คลังค้นคว้า
นึกถึงและกระทำ


นึกถึงและกระทำ

การถ่ายทอดผ่านดาวเทียมเซมินารีและสถาบันศาสนา•4สิงหาคม2015

ในการประชุมใหญ่สามัญครั้งหนึ่งเอ็ลเดอร์มาร์ลิน เค.เจนเซ็นกล่าวว่า“ถ้าเราเอาใจใส่การใช้คำว่านึกถึงในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เราจะยอมรับว่าการนึกถึงในแบบที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมุ่งหมายเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ช่วยให้รอดของพระกิตติคุณ”การนึกถึงเป็น“หลักธรรมพื้นฐานที่ช่วยให้รอด”อย่างไรเอ็ลเดอร์เจนเซ็นกล่าวต่อไปว่า“เพราะคำเตือนให้จำไว้ของศาสดา[พยากรณ์]มักเรียกร้องให้เกิดการกระทำฟังเข้าใจทำเชื่อฟังและกลับใจ”1

เรามีตัวอย่างนั้นบันทึกไว้ในพระคัมภีร์มอรมอนฮีลามันตั้งชื่อบุตรชายว่านีไฟกับลีไฮและบอกพวกเขาว่าเหตุใด

“ดูเถิด,พ่อตั้งชื่อลูกตามบิดามารดาแรกของเราผู้ออกมาจากแผ่นดินแห่งเยรูซาเล็ม;และการนี้พ่อทำไปเพื่อว่าเมื่อลูกนึกถึงชื่อของลูกลูกก็จะนึกถึงพวกท่าน;และเมื่อลูกนึกถึงพวกท่านลูกจะนึกถึงงานของพวกท่าน;และเมื่อลูกนึกถึงงานของพวกท่านลูกจะรู้ว่าเรื่องนี้มีกล่าวไว้,และเขียนไว้ด้วย,ว่างานของพวกท่านประเสริฐ

ฉะนั้น,ลูกพ่อ,พ่ออยากให้ลูกทำสิ่งที่ดี.”2

นี่เป็นวิธีหนึ่งที่การนึกถึงสามารถเป็นหลักธรรมพื้นฐานที่ช่วยให้รอดสามารถช่วยให้เรากระทำในวิธีที่เหมาะสมและชอบธรรมด้วยเหตุนี้ศาสนจักรจึงขอให้เรานึกถึงคนที่ล่วงลับไปก่อนเราคนในประวัติครอบครัวของเราคนในประวัติศาสตร์ศาสนจักรคนในพระคัมภีร์และสำคัญที่สุดคือนึกถึงองค์พระผู้ช่วยให้รอด

หญิงสาวชาวยิวคนหนึ่งที่เสียชีวิตระหว่างการข่มเหงของสงครามโลกครั้งที่ 2บรรยายไว้อย่างไพเราะว่าคนในอดีตสามารถเป็นพรแก่ชีวิตเราได้อย่างไรเธอเขียนว่า“มีหมู่ดาวที่ส่องแสงพร่างพราวมองเห็นได้บนแผ่นดินโลกทั้งที่ดวงดาวเหล่านั้นดับสูญไปแล้วมีผู้คนมากมายที่ความสว่างเจิดจ้าของพวกเขายังคงเรืองรองอยู่ในโลกทั้งที่พวกเขาไม่ได้อยู่ในกลุ่มคนที่มีชีวิตอีกต่อไปแสงสว่างเหล่านี้โชติช่วงชัชวาลในคืนอันมืดมิดเพื่อส่องทางให้มนุษยชาติ”3

หลักธรรมนี้ประยุกต์ใช้กับประวัติของเซมินารีและสถาบันได้เช่นกันประวัติของเรามีเหตุการณ์มากมายที่ควรค่าแก่การนึกถึงด้วยเหตุนี้จึงได้มีการเขียนประวัติของเซมินารีและสถาบันศาสนาเรามีความสุขที่จะประกาศว่าอีกไม่นานประวัตินี้จะมีให้ทุกท่านได้อ่านทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์หรือออนไลน์เราหวังว่าท่านจะอ่านและนั่นจะเป็นแหล่งข้อมูลสำคัญในการศึกษาส่วนตัวและส่วนรวมของเราประวัติดังกล่าวจะช่วยให้เราได้เรียนรู้จากบุคคลที่ทำให้เซมินารีและสถาบันศาสนาเป็นเช่นทุกวันนี้เรายืนบนบ่าของท่านเหล่านั้นและชื่นชมมรดกอันล้ำค่าที่พวกท่านฝากไว้ให้เราถึงแม้หลายท่านจะล่วงลับไปนานแล้วแต่พวกท่านยังคงเป็นแสงส่องทางขณะพวกเราก้าวสู่อนาคตเราหวังว่าการนึกถึงท่านเหล่านั้นจะทำให้เรานึกถึงงานของพวกท่านและกระทำ

เช้านี้ข้าพเจ้าประสงค์จะแบ่งปันสองสามเรื่องจากประวัติของเราด้วยความหวังว่าขณะนึกถึงคนที่เรายืนบนบ่าพวกเขาเราจะต้องการเลียนแบบพวกเขา—ทั้งความปรารถนาและความพยายามของพวกเขา

ในคำพูดของประธานเจ. รูเบ็นคลาร์ก จูเนียร์เรื่อง“เส้นทางที่ทำผังไว้ของศาสนจักรในเรื่องการศึกษา”ท่านกล่าวว่าสิ่งจำเป็นอันดับแรกสำหรับนักการศึกษาศาสนาคือประจักษ์พยานส่วนตัว“ว่าพระเยซูคือพระคริสต์และโจเซฟสมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า”4ประจักษ์พยานดังกล่าวเป็นแรงจูงใจให้นักการศึกษาศาสนาที่ซื่อสัตย์จำนวนมากและครอบครัวของพวกเขาทำงานมอบหมายที่ยากและไม่สะดวกสบายอีกทั้งเสียสละความใฝ่ฝันและความสะดวกสบายส่วนใหญ่พวกเขาทำตามแบบอย่างของประธานกอร์ดอน บี.ฮิงค์ลีย์ผู้กล่าวถึงตัวท่านเองว่า“ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีวิธีทำเรื่องหนึ่งเรื่องใดสำเร็จนอกจากคุกเข่าทูลขอความช่วยเหลือแล้วลุกขึ้นไปทำงาน”5บุคคลหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นคือเรย์ แอล.โจนส์ผู้ได้รับคำขอให้เริ่มโปรแกรมเซมินารีเช้าตรู่สำหรับศาสนจักร

“ในช่วงการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนปี1950ประธานสเตค10ท่านจากเขตลอสแอนเจลิสประชุมกับเอ็ลเดอร์โจเซฟฟิลดิงก์สมิธเพื่อสนทนาเรื่องความเป็นไปได้ของการจัดโปรแกรมเซมินารีบางแบบสำหรับเยาวชนในเขตของพวกเขา”พวกเขาไม่แน่ใจว่าจะทำได้อย่างไรเนื่องจากรัฐนั้นไม่อนุญาตให้เรียนศาสนาช่วงพัก

แฟรงคลิน แอล.เวสต์กรรมาธิการด้านการศึกษาของศาสนจักรทราบว่ามีชั้นเรียนเซมินารีบางชั้นในยูทาห์ที่สอนก่อนไปโรงเรียนและเห็นว่านี่เป็นทางออกที่ทำได้ตามคำขอจากเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนียกรรมาธิการท่านนั้น“ถามเรย์ แอล.โจนส์ครูใหญ่เซมินารีในโลแกน[ยูทาห์]ว่าเขาจะเดินทางไปเริ่มโปรแกรมที่แคลิฟอร์เนียได้ไหมบราเดอร์โจนส์สบายใจกับงานมอบหมายปัจจุบันและลงหลักปักฐานในบ้านที่เพิ่งซื้อใหม่เขา…สงสัยว่าเขาควรเป็นคนเริ่มโปรแกรมนี้หรือ”

ความที่ร้อนใจอยากให้เริ่มโปรแกรมกรรมาธิการเวสต์จึง“เสนอให้บราเดอร์โจนส์ทิ้งครอบครัวไว้ในโลแกนและ‘เดินทาง’มาลอสแอนเจลิสเป็นครั้งคราว[ระยะทางมากกว่า700ไมล์]ในที่สุดบราเดอร์โจนส์ยอมสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนี้หลังจากใช้เวลาตรึกตรองพอสมควรแล้ว[เขา]ตัดสินใจทิ้งบ้านในโลแกนและย้ายมาอยู่ถาวรในลอสแอนเจลิสเพื่อเริ่มโปรแกรม”6

เฉกเช่นนีไฟที่กล่าวว่า“ข้าพเจ้าได้รับการนำโดยพระวิญญาณ,โดยหารู้ล่วงหน้าไม่ถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าควรทำ”7เรย์ แอล.โจนส์เดินทางไปเซาเธิร์นแคลิฟอร์เนีย

ศาสนจักรไม่ได้ให้เงินค่าเดินทางด้วยเหตุนี้บราเดอร์โจนส์จึงรับงานช่วยขับรถไฟขนปศุสัตว์จากยูทาห์ไปแคลิเฟอร์เนียในที่สุดเขาย้ายครอบครัวมาลอสแอนเจลิสและช่วยจัดตั้งคณะกรรมการการศึกษาในท้องที่ฮาเวิร์ด ดับเบิลยู.ฮันเตอร์ประธานสเตคในเขตนั้นเป็นประธานคณะกรรมการและท่านคงเดาเรื่องที่เหลือออก8งานที่เริ่มไว้ในปี1950กับนักเรียน195คนในเจ็ดชั้นเรียน65ปีต่อมามีนักเรียนมากกว่าหนึ่งส่วนสี่ล้านใน136ประเทศ

เจตคติของการอุทิศตนและการเสียสละประจักษ์ชัดครั้งแล้วครั้งเล่าในใจนักการศึกษาศาสนาในทุกภูมิภาคของโลกลองฟังเรื่องนี้จากนักการศึกษาศาสนาคนหนึ่งของเราในมองโกเลียเขาฟังคำแนะนำของผู้นำฐานะปุโรหิตและออกไปทำงานภายใต้สภาพการณ์ที่ยากเพื่อทำให้เกิดขึ้น

ออดเกเรลโอชิรจาฟผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักรจบปริญญาเอกด้านวนศาสตร์และทำงานเป็นนักวิจัยในมองโกเลียเมื่อศาสนจักรขอให้เขาทำงานเต็มเวลาเป็นผู้ประสานงานเซมินารีและสถาบันตอนแรกเขาไม่รับข้อเสนอแต่สุดท้ายก็ยอมรับในเดือนพฤศจิกายนปี2008บราเดอร์ออดเกเรลกับแพทริคเชิคผู้อำนวยการเขตของเขามีประชุมกับประธานคณะเผยแผ่ประธานถามว่าทำไมไม่จัดชั้นเรียนเซมินารีเช้าตรู่ในมองโกเลีย“บราเดอร์โอชิรจาฟตอบว่า‘ประธานครับนี่มองโกเลียนะครับหนาวมืดสุนัขและไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ’หนึ่งปีต่อมาทั้งสามประชุมกันอีกครั้งและประธานคณะเผยแผ่ถามคำถามเดิมบราเดอร์โอชิรจาฟตอบอีกครั้งว่า‘หนาวมืดสุนัขและไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ’หลังเลิกประชุมบราเดอร์เชิคยืนอยู่ข้างๆบราเดอร์โอชิรจาฟและพูดว่า‘ออดเกเรลเมื่อผู้นำฐานะปุโรหิตขอให้คุณ[ทำ]บางอย่างคุณต้องพยายามทำ!’บราเดอร์ออดเกเรลตอบว่า‘แพทริคคุณไม่เข้าใจความมืดของมองโกเลียความหนาวของมองโกเลียสุนัขของมองโกเลียและไม่มีระบบขนส่งสาธารณะ!’จบการสนทนา

“ไม่นานหลังจากนั้นบราเดอร์โอชิรจาฟกำลังอ่านหลักคำสอนและพันธสัญญา85:8[และ]เขาสนใจวลีที่บอกว่า‘ประคองหีบ’เขา…อ่านคำพูดอ้างอิงจากประธานเดวิด โอ.แมคเคย์[ในคู่มือสถาบัน]ซึ่งกล่าวว่าคนที่พยายาม‘ประคองหีบ’ไม่นานจะตายทางวิญญาณบราเดอร์โอชิรจาฟเขียนในเวลาต่อมาว่า‘ผมไม่อยากสูญเสียพระวิญญาณผมจึงพยายามเริ่มโปรแกรมเซมินารีเช้าตรู่สำหรับมองโกเลียผู้นำฐานะปุโรหิตในท้องที่กระตือรือร้นกับแนวคิดนี้อย่างน่าประหลาด’”9ในเดือนกันยายนปี2009พวกเขาเริ่มกับนักเรียน140คนและราวเดือนมีนาคมมีนักเรียน352คนมาเรียนโดยไม่เกรงกลัวฤดูหนาวที่หนาวจัดที่สุดในรอบ30ปีของมองโกเลีย—ฤดูหนาวที่อุณหภูมิโดยเฉลี่ยติดลบ32องศาเซลเซียส

ในการประชุมใหญ่สามัญอธิการวิคเตอร์ แอล.บราวน์กล่าวว่า“ในโลกนี้องค์กรต่างๆศาสนจักรหลายแห่งรัฐบาลหลายประเทศและแม้แต่ครอบครัวสูญเสียพลังชีวิตไปมากเพราะไม่กล้าขอให้ผู้คนเสียสละสำคัญอย่างยิ่งที่เราจะไม่ทำความผิดพลาดแบบเดียวกัน”10

ข้าพเจ้าขอใช้เวลาสักครู่ขอบคุณแทนฝ่ายบริหารสำหรับการเสียสละที่ทุกท่านทำอยู่สิ่งสำคัญที่สุดที่ท่านทำมากมายเพื่อเป็นพรแก่คนหนุ่มสาวไม่มีใครสรรเสริญและไม่ปรากฏในรายงานข้าพเจ้าเชื่อว่าการรับใช้และการเสียสละยังคงเฟื่องฟูในองค์กรของเราขอบคุณครับตามที่เราร้องในเพลงสวดเพลงหนึ่งของเราขอให้การเสียสละของท่าน“นำ…พรจากสวรรค์”11มาให้ท่านและคนที่ท่านรัก

โปรแกรมเซมินารีและสถาบันที่ประสบความสำเร็จมักจะเรียกร้องให้นักการศึกษาศาสนามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นรวมทั้งบิดามารดาผู้นำฐานะปุโรหิตบุคลากรในโรงเรียนและสมาชิกชุมชนความประพฤติและการทำงานของเรากับผู้อื่นต้องแสดงให้เห็นพระวิญญาณของพระคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์เสมอ

เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี.เฮลส์กล่าวว่า“วิธีที่เราปฏิบัติต่อสมาชิกครอบครัวเพื่อนบ้านเพื่อนร่วมธุรกิจและทุกคนที่เราพบจะเผยว่าเราได้รับพระนามของพระองค์ไว้กับเราและระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาหรือไม่”12เจตคติเช่นนั้นประจักษ์ชัดในบราเดอร์เจ. วายลีย์เซสชั่นส์ผู้อำนวยการสถาบันในช่วงแรกของเรา

หลังจากรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่แอฟริกาใต้เจ็ดปีฝ่ายประธานสูงสุดขอให้บราเดอร์และซิสเตอร์เซสชั่นส์ย้ายไปเมืองมอสโกรัฐไอดาโฮเพื่อเริ่มโปรแกรมสถาบัน“ถึงแม้สมาชิกของศาสนจักรใน[เมืองมอสโกรัฐไอดาโฮ]จะต้อนรับบราเดอร์เซสชั่นส์และครอบครัวแต่บางกลุ่มในชุมชนมองพวกเขาด้วยความสงสัยความคลุมเครือของงานมอบหมายในมอสโกเพิ่มระดับความไม่ไว้วางใจ…นักธุรกิจหลายคนในท้องที่ถึงกับตั้งคณะกรรมการมาเฝ้าดูเขาเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่‘บังคับใช้คำสอนและวิถีของมอรมอน’ในมหาวิทยาลัย”

บราเดอร์เซสชั่นเข้าร่วมองค์กรชุมชนหลายแห่งเพื่อพยายาม“เข้าถึงคนที่จะไม่ยอมพูดคุยกับเขาถ้าเขาไม่เข้าไปพูดคุยก่อนในงานเลี้ยงอาคารค่ำหลายๆครั้งที่หอการค้าจัดทุกสองสัปดาห์เขาพยายามนั่งใกล้กับหัวหน้าคณะกรรมการที่ตั้งมาเพื่อต่อต้านงานของเขาที่งานเลี้ยงครั้งหนึ่ง[ชายคนนี้]พูดว่า‘… คุณเป็นคนน่าสนใจผมได้รับแต่งตั้งให้อยู่ในคณะกรรมการคอยกันคุณไม่ให้เข้าไปในมอสโกและทุกครั้งที่ผมพบคุณคุณมาที่นี่อย่างเป็นมิตรทำให้ผมชอบคุณมากขึ้นทุกครั้ง’บราเดอร์เซสชั่นส์ตอบว่า‘ผมก็รู้สึกอย่างนั้นเราน่าจะเป็นเพื่อนกันได้’บราเดอร์เซสชั่นเล่าในเวลาต่อมาว่าชายคนนี้กลายเป็นเพื่อนสนิทที่สุดคนหนึ่งในช่วงที่เขาอยู่มอสโก”13

ในหลักคำสอนและพันธสัญญาพระเจ้าตรัสว่า“ไม่มีใครช่วยในงานนี้ได้เว้นแต่เขาจะถ่อมตนและเปี่ยมด้วยความรัก”14เราจะทำงานของนักการศึกษาศาสนาไม่ได้ถ้าเราไม่มีความรักเป็นแรงจูงใจรักพระเจ้ารักครอบครัวของเรารักนักเรียนของเราและคนที่เราทำงานด้วย

คริสต์ศักราช1978เอ็ลเดอร์กอร์ดอน บี.ฮิงค์ลีย์พูดกับบุคลากรด้านการศึกษาของศาสนจักรว่า

จงให้ความรักเป็นดาวนำทางความรักเป็นพลังยิ่งใหญ่ที่สุดบนแผ่นดินโลก …

“ บ่มเพาะ…ความรักอันลึกซึงให้ผู้ที่ท่านสอนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้คนที่ดูเหมือนจะเข้าถึงยากพวกเขาต้องการท่านมากที่สุดและปาฏิหาริย์ที่จะเข้ามาในชีวิตพวกเขาขณะท่านทำงานกับพวกเขาด้วยเจตคติของการให้กำลังใจและความเมตตาจะนำความยินดีและความพอใจมาให้ท่านทุกวันอีกทั้งนำความเข้มแข็งศรัทธาและประจักษ์พยานมาให้พวกเขา”15

บางครั้งเราอาจพบว่าเรารักนักเรียนบางคนหรือคนที่เราทำงานด้วยได้ยากแล้วจะทำอย่างไรในประวัติของเรามีเรื่องราวของอดีตผู้บริหารคนหนึ่งที่ประสบปัญหาในการรักคนที่ขอให้เขาทำงานด้วยโปรดสังเกตเรื่องนี้ให้ดีว่าสุดท้ายแล้วอะไรทำให้เขารัก

ขณะที่ศาสนจักรขยายไปประเทศอื่นเซมินารีและสถาบันศาสนาประสบปัญหาท้าทายของการจัดการศึกษาด้านศาสนาในประเทศใหม่วัฒนธรรมใหม่และภาษาใหม่ต้นทศวรรษ1970ศาสนจักรวางโครงสร้างการบริหารงานเซมินารีและสถาบันศาสนาใหม่และให้ผู้ช่วยผู้บริหารควบคุมดูแลเขตระหว่างประเทศ

แฟรงค์เดย์ผู้ช่วยผู้บริหารคนหนึ่งเคยเป็นทหารเรือในสงครามโลกครั้งที่ 2เขาเคยสู้รบในเซาท์แฟซิฟิกและถูกสอนให้เกลียดศัตรูตอนนี้บราเดอร์เดย์กังวลว่าเขาอาจได้รับมอบหมายให้ทำงานกับคนเอเชีย

อย่างที่เขากลัวบราเดอร์โจ เจ.คริสเต็นเซ็นผู้ช่วยกรรมาธิการด้านการศึกษาขอให้เขาดูแลเซาท์แปซิฟิกและเอเชีย“เมื่อบราเดอร์เดย์บินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิกไปญี่ปุ่นความรู้สึก…[จากสงคราม]ยังคุกรุ่นในใจเขาทั้งที่เขาสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจขอให้ความรู้สึกเหล่านั้นหมดไปขณะเตรียมลงเครื่องบราเดอร์เดย์กลัวมากเขาเดินผ่านสนามบิน…ไปหา[ประธานคณะเผยแผ่]ขณะมองใบหน้าของประธานคณะเผยแผ่เขาเห็นแต่ความรักที่นั่นและตื้นตันใจกับความรู้สึกรักของประธาน”ความรู้สึกด้านลบก่อนหน้านี้หายไปหมด16

บราเดอร์เดย์กล่าวว่าเขาสวดอ้อนวอนอย่างจริงใจและพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำความรักเข้ามาในใจเขาที่ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเราทำได้เช่นกันมอรมอนแนะนำว่า“จงสวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ,เพื่อท่านจะเปี่ยมด้วยความรักนี้”17

พระวิญญาณองค์เดียวกันนั้นสามารถให้กำลังใจและหนุนใจเราเมื่อเรามีช่วงเวลาของความรู้สึกโดดเดี่ยวไม่สำนึกคุณหรือท้อแท้

บ็อบกับเกวนดาอาร์โนลด์ได้รับงานมอบหมายให้ย้ายไปกัวเตมาลาและเริ่มโปรแกรมเซมินารีและสถาบันที่นั่นบราเดอร์อาร์โนลด์บรรยายความรู้สึกขณะขับรถทางไกลกลับบ้านหลังจากทำงานมอบหมายงานหนึ่งเสร็จว่า“ตอนนั้นเวลาเที่ยงคืนครึ่งหรือตีหนึ่งราวๆนั้นผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากที่ไม่มีใครในโลกรู้ว่าผมอยู่ที่ไหนครอบครัวผมคิดว่าผมนอนอยู่ที่ไหนสักแห่งคนในสหรัฐไม่รู้ว่าผมกำลังทำอะไรผมรู้สึกโดดเดี่ยวมากขณะขับรถผ่าน[เขตป่าสวยงาม]ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวสว่างไสวผมเหลือบมองฟ้าและพระวิญญาณทรงกระซิบว่า‘เรารู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน’ความโดดเดี่ยวหายไปและผมร้องไห้เกือบตลอดทางที่เหลือความรู้สึกปีติและสันติสุขมาจากการรู้ว่าพระบิดาในสวรรค์ทรงรู้จักผมและสิ่งที่ผมทำอยู่”18

ถ้าประวัติของเซมินารีและสถาบันสอนเราบางอย่างสิ่งนั้นต้องสอนเราแน่นอนให้สำนึกคุณต่อสิทธิพิเศษอันใหญ่หลวงที่เราได้ร่วมงานกับเยาวชนที่ซื่อสัตย์และเชื่อของศาสนจักรทั่วทุกมุมโลกนักเรียนเหล่านี้แสดงให้เห็นศรัทธาและการเสียสละตัวอย่างเช่นเยาวชนชายคนหนึ่งตื่นตีสามสิบห้านาที(3:15)ทุกเช้าเพื่อไปเรียนเซมินารีให้ทันเขาต้องเดินไปที่ป้ายจอดรถขึ้นรถประจำทาง15นาทีรอรถคันที่สองขึ้นรถคันนั้นแล้วเดินสี่ช่วงตึกไปอาคารศาสนจักรเขาต้องทำแบบนี้บ่อยๆเวลาที่ฝนตกและอากาศหนาวเมื่อถึงปลายปีเขาเข้าเรียนเกิน90 เปอร์เซ็นต์และไม่เคยไปสาย

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่งที่ว่านักเรียนของเราจะทุ่มเทและเปี่ยมด้วยศรัทธาได้อย่างไรว่า

สตีเฟน เค.ไอบาอดีตผู้ช่วยผู้บริหารรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาในฟิลิปปินส์และไม่กี่ปีต่อมากลับไปช่วยเริ่มเซมินารีที่นั่นเขาเล่าว่าไปเยี่ยมครอบครัวหนึ่งที่เขารู้จักสมัยเป็นผู้สอนศาสนา—ครอบครัวที่มีลูกสาว“อายุสิบสองขวบผู้ร่าเริง”ชื่อมาเรียอยู่ด้วยบราเดอร์ไอบาเขียนว่า

“ผมเคาะประตู[บ้าน]อิฐที่ทำจากถ่านหิน…และผู้เป็นแม่เปิดประตู…ผม[บอก]สาเหตุที่ผมกลับมาและอธิบายเรื่องโปรแกรมเซมินารีแบบศึกษาที่บ้าน

“ผมถามถึงมาเรียซึ่งน่าจะอายุราวสิบเก้าปีผู้เป็นแม่ดึงม่านกั้นห้องและคนที่นอนเหมือนหุ่นอยู่บนเตียงผ้าใบน้ำหนักราวห้าสิบถึงหกสิบปอนด์คือมาเรียซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้ายเธอยิ้มร่าเริงสดใสและดวงตาเป็นประกายขณะผมเดินไปอยู่ข้างๆเธอ

“เธอถามว่าเธอจะเริ่มศึกษาเซมินารีได้ไหมเธอเหลือเวลาอีกหกเดือนและต้องการเตรียมตัวให้พร้อมสอนญาติๆในโลกวิญญาณมากขึ้นผมสัญญาว่าทันทีที่หนังสือมาถึงมะนิลาเธอจะได้รับเป็นคนแรกเมื่อผมกลับไปในสัปดาห์ต่อมามาเรียก็พร้อมศึกษา

“คุณพ่อของเธอเวลานี้เป็นสมาชิกและประธานสาขาเขาตั้งกระจกไว้เหนือศีรษะเธอเพื่อให้เธอมองกระจกและอ่านเขียนได้เพราะสภาพร่างกายที่อ่อนแอเธอจึงไม่สามารถลุกนั่งได้หนึ่งสัปดาห์ก่อนที่มาเรียจะสิ้นชีวิต … เธอทำแบบฝึกหัดพระคัมภีร์มอรมอนภาคศึกษาที่บ้านบทสุดท้ายเสร็จ—เก้าเดือนของการทำงานหนึ่งพันหน้าหรือมากกว่านั้นทุกคำทุกช่อง”19

เราหวังว่าท่านจะอ่านเมื่อมีประวัตินี้ออกมาให้อ่านนำบทเรียนที่สอนเรามาใช้และ—สำคัญที่สุดคือ—เป็นห่วงเชื่อมเหนียวแน่นในสายโซ่ประวัติศาสตร์ที่เราเผยออกมา

ประธานดีเทอร์ เอฟ.อุคท์ดอร์ฟกล่าวว่า

“บางครั้งเราคิดว่าการฟื้นฟูพระกิตติคุณเป็นบางสิ่งที่เสร็จสมบูรณ์แล้วอยู่เบื้องหลังเรา—ความจริงแล้วการฟื้นฟูเป็นกระบวนการที่ไม่หยุดยั้งเรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลานั้นในตอนนี้ …

“คือช่วงเวลาพิเศษสุดของประวัติศาสตร์โลก!”

ด้วยเหตุนี้ประธานอุคท์ดอร์ฟจึงแนะนำเราว่าอย่า“หลับข้ามช่วงการฟื้นฟู”20เราควรทั้งสำนึกคุณและอ่อนน้อมถ่อมตนที่เราได้รับสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์ของการช่วยเขียนบทนี้ในเรื่องราวต่อเนื่องของการฟื้นฟู

เราทุกคนเห็นด้วยตาว่าพระเจ้าทรงกำลังเร่งงานแห่งความรอดของพระองค์อย่างไรเอ็ลเดอร์เควนทิน แอล.คุกกล่าวว่า“งานยากส่วนใหญ่ในการเร่งงานแห่งความรอดทั้งสำหรับคนเป็นและคนตายจะทำโดยเยาวชนทั้งหลาย”21ในฐานะนักการศึกษาศาสนาเราสามารถช่วยเตรียมพวกเขาให้พร้อมทำงานยากนั้นได้เราสามารถช่วยพวกเขาได้ดีที่สุดโดยขอให้พวกเขาทำมากขึ้นไม่ใช่น้อยลง22ตามที่ประธานอายริงก์แนะนำไว้เมื่อหลายปีก่อน

ขณะนักเรียนยกระดับการเรียนรู้โดยเข้าชั้นเรียนเป็นประจำอ่านนอกห้องเรียนและมีส่วนร่วมในการประเมินพวกเขาจะพร้อมไม่เหมือนคนรุ่นก่อน

ซี. เอส.ลิวอิสนักเขียนและนักแก้ต่างให้ศาสนาคริสต์เขียนไว้ว่า“เหตุการณ์สำคัญที่สุดในทุกยุคทุกสมัยไม่เคยเข้าถึงหนังสือประวัติศาสตร์”23เป็นเวลากว่าร้อยปีที่คนในเซมินารีและสถาบันทำงานและเสียสละอย่างเงียบๆเพื่อช่วยนำเยาวชนคนหนุ่มสาวมาหาพระคริสต์ส่วนใหญ่ของคนเหล่านั้นและเรื่องราวของพวกเขาจะไม่มีวันทำเป็นหนังสือแต่เรามีความเชื่อมั่นว่าพวกเขาไม่ได้ถูกมองข้าม“ทวยเทพสวรรค์กำลังบันทึกการกระทำ”24และมีหนังสือเล่มหนึ่งกำลังบันทึกการกระทำแต่ละอย่างและทุกอย่าง—รวมทั้งการกระทำของท่าน—ที่กำลังช่วยพระเจ้าทำงานของพระองค์ให้สำเร็จ

เราพูดไปบ้างแล้ววันนี้เกี่ยวกับประวัติของเราแต่เมื่อเราหันไปมองอนาคตคงจะดีถ้านึกถึงความเห็นของเอ็ลเดอร์เจมส์ อี.ทาลเมจท่านกล่าวว่า“คำพยากรณ์เป็นบันทึกเรื่องราวก่อนอุบัติขึ้นประวัติศาสตร์เป็นบันทึกเรื่องราวหลังจากเกิดขึ้นแล้วและในสองสิ่งนี้คำพยากรณ์เชื่อถือได้มากกว่าเพราะถูกต้องกว่าประวัติศาสตร์”25

คำพยากรณ์กล่าวอะไรเกี่ยวกับอนาคตของเราศาสดาพยากรณ์โจเซฟสมิธบอกเราว่า“มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้…ความจริงของพระผู้เป็นเจ้าจะออกไปอย่างองอาจมีเกียรติและเป็นอิสระจนกว่าจะเข้าไปสู่ทุกทวีปไปเยือนทุกถิ่นไปยังทั่วทุกประเทศและก้องอยู่ในทุกหูจนกว่าจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จและพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแล้ว”26

ขอพระเจ้าทรงอวยพรเราแต่ละคนขณะที่เราพยายามใช้ประวัติของเรานึกถึง—และกระทำ—เมื่อเราช่วยทำให้งานของพระเจ้าได้รับชัยชนะในพระนามของพระเยซูคริสต์เอเมน

อ้างอิง

  1. มาร์ลิน เค.เจนเซ็น,“จงจำไว้และอย่าตายเลย,”เลียโฮนา,เม.ย.2007, 46.

  2. ฮีลามัน5:6–7.

  3. HannahSenesh,อ้างถึงในDanel W.Bachman,“JosephSmith,aTrueMartyr,”ในSusanEastonBlackandCharles D.Tate Jr.,eds.,JosephSmith:TheProphet,theMan(1993), 330.

  4. J. ReubenClark Jr.,“TheChartedCourseoftheChurchinEducation,”rev.ed.(1994), 6.

  5. Gordon B.Hinckley,อ้างถึงโดยRussell M.Nelson,“SpiritualCapacity,”Ensign,Nov.1997, 16.

  6. ByStudyandAlsobyFaith:OneHundredYearsofSeminariesandInstitutesofReligion(2015), 124.

  7. 1 นีไฟ4:6.

  8. ดูByStudyandAlsobyFaith,125–26.

  9. ByStudyandAlsobyFaith,397–99.

  10. Victor L.Brown,“TheVisionoftheAaronicPriesthood,”Ensign,Nov.1975, 68.

  11. “สรรเสริญบุรุษ,”หนังสือเพลงสวด,บทที่ 27.

  12. Robert D.Hales,“InRemembranceofJesus,”Ensign,Nov.1997, 25.

  13. ByStudyandAlsobyFaith,66–67.

  14. หลักคำสอนและพันธสัญญา12:8.

  15. Gordon B.Hinckley,“FourImperativesforReligiousEducators”(คำปราศรัยต่อนักการศึกษาศาสนา,Sept. 15,1978),3–4,si.lds.org.

  16. ดูByStudyandAlsobyFaith,237–38.

  17. โมโรไน7:48.

  18. Robert B.Arnold,อ้างถึงในByStudyandAlsobyFaith, 244.

  19. Stephen K.Iba,“OurLegacyofReligiousEducation”(คำปราศรัยไม่ระบุวันเดือนปีที่พูดและไม่ได้ตีพิมพ์), 8;แก้ตัวสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนให้ได้มาตรฐาน.

  20. ดีเทอร์ เอฟ.อุคท์ดอร์ฟ,“ท่านกำลังหลับข้ามช่วงการฟื้นฟูหรือไม่”เลียโฮนา,พ.ค.2014,59, 62.

  21. เควนทิน แอล.คุก,“รากและกิ่ง,”เลียโฮนา,พ.ค.2014, 46.

  22. ดูHenry B.Eyring,“RaisingExpectations”(การถ่ายทอดอบรมผ่านดาวเทียมระบบการศึกษาของศาสนจักร,Aug. 4,2004),si.lds.org.

  23. C. S.Lewis,TheDarkTowerandOtherStories(1977), 17.

  24. “ทำแต่ความดี”หนังสือเพลงสวด,บทที่ 117.

  25. James E.Talmage,TheGreatApostasy(1958), 35.

  26. JosephSmith,ในHistoryoftheChurch,4:540.

พิมพ์