วางใจในพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่หวั่นไหว
หากศรัทธาของเราแน่วแน่และไม่หวั่นไหว พระเจ้าจะเพิ่มพูนความสามารถให้เราอยู่เหนือความท้าทายของชีวิต
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าต้องการเริ่มข่าวสารโดยการเป็นพยานว่าข้าพเจ้ารู้ว่าประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าในปัจจุบัน และตามจริงแล้วที่ปรึกษาของท่านในฝ่ายประธานสูงสุดและอัครสาวกสิบสองเป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ ผู้เปิดเผยเช่นกัน พวกท่านเป็นตัวแทนของพระเจ้าพระเยซูคริสต์และมีสิทธิ์ในการประกาศพระดำริและพระประสงค์ตามพวกท่านได้รับการเปิดเผย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเราจะปลอดภัยหากเราทำตามคำแนะนำของพวกท่าน พระเจ้าทรงดลใจพวกท่านให้เน้นย้ำถึงการเสริมสร้างศรัทธาของเราในพระบิดาบนสวรรค์และในพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ และในการชดใช้ของพระองค์เพื่อเราจะไม่หวั่นไหวขณะเผชิญการท้าทายในวันเวลาของเรา
ในพระคัมภีร์มอรมอน เราเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกับชายที่ชื่อแอมันผู้ถูกส่งจากดินแดนแห่งเซราเฮ็มลาไปยังแผ่นดินแห่งลีไฮ-นีไฟเพื่อสอบถามเกี่ยวกับ พี่น้องของเขา ที่นั่นแอมันพบกษัตริย์ลิมไฮและผู้คนของท่านซึ่งตกเป็นทาสของชาวเลมัน กษัตริย์ลิมไฮมีกำลังใจจากสิ่งที่แอมันแบ่งปันกับเขาเกี่ยวกับผู้คนในเซราเฮ็มลา ใจของเขาเปี่ยมด้วยความความหวังและปีติอย่างยิ่งจนท่านรวบรวมผู้คนของท่านที่พระวิหารและกล่าวกับพวกเขาว่า
“ฉะนั้น, จงเงยหน้าขึ้น, และชื่นชมยินดีเถิด, และมอบความไว้วางใจของท่านในพระผู้เป็นเจ้า …
“… หากท่านจะหันมาสู่พระเจ้าด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว, …และรับใช้พระองค์ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสุดความสามารถแห่งจิตใจ, … พระองค์จะทรง, ปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความเป็นทาส, ตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์”1
ถ้อยคำของแอมันมีผลอย่างลึกซึ้งต่อศรัทธาของผู้คนของกษัตริย์ลิมไฮจนพวกเขาทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าที่จะรับใช้พระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก เพราะศรัทธาของพวกเขา พวกเขาจึงวางแผนเพื่อ หลบหนีจากเงื้อมมือชาวเลมัน2
พี่น้องทั้งหลาย โปรดพิจารณาความสำคัญของการเชื้อเชิญที่กษัตริย์ลิมไฮให้แก่ผู้คนของท่านและความเกี่ยวเนื่องกับเรา ท่านกล่าวว่า “จงเงยหน้าขึ้น, และชื่นชมยินดีเถิด, และมอบความไว้วางใจของท่านในพระผู้เป็นเจ้า” จากถ้อยคำเหล่านี้ ลิมไฮเชื้อเชิญผู้คนของท่านให้มองไปยังอนาคตผ่านดวงตาแห่งศรัทธา ให้แทนที่ความกลัวด้วยการมองในแง่ดีถึงความหวังที่เกิดจากศรัทธา และไม่หวั่นไหวในการวางใจในพระผู้เป็นเจ้าโดยไม่คำนึงถึงสภาวการณ์
ชีวิตมรรตัยเป็นช่วงเวลาของการทดสอบที่จะพิสูจน์ว่าเราจะทำสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเราจะทรงบัญชาเราหรือไม่3 สิ่งนี้จะต้องมีศรัทธาอันไม่หวั่นไหวในพระคริสต์แม้ในเวลาที่ยากลำบากยิ่ง และเรายังต้องมุ่งหน้าด้วยความแน่วแน่ในศรัทธาในพระคริสต์ รับการนำทางจากพระวิญญาณ และวางใจว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงจัดหาให้ตามความจำเป็นของเรา4
ในช่วงสุดท้ายของการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกของพระผู้ช่วยให้รอด ก่อนทรงถูกจับ พระองค์ทรงสอนสานุศิษย์ของพระองค์ว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”5
ขอให้ไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยกันสักครู่—พระเยซูคริสต์พระบุตรพระองค์เดียวของพระบิดา ดำเนินพระชนม์ชีพโดยไร้บาปและเอาชนะทุกการล่อลวง ความเจ็บปวด การท้าทาย และความทุกข์ของโลก พระองค์ทรงหลั่งพระโลหิตในสวนเกทเสมนี พระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดที่เลวร้ายเกินกว่าจะพรรณนาได้ พระองค์ทรงรับความเจ็บปวดและความป่วยไข้ของเราไว้ พระองค์ทรงพร้อมจะช่วย—ช่วยเราแต่ละคน—ในภาระทุกอย่าง โดยผ่านพระชนม์ชีพ การทนทุกขเวทนา ความตาย และการฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงนำทุกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการชื่นชมยินดีและการพบสันติสุขบนโลกนี้ของเราออกไป ผลของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เผื่อแผ่มาถึงทุกคนที่ยอมรับพระองค์และปฏิเสธตนเอง และคนที่รับกางเขนของพระองค์และติดตามพระองค์เป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระองค์6 ดังนั้น เมื่อเราใช้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์และในการชดใช้ของพระองค์ เราจะแข็งแกร่งขึ้น ภาระของเราจะเบาลง และโดยผ่านพระองค์เราจะเอาชนะโลก
พี่น้องทุกท่าน เมื่อเราใคร่ครวญถึงความเข้มแข็งและความหวังที่เราจะรับจากพระผู้ช่วยให้รอดได้ เรามีเหตุผลที่จะเงยหน้า ชื่นชมยินดี และมุ่งไปข้างหน้าด้วยศรัทธาโดยไม่สงสัย “เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา … เขาเป็นคนสองจิตสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางของตน”7
ในทำนองเดียวกัน กษัตริย์ลิมไฮกระตุ้นว่า “หันมาสู่พระเจ้าด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยว, … และรับใช้พระองค์ด้วยความขยันหมั่นเพียรจน สุด ความสามารถแห่งจิตใจ, หากท่านทำเช่นนี้, พระองค์จะทรง, ปลดปล่อยท่านให้พ้นจากความเป็นทาส, ตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์”8
ฟังพระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดขณะที่พระองค์ตรัสกับเรา:
“อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย …
“ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา …
“ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเรา และคนที่รักเรานั้นพระบิดาของเราจะทรงรักเขา และเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”9
พระผู้เป็นเจ้าประทานพรเราตามศรัทธาของเรา10 ศรัทธาเป็นบ่อเกิดของการดำเนินชีวิตด้วยจุดประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์และมุมมองนิรันดร์ ศรัทธาเป็นหลักธรรมที่ใช้ได้จริงซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดความความพากเพียร ศรัทธาเป็นพลังสำคัญยิ่งที่ดำรงอยู่และจะแสดงออกในเจตคติแง่บวกและความปรารถนาอย่างเต็มใจที่จะทำทุกอย่างที่พระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ทรงขอให้เราทำ ศรัทธานำให้เราคุกเข่าสวดอ้อนวอนเพื่อวิงวอนพระเจ้าในการนำทางและลุกขึ้นทำทุกสิ่งที่สอดคล้องกับพระประสงค์ด้วยความมั่นใจ
หลายปีก่อนขณะรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากผู้ปกครองของผู้สอนศาสนาที่เรารักแจ้งเกี่ยวกับการตายของน้องสาวของเขา ข้าพเจ้าจำได้ถึงความอ่อนโยนในช่วงเวลานั้น ผู้สอนศาสนาคนนั้นกับข้าพเจ้าสนทนาเกี่ยวกับแผนแห่งความรอดอันน่าอัศจรรย์สำหรับบุตรธิดาของพระองค์และเกี่ยวกับความรู้นี้ว่าจะปลอบประโลมเขาได้อย่างไร
ถึงแม้เขาตกใจและเศร้าโศกจากความทุกข์ ผู้สอนศาสนาคนนี้—ทั้งน้ำตาและด้วยศรัทธาของเขาในพระผู้เป็นเจ้า—ชื่นชมยินดีกับชีวิตของน้องสาว เขาแสดงความเชื่อมั่นอย่างไม่สั่นคลอนในพระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระเจ้า เขากล่าวกับข้าพเจ้าอย่างกล้าหาญว่าเขาจะยังคงรับใช้งานเผยแผ่ด้วยความขยันหมั่นเพียรและศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมเพื่อให้มีค่าควรต่อคำสัญญาที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อเขาและครอบครัว ในช่วงเวลายากลำบากนี้ ผู้สอนศาสนาที่ซื่อสัตย์คนนี้หันใจไปที่พระผู้เป็นเจ้า ให้ความวางใจทั้งหมดในพระองค์ และให้คำมั่นสัญญาอีกครั้งว่าจะรับใช้พระเจ้าด้วยศรัทธาและด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสุดความสามารถ
พี่น้องทั้งหลาย หากเราไม่หยั่งรากด้วยความวางใจแน่วแน่ในพระผู้เป็นเจ้าและด้วยความปรารถนาจะรับใช้พระองค์ ประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดของชีวิตมรรตัยสามารถทำให้เรารู้สึกราวกับว่าเราแบกภาระด้วยแอกอันหนักอึ้ง และเราจะสูญเสียแรงจูงใจในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณอย่างเต็มที่ได้ โดยปราศจากศรัทธา เราจะลงเอยด้วยการสูญเสียความสามารถในการชื่นชมแผนเหล่านั้นของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งจะมาถึงชีวิตเราในภายหน้า11
ในช่วงเวลาแห่งการทดลองนี้ เหล่าปฏิปักษ์—ที่คอยจ้องมองอยู่—พยายามใช้ตรรกะและเหตุผลสู้กับเรา เขาพยายามให้เราเชื่อว่าการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมพระกิตติคุณนั้นไร้ประโยชน์ พึงระลึกว่าตรรกะของความเป็นมนุษย์ปุถุชน “จะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่”12 จงจำไว้ว่าซาตาน “เป็นศัตรูกับพระผู้เป็นเจ้า, และ[เขา]ต่อสู้กับพระองค์ตลอดเวลา, และเชื้อเชิญและชักจูงให้[เรา]ทำบาป, และให้ทำสิ่งที่ชั่วตลอดเวลา”13 เราต้องไม่ยอมให้ซาตานหลอกลวงเรา เมื่อเรายอม เราไม่มั่นคงในศรัทธาและสูญเสียพลังที่จะได้รับพรของพระผู้เป็นเจ้า
หากศรัทธาของเราแน่วแน่และไม่หวั่นไหว พระเจ้าจะเพิ่มพูนความสามารถให้เราอยู่เหนือความท้าทายของชีวิต เราจะสามารถเอาชนะแรงกระตุ้นทางลบและจะพัฒนาความสามารถในการเอาชนะได้ แม้ว่าจะดูเหมือนมีอุปสรรคครอบงำ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผู้คนของกษัตริย์ลิมไฮหนีจากการเป็นเชลยชาวเลมันได้อย่างน่าทึ่ง
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญให้ท่านวางใจในพระผู้เป็นเจ้าและในคำสอนของศาสดาพยากรณ์ของพระองค์อย่างเต็มที่ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านให้ต่อพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า เพื่อรับใช้พระองค์ด้วยสุดใจของท่าน แม้ในสภาวการณ์ที่ซับซ้อนของชีวิต ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าโดยพลังแห่งศรัทธาอย่างไม่หวั่นไหวของท่านในพระคริสต์ ท่านจะเป็นอิสระจากการเป็นเชลยของบาป ความสงสัย ความไม่เชื่อ ความทุกข์ ความทุกข์ยาก และท่านจะได้รับพรทั้งหมดที่สัญญาไว้จากพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยรัก
ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่จริง พระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ทรงฟังคำสวดอ้อนวอนของเราในช่วงเวลาแห่งความสุขของเราและในช่วงเวลาแห่งความสงสัย ความโศกเศร้า และความสิ้นหวังของเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่
ข้าพเจ้าสรุปคำปราศรัยวันนี้กับเนื้อร้องของเพลงสวด “Not Now but in the Coming Years,” อยู่ในเพลงสวดภาษาโปรตุเกส:
หากเมฆแทนที่ดวงอาทิตย์แผ่เงาทั่วใจเรา
หากเจ็บปวดรวดร้าว ไม่เป็นไร ไม่นานจะรู้จักพระองค์
เยซูจูงมือเรา และจะทรงบอกเหตุผลแก่เรา
หากเราฟัง พระองค์จะทรงบอกเราเมื่อเวลาผ่านไป
วางใจพระเจ้าไม่หวั่นไหว และให้พระองค์ทรงช่วยเหลือ
ร้องเพลงสวรรค์ไม่รู้จบ เพราะพระองค์จะทรงเฉลยไข14
ข้าพเจ้ากล่าวทั้งหมดนี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน