เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา
การถ่ายทอดผ่านดาวเทียมเซมินารีและสถาบันศาสนา•4สิงหาคม 2015
พระวิญญาณที่ทรงอยู่ที่นี่ช่างศักดิ์สิทธิ์ และ เช่นเดียวกับท่าน ดิฉันสำนึกคุณสำหรับทุกสิ่งที่ได้รับการสอนมา
ในสารสุดท้ายฉบับหนึ่งของมอรมอน ท่านสอนว่า
“เพราะดูเถิด, พระผู้เป็นเจ้าโดยที่ทรงรู้สิ่งทั้งปวง, โดยที่ดำรงอยู่จากความเป็นนิจถึงความเป็นนิจ, ดูเถิด, พระองค์ทรงส่งเทพมาปฏิบัติต่อลูกหลานมนุษย์, เพื่อแสดงให้ประจักษ์เกี่ยวกับการเสด็จมาของพระคริสต์; และในพระคริสต์สิ่งดีทุกอย่างจะเกิดขึ้น …
“ดังนั้น, โดยการปฏิบัติของเหล่าเทพ, และโดยพระวจนะทุกคำซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า, มนุษย์จึงเริ่มใช้ศรัทธาในพระคริสต์; และดังนั้นโดยศรัทธา, พวกเขายึดมั่นสิ่งที่ดีทุกอย่าง”1
ในความคิดเห็นของดิฉัน ท่าน ผู้เป็นครูเซมินารีและสถาบัน ทั้งในชั้นเรียนตอนเช้า ตอนเย็น สอนที่บ้าน ที่โบสถ์ ที่โรงเรียน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัย ท่านเป็นหนึ่งในเทพเหล่านั้นที่พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งมาปฏิบัติต่อลูกหลานของพระองค์เพื่อว่าพวกเขาจะใช้ศรัทธาในพระคริสต์และยึดมั่นสิ่งที่ดีทุกอย่าง ดิฉันขอขอบคุณท่านสำหรับการสอนหลักคำสอนที่บริสุทธิ์ของพระองค์โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอบคุณในการอยู่ที่นั่นทุกวัน ทั้งเช้าตรู่และดึก เพื่อประกาศพระคำของพระผู้เป็นเจ้า กล่าวคือ “เดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าอันส่งผลสู่ความรอด”2 ดิฉันขอขอบคุณคู่ครองของท่าน สามีและภรรยาของท่าน ผู้เป็นเทพเช่นกันในความการุณย์รักและอิทธิพลอันยั่งยืนของพวกเขา
เป็นสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์และเรืองโรจน์ที่จะประกาศพระคำของพระผู้เป็นเจ้า—เพื่อยืนเป็นหนึ่งในสักขีพยานของพระองค์และสอนความจริงนิรันดร์ ศาสดาพยากรณ์อิสยาห์ประกาศพระคำของพระเจ้าต่อผู้คนในพันธสัญญาของพระองค์ทั้งปวงว่า
พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้ว่า “เจ้าทั้งหลายเป็นสักขีพยานของเรา …
เรา เราเองคือยาห์เวห์และนอกจากเรา ไม่มีพระผู้ช่วยให้รอด …
“… และพวกเจ้าเป็นสักขีพยานของเรา เราคือพระเจ้า”3
เป็นสิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะช่วยอนุชนรุ่นหลังเรียนรู้พระคำของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อพวกเขาจะใช้ศรัทธาและเป็นสักขีพยานของพระคริสต์ด้วย
เยาวชนชายและเยาวชนหญิงผู้นั่งอยู่ในชั้นเรียนเซมินารีและสถาบันทั่วโลกได้ทำพันธสัญญาว่าจะรักและรับใช้พระผู้เป็นเจ้าและยืนเป็นพยานของพระองค์ ด้วยศรัทธาของพวกเขาในพระคริสต์ พวกเขาได้รับบัพติศมาและรับพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อพวกเขาจะรู้ความจริงและ “พูดได้ด้วยลิ้นของเทพ”4 “[พวกเขา] เป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์—เชื้อสายแห่งอิสราเอล … [พวกเขา] อยู่ในพันธสัญญาซึ่งพระบิดาทรงทำ … โดยตรัสกับอับราฮัม: ในพงศ์พันธุ์เจ้าทุกตระกูลของแผ่นดินโลกจะได้รับพร”5
ด้วยศรัทธา เยาวชนชายและเยาวชนหญิงทุกคนมีความสามารถที่จะพูดในพระนามของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณ และ “ยืนเป็นพยานเกี่ยวกับ [พระองค์] ทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่ง”6
วันนี้ขอให้เราพิจารณาว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นได้บ้างในชั้นเรียนเซมินารีและสถาบันเพื่อช่วยให้อนุชนรุ่นหลังเป็นสักขีพยานของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขามีความปรารถนาจะทำเช่นนั้นแน่นอน
ในเดือนพฤษภาคมของปีนี้ ในการเตรียมสำหรับรายการสนทนา Face to Face Facebook กับเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์และซูซาน ภรรยาของท่าน เยาวชนได้ส่งคำถามมากกว่า 11,000 คำถามจากทั่วโลก มีหลายคำถามเกี่ยวกับวิธีตอบเพื่อนและสมาชิกครอบครัว การแบ่งปัน สนับสนุน และปกป้องคำสอนเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระคริสต์ พวกเขาต้องการทราบว่าจะพูดอย่างไรและจะทำอย่างไร เอ็ลเดอร์เบดนาร์อธิบายว่าท่านและภรรยาไม่สามารถตอบทุกคำถาม โดยบอกว่าพวกท่านไม่ได้ฉลาดมากพอและไม่ได้มีประสบการณ์มากพอ แต่ท่านบอกเยาวชนว่าเมื่อพวกเขามีปฏิสัมพันธ์กัน โดยแสวงหาพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อน พวกเขาจะได้รับความคิดและความรู้สึก ความประทับใจและการดลใจโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์7
พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นครู เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ที่จะสอน เป็นพยาน และสักขีพยานถึงพระบิดาและพระบุตร8 และเปิดเผย “ความจริงของทุกเรื่อง”9 ช่างเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับเยาวชนที่จะรับความรู้อันแน่ชัดโดยพระวิญญาณว่าพระผู้เป็นเจ้าคือพระบิดาและพระองค์ทรงรู้จักพวกเขา รักพวกเขา และมีแผนอันรุ่งโรจน์สำหรับพวกเขา! ช่างเป็นพรอันยิ่งใหญ่สำหรับเยาวชนที่จะรับความรู้อันแน่ชัดโดยพระวิญญาณว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและโดยผ่านศรัทธาในพระองค์และการชดใช้ของพระองค์พวกเขาสามารถกลับใจและได้รับการชำระจากบาปทั้งปวง การรักษาจากความเจ็บปวดและการทนทุกข์ทุกอย่าง และทำให้พวกเขาสามารถเติบโต ก้าวหน้า และได้รับจุดหมายปลายทางแห่งสวรรค์ของตน! พระวิญญาณเป็นภาษาแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า เราสั่งสอนพระกิตติคุณโดยพระวิญญาณเพื่อเยาวชนชายและเยาวชนหญิงจะได้รับโดยพระวิญญาณ10 เพื่อพวกเขาจะเห็น รู้สึก รู้จัก และกล่าวคำพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดและยืนเป็นสักขีพยานดังที่ศาสดาพยากรณ์ได้พยากรณ์ไว้11
พี่น้องที่รัก ดิฉันยังต้องเรียนรู้อีกมากถึงการสอนและการเรียนรู้ แต่ดิฉันรู้สิ่งนี้: ศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้และผู้เปิดเผยในสมัยปัจจุบันแสดงให้เราเห็นว่าเราสามารถสอนและเรียนรู้ด้วยกันกับพลังอำนาจแห่งการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ยิ่งใหญ่กว่าและเพื่อจุดประสงค์ที่สำคัญกว่า ไม่นานมานี้ที่ศูนย์อบรมผู้สอนศาสนาในโพรโว ยูทาห์ ดิฉันเฝ้าสังเกตอัครสาวกของพระเจ้าประยุกต์ใช้หลักธรรมเกี่ยวกับการสอนและการเรียนรู้ที่นำพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้พูดกับหัวใจและความคิดของบรรดาประธานคณะเผยแผ่และภรรยาของท่าน ให้แต่ละคนและเป็นส่วนตัวเพื่อตอบคำถามและให้การดลใจกลั่นลงมาสู่พวกเขาเพื่อตอบสนองความต้องการของพวกเขา ผู้นำศาสนจักรไม่ได้เพียงยืนที่แท่นพูดเพื่อพูด ซึ่งอาจเหมาะสมอย่างแน่นอนในบางบริบท พวกท่านแสดงรูปแบบที่พระเจ้าทรงจัดตั้งไว้สำหรับการเรียนรู้ “โดยการศึกษาและโดยศรัทธาด้วย”12 พระเจ้าทรงรับสั่งว่า “จงกำหนดผู้สอนในบรรดาพวกเจ้า, และอย่าให้ทุกคนเป็นผู้พูดพร้อมกัน; แต่ให้พูดทีละคนและให้ทุกคนฟังคำกล่าวของเขา, เพื่อว่าเมื่อทุกคนพูดเพื่อทุกคนจะรับการจรรโลงใจจากทุกคน, และเพื่อมนุษย์ทุกคนจะมีอภิสิทธิ์เท่าเทียมกัน.”13
เจตนาของการเรียนรู้ดังที่พระเจ้าทรงอธิบายคือการเชื้อเชิญพระวิญญาณเป็นผู้สอนเพื่อว่าเยาวชนของเราจะได้รับการดลใจด้วยคำตอบต่อคำถามของพวกเขาและให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ “ทรงแสดงแก่ [พวกเขา] ถึงสิ่งทั้งปวงที่ [พวกเขา] ควรทำ”14
1. เตรียมตัวเรียนรู้
ประการแรก เตรียมตัวเรียนรู้ สิ่งที่เราทำส่วนใหญ่ในชีวิตจำเป็นต้องมีการเตรียมตัวล่วงหน้า เพื่อได้รับการศึกษานิรันดร์ เราควรทำมากกว่าการมาเรียนในชั้นเรียน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนผู้คนชาวนีไฟว่าพวกเขาต้องไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์และสวดอ้อนวอนเพื่อได้รับความเข้าใจ15 สมัยที่ท่านยังเด็ก โจเซฟ สมิธเห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ในนิมิตเพราะว่าท่านค้นพระคัมภีร์และไตร่ตรองพระคำนั้น “ครั้งแล้วครั้งเล่า”16 โจเซฟ เอฟ. สมิธ ได้รับนิมิตเรื่องการไถ่คนตายเพราะว่าท่านไตร่ตรองข้อพระคัมภีร์ที่ท่านได้อ่านและศึกษา17
แม้ก่อนเข้าชั้นเรียน เราเชื้อเชิญนักเรียนให้สวดอ้อนวอนและไตร่ตรองพระวจนะของพระคริสต์ เพื่อให้ความคิดและจิตใจพวกเขาเตรียมรับความรู้โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าตรัสว่า “แต่ก่อนอื่น จงหมายมั่นให้ได้คำของเรา, และจากนั้นเราจะปลดปล่อยลิ้นของเจ้า; จากนั้น, หากเจ้าปรารถนา, เจ้าจะมีพระวิญญาณของเราและคำของเรา, แท้จริงแล้ว, อำนาจของพระผู้เป็นเจ้าในการสร้างความเชื่อมั่นแก่มนุษย์.”18
2. ปฏิสัมพันธ์เพื่อจรรโลงใจกัน
ประการที่สอง ปฏิสัมพันธ์เพื่อจรรโลงใจกัน โดยให้โอกาสในการมีส่วนร่วมในห้องเรียน เราเปิดโอกาสให้เยาวชนพูด เมื่อพวกเขาเรียนรู้ด้วยกันจากถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ ตอบคำถามที่เกิดจากการดลใจ สนทนาความคิดและความประทับใจของพวกเขา และตอบคำถามและความกังวลของเพื่อนร่วมชั้นเรียน พระวิญญาณของพระเจ้าจะทำให้ความนึกคิดของพวกเขาสว่างและขยายความเข้าใจ19 พวกเขาเรียนรู้ที่จะพูดในพระนามของพระเจ้า “ด้วยความระมัดระวัง, และโดยการบีบคั้นของพระวิญญาณ”20 การแบ่งปันสิ่งที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงสอนช่วยพวกเขาเอาชนะความกลัวและเพิ่มความเข้มแข็งแก่กันในการปกป้องมาตรฐานสูงทางศีลธรรมและความชอบธรรม พวกเขาเตรียมตอบคนเหล่านั้นที่จะสงสัยในศรัทธาของพวกเขา ล้อเลียนพวกเขา หรือกล่าวหาพวกเขาว่าเป็นคนหัวโบราณหรือจิตใจคับแคบ
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีหลายครั้งเพียงใดในพระคัมภีร์ที่ศาสดาพยากรณ์ซึ่งได้รับเรียกใหม่รู้สึกไม่มีความสามารถในการพูด เอโนคประกาศว่า “ข้าพระองค์ … เป็นเพียงคนหนุ่ม, และผู้คนทั้งปวงเกลียดชังข้าพระองค์”21 แต่พระเจ้าดูจะไม่ทรงกังวลเกี่ยวกับความอ่อนแอหรืออุปสรรค พระองค์ตรัสตอบว่า “จงออกไปและทำดังที่เราบัญชาเจ้า…จงอ้าปากของเจ้า, และเราจะเติมให้เต็ม, และเราจะให้เจ้าเอ่ยปาก”22
พระเจ้าทรงคาดหวังให้ทุกคนที่รักษาพันธสัญญายืนเป็นสักขีพยานของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “จงอ้าปากของพวกเจ้าและเราจะเติมให้เต็ม, และเจ้าจะเป็นแม้ดังนีไฟในสมัยโบราณ”23
เกี่ยวกับนีไฟในสมัยโบราณ บิดาลีไฮอธิบายว่า “มิใช่เขา, แต่เป็นพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งอยู่ในเขา, ที่เปิดปากเขาให้เอ่ยวาจาซึ่งเขาปิดไว้ไม่ได้”24
นอกจากในบ้านแล้ว อาจไม่มีสถานที่ใดที่ดีในการส่งเสริมให้เยาวชนพูดในนามของพระเจ้า “ในความสำรวมแห่งใจ, ในวิญญาณแห่งความอ่อนโยน”25 มากไปกว่าการพูดกับเพื่อนในชั้นเรียนเซมินารีและสถาบัน เราเชื้อเชิญพวกเขาให้มีปฏิสัมพันธ์เพื่อจรรโลงใจกันเพื่อพวกเขาจะ “เตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของ [พวกเขา]”26
3. เชื้อเชิญให้ปฏิบัติ
ประการที่สาม เชื้อเชิญให้ปฏิบัติ การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณทำให้คำพูดซึ่งกล่าวโดยเยาวชนชายหรือหญิงดังก้องด้วยความจริง การเชื้อเชิญให้ปฏิบัติเป็นการเชื้อเชิญให้รักษาพันธสัญญาเพื่อติดตามพระผู้ช่วยให้รอด และปฏิบัติโดย “ไม่ทำการหน้าซื่อใจคดและการหลอกลวงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า”27 เป็นการเชื้อเชิญต่อเยาวชนของเราให้ตอบสนองต่อการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณและประยุกต์ใช้หลักธรรมพระกิตติคุณในทางปฏิบัติ พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า คนนั้นก็จะรู้คำสอนนี้”28 เพื่อเป็นพยานของพระผู้เป็นเจ้า เยาวชนของเราต้องดำเนินชีวิตสอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขารู้
เช่นเดียวกับท่าน ข้าพเจ้าเฝ้าสังเกตศรัทธาของเยาวชนของเราผู้เข้าใจความหมายของ “การทุ่มเท … และ ทำสิ่งสารพัน … และทำให้เกิดความชอบธรรมยิ่ง”29 ตัวอย่างหนึ่งมีอยู่ในการเดินขบวนรถลากผู้บุกเบิกที่ข้าพเจ้าได้เข้าร่วมไม่นานมานี้
เยาวชนลากรถลากไปตามทางระยะหนึ่งของผู้บุกเบิกดั้งเดิมในไวโอมิง สหรัฐอเมริกา พวกเขาไปถึงกราเวล ฮิลล์ “ทางลงที่ยาวที่สุดและชันที่สุด…ตั้งแต่ [ออกจาก] วินเทอร์ควอร์เตอร์ส”30 หลายปีก่อนหน้านั้น ในวันที่ 9 กรกฎาคม 1847 กลุ่มรถลากของผู้บุกเบิกแรกของบริคัม ยังก์ใส่โซ่หนาใหญ่ไว้ที่ล้อของรถลากเพื่อหยุดรถไม่ให้คว่ำเพื่อจะลงมา แต่สำหรับครอบครัวเยาวชนผู้บุกเบิกที่ลากจูงรถลากในวันนั้น สมาชิกสองสามคนของกลุ่มนำทางรถลากข้างหน้าขณะที่เกือบทุกคนในกลุ่มต้องเกาะข้างหลังไว้เพื่อดึงไม่ให้ไหลลงมาบนทางลงลาดชันจนควบคุมไม่ได้
เป็นสิ่งที่น่ากลัว การก้าวเดินไม่มั่นคงและเฉไปมา และการเกาะรถลากเหล่านั้นต้องใช้แรงทั้งหมดที่พวกเขามี ดิฉันช่วยอะไรไม่ได้ ดิฉันจึงได้แต่ยืนเฝ้าดูอยู่ข้างล่างเนินเขา พร้อมกับสวดอ้อนวอนในใจอย่างไม่หยุดหย่อนให้ทุกอย่างผ่านไปด้วยดี
หลังจากสะดุดหินก้อนใหญ่ รถลากคันแรกก็ลงมาได้อย่างปลอดภัย ขณะที่ดิฉันหันไปดูรถลากคันที่กำลังลงถัดมา ดิฉันเห็นเยาวชนชายสี่คนวิ่งผ่านดิฉันขึ้นไปข้างบนเนินเขา น้ำตาดิฉันเอ่อล้นและหัวใจดิฉันพองโตด้วยความขอบคุณเมื่อดิฉันตระหนักว่าทันทีที่รถลากของพวกเขามาถึงข้างล่างอย่างปลอดภัย โดยไม่พูดสักคำเดียว เยาวชนชายที่ซื่อสัตย์เหล่านี้วิ่งกลับไปช่วยคันถัดมา พวกเขาช่วยนำเอารถลากทุกคันลงมาข้างล่างอย่างปลอดภัยครั้งแล้วครั้งเล่า ความพยายามของพวกเขาเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นหลายคนทำเช่นเดียวกัน และไม่นานนัก รถลากทุกคันเดินทางกลับไปที่ตั้งค่ายตอนเย็น
สิ่งที่เยาวชนของเราไม่ได้ตระหนักคือแบบอย่างอันชอบธรรมของพวกเขาที่กราเวล ฮิลล์และตัวอย่างของประจักษ์พยานอื่นๆ มากมายตามทาง ทั้งในคำพูดและการกระทำ เป็นพยานต่อเด็กหนุ่มคนหนึ่งซึ่งไม่ใช่สมาชิกของศาสนจักรเรา แจ็คแบ่งปันว่าเมื่อเขาร่วมขบวนรถลาก เขาเรียนรู้ว่ามอรมอนไม่ใช่คนหน้าซื่อใจคดอย่างที่คิด เขาเห็นและรู้สึกได้ว่าพวกเขาจริงใจ พวกเขาดำเนินชีวิตตามที่พวกเขาเชื่อ แจ็ครู้สึกถึงพระวิญญาณ และวางแผนจะเรียนบทเรียนผู้สอนศาสนา
เยาวชนของเราไม่จำเป็นต้องนำทางรถลากลงเนินเขาที่เต็มไปด้วยหินเพื่อเป็นสักขีพยานของพระผู้เป็นเจ้า แต่พวกเขาเผชิญอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่เมื่อพยายามอย่างกล้าหาญที่จะยืนหยัดเพื่อความจริงและความชอบธรรม ครูสอนในชั้นเรียนสามารถช่วยเยาวชนชายหญิงทุกคนใช้ศรัทธาในพระคริสต์และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ช่วยพวกเขาเตรียมเรียนรู้โดยดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ มีปฏิสัมพันธ์เพื่อจรรโลงใจกันโดยกล่าวพระวจนะของพระคริสต์ และเชื้อเชิญให้ปฏิบัติโดยเชื่อฟังพระวจนะของพระคริสต์เพื่อพวกเขาจะเปี่ยมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า และโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาจะเป็นสักขีพยานของพระคริสต์ผู้จะพูดสิ่งที่พระองค์จะตรัส ทำสิ่งที่พระองค์จะทรงกระทำ และเป็นแม้อย่างที่พระองค์ทรงเป็น
ดิฉันเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเราและความรักของพระองค์ที่มีต่อเราแต่ละคนสมบูรณ์ดีพร้อม ดิฉันเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ และความรักของพระองค์ที่มีต่อเราสมบูรณ์ดีพร้อม ดิฉันเป็นพยานว่าในความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อม พระบิดาและพระบุตรทรงปรากฏต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธและฟื้นฟูกฎและศาสนพิธีของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์สู่โลก ประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริงซึ่งนำศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายในวันนี้ ดิฉันเป็นพยานว่าเมื่อเราใช้ศรัทธาในพระคริสต์และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราทั้งหมดจะยืนเป็นสักขีพยานของพระองค์ด้วยกัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน
© 2015 โดย Intellectual Reserve, Inc. สงวนสิทธิ์ทุกประการ English approval 6/15. Translation approval: 6/15. การแปล “Ye Are My Witnesses.” Thai PD10054335 425