรครออยู่ข้างหน้า การเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ในอนาคตไม่ง่ายหรือไม่เป็นที่ชื่นชอบมากนัก เราแต่ละคนจะได้รับการทดสอบ อัครสาวกเปาโลเตือนว่าในยุคสุดท้ายผู้พากเพียรทำตามพระเจ้า ‘จะถูกกดขี่ข่มเหง’ [2 ทิโมธี 3:12] การข่มเหงเช่นนั้นสามารถเบียดท่านเข้าไปในความอ่อนแอแบบเงียบๆ หรือกระตุ้นท่านให้เป็นแบบอย่างและกล้าหาญมากขึ้นในชีวิตประจำวัน”13

เหตุผลที่ 2: ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนหนุ่มสาวที่จะมาหาเราจะพร้อม—และจะต้องการรับ—มากกว่าที่เราให้พวกเขาในเวลานี้ ยิ่งกว่านั้น บางคนที่มาจะต้องการมากกว่าเพราะบ้านของพวกเขาไม่ให้สิ่งที่พวกเขาปรารถนาหรือต้องการ

ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่าคนหนุ่มสาวจะต้องเข้าไปสำรวจแนวคิดที่ซับซ้อนและมาจากการคาดเดา พวกเขาจะต้องการความจริงแห่งพระกิตติคุณที่ธรรมดาและเรียบง่ายซึ่งสอนด้วยความรักและพลังอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้น

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างหลักคำสอนธรรมดาและเรียบง่ายซึ่งนักเรียนของเราต้องเรียนรู้ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตลอดเจ็ดปีที่ผ่านมา บีวายยูไอดาโฮกำหนดให้มีหลักสูตรเกี่ยวกับครอบครัวในฐานะส่วนหนึ่งของโปรแกรมรากฐาน (หลักสูตรเช่นนั้นเป็นส่วนหนึ่งของชุดหลักสูตรสำคัญขั้นพื้นฐานชุดใหม่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับนักศึกษาสถาบัน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยในระบบการศึกษาของศาสนจักรทุกคน) เนื่องจากนักศึกษาบีวายยูไอดาโฮทุกคนเรียนหลักสูตรนี้ คณะครูจึงเรียนรู้ว่าพวกเขาคิดอะไรและรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานดังที่นำเสนอในถ้อยแถลงเรื่องครอบครัว

สิ่งที่บรรดาครูพบนั้นทำให้รู้สึกไม่สบายใจ นักเรียนหลายคน (อาจจะ 40 ถึง 50 เปอร์เซนต์) มีความเข้าใจไม่สมบูรณ์หรือแย่ที่สุดคือเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลักคำสอนที่สำคัญที่สุด นักเรียนเหล่านี้คือเยาวชนวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่เป็นคนดีและแข็งขันผู้สำเร็จการศึกษาจากเซมินารีและไม่ได้เรียนหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานมากพอที่บ้านหรือในเซมินารี โรงเรียนวันอาทิตย์ ชั้นเรียนเยาชนหญิงหรือโควรัมฐานะปุโรหิต และในบางกรณี ไม่ได้เรียนรู้แม้แต่ในคณะเผยแผ่ของพวกเขา

นักเรียนไม่เพียงต้องการความรู้ที่ดีขึ้นเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานเท่านั้น แต่พวกเขาต้องเข้าใจจริงๆ ด้วย พวกเขาต้องการพยานทางวิญญาณถึงความจริงในเรื่องนี้ และพวกเขาต้องกระทำตามพยานนั้นในวิธีที่พวกเขาเตรียมตัวตอนนี้ที่จะเป็นสามีหรือภรรยาและมารดาหรือบิดาในครอบครัวนิรันดร์

พวกเขาต้องรู้ด้วยว่าจะพูดถึงหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานอย่างไรกับเพื่อนๆ และคนอื่นๆ ที่อาจไม่มีความเชื่ออย่างเดียวกัน พวกเขาต้องมีสมรรถภาพมากขึ้นที่จะแยกแยะระหว่างความจริงกับความผิดพลาด พวกเขาต้องมีศรัทธามากขึ้นในพระเยซูคริสต์ และพวกเขาต้องมีความหวังในพระองค์มากขึ้น

นี่คือสิ่งที่อนุชนรุ่นหลังต้องการ ฉะนั้น เราต้องทำสิ่งใดบ้าง

เราแต่ละคนต้องทำสิ่งที่พระเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำในชีวิต ข้าพเจ้าหวังว่าประสบการณ์ต่อไปนี้จะเป็นประโยชน์ต่อท่านขณะที่ท่านไตร่ตรองและสวดอ้อนวอนว่าพระเจ้าทรงประสงค์ให้ท่านทำสิ่งใด

หลายปีมาแล้ว ระหว่างช่วงเวลายากลำบากในชีวิตเรา ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปฏิปักษ์กำลังโจมตี ในประสบการณ์นั้นพระเจ้าทรงทำให้กระจ่างชัดแก่ข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าต้องทำมากขึ้นและเป็นคนดีขึ้น ข้าพเจ้าขอเล่าภูมิหลังเล็กน้อย

ข้าพเจ้าแต่งงานกับซูมากว่า 30 ปีแล้ว เราแข็งขันและมีส่วนร่วมในศาสนจักรมาตลอดชีวิต เรารับใช้ในศาสนจักร เราเข้าพระวิหารทุกสัปดาห์ เราสวดอ้อนวอนกับลูกๆ ของเรา ศึกษาพระคัมภีร์กับพวกเขา และจัดสังสรรค์ในครอบครัว เราพยายามเป็นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ดี กระนั้นพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า เจ้าต้องทำมากกว่านี้

คืนหนึ่งข้าพเจ้าฝันร้ายมาก ข้าพเจ้าตื่นขึ้นมากระวนกระวายและวิตกกังวล และข้าพเจ้าคุกเข่าสวดอ้อนวอนขอความช่วยเหลือจากพระบิดาในสวรรค์ ขณะกำลังสวดอ้อนวอน ข้อความจากเอเฟซัส บทที่ 6 เข้ามาในความคิดข้าพเจ้า “เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด แต่ต่อสู้กับพวกภูติผีที่ครอบครอง พวกภูติผีที่มีอำนาจ พวกภูติผีที่ครองพิภพในยุคมืดนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในสวรรคสถาน”14

ในตอนเช้าข้าพเจ้าเปิดดูพระคัมภีร์และอ่านถ้อยคำเหล่านี้

“สุดท้ายนี้ จงเข้มแข็งขึ้นในองค์พระผู้เป็นเจ้า และในอานุภาพอันทรงพลังของพระองค์

“จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะสามารถต่อสู้กับอุบายของมารได้”15

เมื่อข้าพเจ้าอ่านถ้อยคำ “จงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า” ข้าพเจ้าสัมผัสถึงพยานที่ทรงพลังของพระวิญญาณว่านี่คือคำตอบการสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าต้องสวมยุทธภัณฑ์ ทั้งชุด ของพระเจ้า ทุกชิ้น

ดังนั้น ซูกับข้าพเจ้าจึงคุยกันว่านั่นหมายความว่าอย่างไร และเราสวดอ้อนวอนขอการนำทาง ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าเราต้องถามตัวเราเองสองคำถาม ข้าพเจ้าเชื่อว่าคำตอบต่อคำถามเหล่านี้จะนำเราไปทำสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเตรียมรับสิ่งที่รออยู่ข้างหน้า คำถามคือ (1)  ฉันกำลังทำอะไรที่ควรจะหยุดทำ และ (2) ฉันไม่ได้ทำอะไรที่ควรจะเริ่มทำ

เมื่อเราถามคำถามเหล่านี้ในการสวดอ้อนวอน เราได้รับคำตอบที่เจาะจง เราเปลี่ยนแปลงการใช้เวลาของเรา สื่อที่เราอนุญาตให้เข้ามาในบ้านของเรา วิธีที่เรารับใช้ในพระวิหาร วิธีที่เราศึกษาพระคัมภีร์ วิธีที่เรารับใช้พระเจ้า และอีกหลายสิ่งหลายอย่าง เราต้องเพิ่มความเข้มแข็งทางวิญญาณ ผ่านกระบวนการกลับใจ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงเอื้อมมาหาเราและเปลี่ยนชีวิตเรา เราสัมผัสถึงพระเมตตา พระคุณ ความรัก และเดชานุภาพของพระองค์ โดยเดชานุภาพอันไร้ขีดจำกัด พระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงใจและความคิดเรา และทรงยกเราขึ้นไปหาพระองค์ ข้าพเจ้าทราบว่าถ้าเราไม่ฟังและกระทำตามสิ่งที่เราได้รับ เราคงจะไม่ได้รับการเรียกให้รับใช้ที่บีวายยูไอดาโฮ และข้าพเจ้าคงจะไม่ยืนอยู่ต่อหน้าพวกท่านที่นี่ในวันนี้ นี่เป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญมากในชีวิตเรา

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าทราบว่าข้าพเจ้ากำลังพูดกับวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ รักษาพันธสัญญา ข้าพเจ้าทราบว่าพวกท่านเก่งจริงๆ และเก่งมากมากในสิ่งที่ท่านทำ แต่ข้าพเจ้ารู้จากประสบการณ์ของตนเองว่าเราต้องถามคำถามสองข้อนี้กับตนเองเป็นประจำ เราต้องเปลี่ยนแปลงและกลับใจเพื่อที่การชดใช้ของพระคริสต์จะเกิดผลแม้มีพลังมากขึ้นในชีวิตเรา หากเราทำเช่นนี้ พระบิดาบนสวรรค์จะประทานพรเราด้วยพลังอำนาจทางวิญญาณที่ยิ่งใหญ่กว่า ข้าพเจ้าทราบว่านั่นเป็นความจริง

ข้าพเจ้าเชื่อว่านั่นคือกุญแจทั้งหมดสู่การเตรียมพร้อมสำหรับโอกาสและหน้าที่รับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ที่รออยู่ข้างหน้าเรา มีหลายสิ่งที่ทำได้และเราต้องทำ เราต้องคิดหนักและวางแผน ทำงาน ปรึกษาหารือกัน และเตรียมทำให้ดีที่สุด แต่จะเป็นอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่จะนำมาซึ่งการเรียนรู้ที่ลึกซึ้ง การหยั่งรู้ที่มากขึ้น รวมถึงเดชานุภาพแห่งการเสริมสร้างและการไถ่ของพระคริสต์ในชีวิตนักเรียนของเรา

อนุชนรุ่นหลังต้องการความจริงแห่งพระกิตติคุณที่ธรรมดาและเรียบง่ายซึ่งสอนด้วยความรักที่เพิ่มขึ้น ด้วยพลังทางวิญญาณที่มากขึ้น และส่งผลต่อชีวิตพวกเขาลึกซึ้งขึ้น ข้าพเจ้าเชื่อว่าประสิทธิผลจะเกิดขึ้นเพราะพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จะหยั่งรากลึกในใจและในความคิดเราอย่างมีพลังมากขึ้นและเพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนของเรา ชีวิตเราจะสะท้อนคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น จากนั้น—เมื่อเราดำเนินโปรแกรมหรือพัฒนาหลักสูตร ใช้วิธีการใหม่ๆ จ้างหรือเรียกและอบรมครูคนใหม่ หรือให้คำปรึกษานักเรียน หรือวางแผนสร้างอาคารใหม่ เปิดเขตใหม่ หรือเดินเข้าไปในห้องเรียนเพื่อสอนบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า—เราจะได้รับการเปิดเผยที่เราต้องการ และเราจะทำงานด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อนุชนรุ่นหลังจะเรียนรู้อย่างลึกซึ้ง และพวกเขาจะลุกขึ้น!

เรารู้ว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น เรารู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร พระเจ้าพระเยซูคริสต์จะเสด็จมา ผู้คนและศาสนจักรของพระองค์จะพร้อมรับพระองค์

เมื่อข้าพเจ้านึกถึงท่านและสิ่งที่ท่านจะทำในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้านึกถึงประสบการณ์อัศจรรย์ใน 3 นีไฟ 17 เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเรียกเด็กๆ มารายล้อมพระองค์ ข้าพเจ้าอยากให้ท่านนึกภาพเหตุการณ์นั้นเพราะว่าท่านก็อยู่ที่นั่น บิดามารดาพาลูกๆ อันล้ำค่ามาหาพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ทรงเรียกพวกเขามารายล้อมพระองค์ พระองค์ทรงอยู่ตรงกลาง พระองค์ทรงสวดอ้อนวอนเพื่อพวกเขาและบิดามารดาของพวกเขาในวิธีซึ่งน่าอัศจรรย์ และทรงอวยพรเด็กทีละคน จากนั้นเทพลงมาจากสวรรค์ “ประหนึ่งว่าอยู่ท่ามกลางไฟ”16 เทพปฏิบัติต่อเด็กๆ และไฟอันศักดิ์สิทธิ์ล้อมรอบเด็กๆ เหล่านั้น

ในความหมายที่ทรงพลัง นี่คือสิ่งที่เราทำในเซมินารีและสถาบัน โดยแท้แล้ว นี่คือระบบการศึกษาของศาสนจักร บิดามารดาพาลูกๆ มาหาเรา พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นศูนย์กลาง ทรงเป็นหัวใจของทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเด็กๆ พระองค์ทรงสวดอ้อนวอนเพื่อพวกเขาและเพื่อเรา พระองค์ทรงวิงวอนพระบิดาแทนเรา เราเป็นเทพ—ท่านเป็นเทพ—ผู้มาปฏิบัติต่อเด็กๆ เหล่านั้นในไฟศักดิ์สิทธิ์ พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า นั่นคือคนที่เราต้องเป็น

นั่นคือคนที่เราจะเป็นเพราะมีพระผู้เป็นเจ้าในสวรรค์ พระองค์ทรงเป็นพระบิดาของเรา พระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ คือพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติทั้งปวง พระองค์ทรงพระชนม์! ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าพเจ้าเห็นพระองค์ทรงงาน ข้าพเจ้าทราบถึงพระเมตตาและพระคุณของพระองค์ และข้าพเจ้าสัมผัสความรักของพระองค์ พระองค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวงที่จะชำระเราให้สะอาดจากบาป เปลี่ยนใจเราและยกเราขึ้น และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เราเป็นทุกสิ่งที่พระองค์ทรงต้องการให้เราเป็น ข้าพเจ้าทราบว่าหากเราหันไปหาพระคริสต์ ผู้ทรงยืนเอื้อมพระหัตถ์มารับเราเสมอ พระองค์จะประทานพรให้เราเป็นคนดีขึ้นและทำงานอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์มากขึ้น ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. หลักคำสอนและพันธสัญญา 100:16.

  2. หลักคำสอนและพันธสัญญา 101:64.

  3. หลักคำสอนและพันธสัญญา 136:31.

  4. โธมัส เอส. มอนสัน, “หวนคิดและเดินหน้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 108.

  5. โธมัส เอส. มอนสัน, “เมษบาลแท้,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 67.

  6. โธมัส เอส. มอนสัน, “จงเต็มใจและมีค่าควรแก่การรับใช้,” เลียโฮนา,พ.ค. 2012, 69.

  7. โธมัส เอส. มอนสัน, “ขอต้อนรับสู่การประชุมใหญ่,” เลียโฮนา,พ.ย. 2012, 4–5

  8. โธมัส เอส. มอนสัน, “มาเถิดท่านบุตรพระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 66.

  9. โธมัส เอส. มอนสัน, “ขอต้อนรับสู่การประชุมใหญ่,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 4.

  10. โธมัส เอส. มอนสัน, “ออกไปช่วยเหลือ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2001, 68.

  11. โธมัส เอส. มอนสัน, “จงรื่นเริงเถิด,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 113.

  12. Kim B. Clark, “Learning and Teaching: To Know, to Do, and to Become” (คำปราศรัยในการประชุมครู, BYU–Idaho, Sept. 6, 2011), byui.edu/presentations.

  13. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “เผชิญอนาคตด้วยศรัทธา,” เลียโฮนา, พ.ค. 2011, 44.

  14. เอเฟซัส 6:12.

  15. เอเฟซัส 6: 10–11.

  16. 3 นีไฟ 17:24.