2010–2019
พระหัตถ์พระองค์นำทางทุกวัน
เมษายน 2017


NaN:NaN

พระหัตถ์พระองค์นำทางทุกวัน

พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบสิ่งที่ท่านและข้าพเจ้าต้องการมากกว่าใคร

เครื่องมือที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักมากสุดอย่างหนึ่งในการนำทางลูกๆ ของพระองค์คือปู่ย่าตายายที่ชอบธรรม คุณย่าของข้าพเจ้าเป็นเช่นนั้น ครั้งหนึ่งเมื่อข้าพเจ้ายังเด็กเกินกว่าจะจำความได้ คุณพ่อลงโทษข้าพเจ้า พอคุณย่าเห็น ท่านพูดว่า “มอนเต แม่คิดว่าลูกลงโทษเขาแรงเกินไป”

คุณพ่อตอบว่า “แม่ครับ ผมจะลงโทษลูกผมอย่างที่ผมต้องการ”

คุณย่าที่ชาญฉลาดพูดอย่างนุ่มนวลว่า “งั้นแม่จะทำอย่างนั้นบ้าง”

ข้าพเจ้ามั่นใจว่าคุณพ่อได้ยินคำแนะนำที่ชาญฉลาดของคุณแม่ของท่านวันนั้น

เมื่อนึกถึงคำแนะนำดังกล่าว เราน่าจะนึกถึงเพลงสวดที่เราทุกคนรักและรู้จัก—“ฉันลูกพระผู้เป็นเจ้า” ในสร้อยเพลงเราอ่านได้ว่า “พาฉัน นำฉัน เดินเคียงข้างฉัน ช่วยฉันให้พบทาง”1

ข้าพเจ้าเพิ่งเข้าใจเมื่อไม่นานมานี้ว่าสร้อยเพลงเป็นแนวทางสำหรับบิดามารดา ขณะไตร่ตรองเนื้อร้องเหล่านั้น ข้าพเจ้าตระหนักว่าแม้จะมีแนวทางในนั้น แต่ก็มีความหมายสำคัญกว่านั้นมาก เราแต่ละคนอ้อนวอนทุกวันขอให้พระบิดาบนสวรรค์นำเรา พาเรา และเดินเคียงข้างเรา

ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟอธิบายว่า “พระบิดาในสวรรค์ทรงทราบความต้องการของบุตรธิดาของพระองค์มากกว่าใคร งานและรัศมีภาพของพระองค์คือช่วยเราตลอดเวลา โดยประทานแหล่งช่วยอันน่าอัศจรรย์ทางโลกและทางวิญญาณไว้ช่วยเราบนเส้นทางกลับไปหาพระองค์”2

ลองฟังถ้อยคำเหล่านี้ พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบสิ่งที่ท่านและข้าพเจ้าต้องการมากกว่าใคร ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงทรงจัดเตรียมชุดเอื้ออาทรส่วนตัวที่เหมาะกับเราแต่ละคน ในนั้นมีส่วนประกอบมากมาย รวมทั้งพระบุตรของพระองค์และการชดใช้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ พระบัญญัติ พระคัมภีร์ การสวดอ้อนวอน ศาสดาพยากรณ์ อัครสาวก บิดามารดา ปู่ย่าตายาย ผู้นำศาสนจักรในท้องที่ และอีกมากมาย—ไว้ช่วยให้เรากลับไปอยู่กับพระองค์วันหน้า

วันนี้ข้าพเจ้าขอแบ่งปันส่วนประกอบบางอย่างของชุดเอื้ออาทรที่ทำให้ข้าพเจ้ารับรู้ว่าพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักทรงพานำ และเดินเคียงข้างข้าพเจ้าและครอบครัว ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ท่านรับรู้ในประสบการณ์ของท่านว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงพา นำ และเดินเคียงข้างท่าน และด้วยความรู้นั้นท่านจะเดินหน้าด้วยความมั่นใจ โดยรู้ว่าท่านไม่มีวันโดดเดี่ยว

พระบัญญัติของพระบิดาบนสวรรค์เป็นส่วนประกอบหลักของชุดเอื้ออาทร แอลมาประกาศว่า “ความชั่วร้ายไม่เคยเป็นความสุขเลย”3 การยอมรับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมโดยไม่ลงโทษด้วยความรักคือความสงสารผิดวิธีและส่งเสริมความคิดทั่วไปที่ว่าความชั่วร้ายอาจจะเป็นความสุขก็ได้ แซมิวเอลชาวเลมันแย้งความคิดนี้อย่างเห็นได้ชัด “ท่านแสวงหาความสุขด้วยการทำความชั่วช้าสามานย์, ซึ่งสิ่งนั้นตรงกันข้ามกับธรรมชาติของความชอบธรรมนั้นซึ่งอยู่ในพระประมุขนิรันดร์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา”4

โดยผ่านศาสดาพยากรณ์ พระบิดาบนสวรรค์ทรงเตือนเราเสมอว่าความชอบธรรมคือความสุข ตัวอย่างเช่น กษัตริย์เบ็นจามินสอนว่าพระบิดาบนสวรรค์ “ทรงเรียกร้องให้ท่านทำดังที่พระองค์ทรงบัญชาท่าน; เพราะโดยการนี้หากท่านทำ, พระองค์ย่อมประทานพรให้ท่านโดยทันที”5 คำเตือนสติคล้ายกันมาจากเพลงสวดอีกเพลง

รักษาพระบัญญัติ รักษาพระบัญญัติ!

ในนี้มีความปลอดภัย ในนี้มีสันติ

พระองค์จะส่งพร6

ราววันเกิดปีที่ 14 ข้าพเจ้าเรียนรู้พรบางประการเหล่านี้ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นพ่อแม่ทำตัวแปลกๆ ข้าพเจ้าจึงถามว่า “เราจะรับใช้งานเผยแผ่หรือครับ” สีหน้าตกใจของคุณแม่ยืนยันความสงสัยของข้าพเจ้า ต่อมาในสภาครอบครัว ข้าพเจ้ากับพี่น้องทราบว่าพ่อแม่ได้รับเรียกให้ไปเป็นประธานคณะเผยแผ่

เราอยู่ที่ฟาร์มปศุสัตว์สวยงามในไวโอมิง ข้าพเจ้ามองว่าชีวิตสมบูรณ์แบบ ข้าพเจ้าสามารถไปโรงเรียน กลับบ้าน ทำงานบ้าน ออกไปล่าสัตว์ ตกปลา ไม่ก็ออกสำรวจกับสุนัข

ไม่นานหลังจากทราบการเรียกนี้ ข้าพเจ้ารู้ว่าจะต้องยกบลู สุนัขของข้าพเจ้าให้คนอื่น ข้าพเจ้ามองหน้าคุณพ่อและถามว่าข้าพเจ้าควรทำอะไรกับบลู ข้าพเจ้าต้องการเน้นความอยุติธรรมของสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกร้อง ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมคำตอบของท่าน ท่านพูดว่า “พ่อไม่แน่ใจ เจ้าบลูอาจจะไปกับเราไม่ได้ ลูกน่าจะทูลถามพระบิดาบนสวรรค์นะ” นั่นไม่ใช่คำตอบที่ข้าพเจ้าคาดหวัง

ข้าพเจ้าเริ่มอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้รู้ว่าต้องยกสุนัขให้คนอื่นไหม คำตอบไม่ได้มาทันที แต่ความคิดหนึ่งทิ่มแทงใจข้าพเจ้าตลอด “อย่าเป็นภาระของพ่อแม่ อย่าเป็นภาระ เราเรียกพ่อแม่เจ้า”

ข้าพเจ้ารู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงเรียกร้องสิ่งใด ความรู้นั้นไม่ได้ลดความเจ็บปวดของการยกสุนัขให้คนอื่น แต่การเสียสละเล็กน้อยนี้ทำให้ใจข้าพเจ้าอ่อนลงและพบสันติในการแสวงหาพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์

ข้าพเจ้าขอบพระทัยพระบิดาบนสวรรค์สำหรับพรและความสุขที่ข้าพเจ้าพบผ่านพระคัมภีร์ การสวดอ้อนวอน พระวิญญาณบริสุทธิ์ และบิดาทางโลกที่มีค่าควรผู้น้อมรับบทบาทการเป็นครูสอนหลักธรรมพระกิตติคุณของลูกๆ สิ่งเหล่านั้นพาข้าพเจ้า นำข้าพเจ้า และแม้เดินเคียงข้างข้าพเจ้าเพื่อช่วยให้ข้าพเจ้าพบทาง—โดยเฉพาะเมื่อข้าพเจ้าต้องทำสิ่งยากๆ

นอกจากจะมีส่วนประกอบของชุดเอื้ออาทรที่ข้าพเจ้ากล่าวถึงแล้ว เราแต่ละคนได้รับพรให้มีผู้นำฐานะปุโรหิตคอยพาและนำเราด้วย

ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์กล่าวว่า “อธิการได้รับการดลใจ! เราแต่ละคนมีสิทธิ์เสรีที่จะยอมรับหรือปฏิเสธคำแนะนำจากผู้นำ แต่อย่าเพิกเฉยคำแนะนำของอธิการ ไม่ว่าคำแนะนำนั้นจะให้ผ่านแท่นพูดหรือเป็นส่วนตัว”7

บุรุษเหล่านี้พยายามเป็นตัวแทนของพระเจ้า ไม่ว่าเราอายุมากหรือน้อย เมื่อซาตานต้องการให้เราคิดว่าทุกอย่างสูญสิ้น อธิการอยู่นำท่านที่นั่น เมื่อพูดคุยกับอธิการ ข้าพเจ้าพบหัวข้อเดียวกันเกี่ยวกับการสารภาพเรื่องการไม่เชื่อฟังหรือการทนทุกข์จากความผิดที่ตนไม่ได้ก่อ อธิการต้องการแสดงความรักของพระบิดาบนสวรรค์ต่อบุคคลนั้นทันทีและปรารถนาจะเดินเคียงข้างเขาขณะหาทางกลับบ้าน

บางทีส่วนประกอบสำคัญสุดในชุดเอื้ออาทรของพระบิดาบนสวรรค์น่าจะอยู่ในถ้อยคำเหล่านี้ “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”8

เพื่อสอนทั้งหมดที่เราต้องทำ พระเยซูคริสต์ทรงนำทางโดยประทานแบบอย่างที่สมบูรณ์ให้เราพยายามเลียนแบบ พระองค์ทรงยื่นพระพาหุวิงวอนขอให้เรามาติดตามพระองค์9 และเมื่อเราล้มเหลว ซึ่งเราทุกคนจะล้มเหลว พระองค์ทรงเตือนเราว่า “เพราะดูเถิด, เรา, พระผู้เป็นเจ้า, ทนทุกข์กับสิ่งเหล่านี้เพื่อทุกคน, เพื่อพวกเขาจะได้ไม่ทนทุกข์หากพวกเขาจะกลับใจ”10

นั่นเป็นของประทานวิเศษสุด! การกลับใจไม่ใช่การลงโทษ แต่เป็นสิทธิพิเศษ สิทธิพิเศษที่พาเราและนำเรา ไม่แปลกที่พระคัมภีร์ประกาศว่าเราไม่ควรสอนอะไรเลยนอกจากการกลับใจ11

พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีแหล่งช่วยมากมาย แต่บ่อยครั้งทรงใช้อีกคนหนึ่งช่วยพระองค์ ทุกวันพระองค์ประทานโอกาสให้เราพา นำ และเดินเคียงข้างคนตกทุกข์ได้ยาก เราต้องทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด เราต้องทำงานของพระบิดาบนสวรรค์ด้วย

ในฐานะฝ่ายประธานเยาวชนชายสามัญ เรารู้ว่าเยาวชนได้รับพรเมื่อพวกเขามีพ่อแม่และผู้นำที่ทำแทนพระบิดาบนสวรรค์ในการพา นำ และเดินเคียงข้างพวกเขา หลักธรรมสามประการ12 ที่จะช่วยให้เราเป็นส่วนหนึ่งของชุดเอื้ออาทรของพระบิดาบนสวรรค์ให้แก่ผู้อื่นคือ

หนึ่ง อยู่กับเยาวชน ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์เน้นประเด็นนี้: “มีบางอย่างที่เราทำได้ซึ่งอาจจะสำคัญที่สุด แบบอย่างการดำเนินชีวิตตามหลักคำสอนของเรามีพลังยิ่งกว่าการใช้คำพูดในการสอนหลักคำสอน”13 การนำเยาวชนเรียกร้องให้อยู่กับพวกเขา เวลาที่ทุ่มเทเป็นการแสดงความรักที่ยอมให้เราสอนโดยคำพูดและแบบอย่าง

สอง เพื่อนำเยาวชนจริงๆ เราต้องเชื่อมโยงพวกเขากับสวรรค์ เวลามาถึงเสมอเมื่อแต่ละคนต้องยืนตามลำพัง พระบิดาบนสวรรค์เท่านั้นทรงสามารถอยู่นำทางเราทุกเวลาและในทุกแห่ง เยาวชนของเราต้องรู้วิธีแสวงหาการนำทางจากพระบิดาบนสวรรค์

สาม เราต้องให้เยาวชนนำ เหมือนพ่อแม่ที่จูงมือลูกวัยเตาะแตะให้หัดเดิน เราต้องปล่อยให้เยาวชนก้าวหน้า การให้เยาวชนนำเรียกร้องความอดทนและความรัก นั่นยากกว่าและใช้เวลามากกว่าเราทำเอง พวกเขาอาจสะดุดระหว่างทาง แต่เราเดินเคียงข้างพวกเขา

พี่น้องทั้งหลาย จะมีหลายครั้งในชีวิตเราเมื่อพรของการนำทางดูเหมือนห่างไกลหรือขาดแคลน สำหรับเวลาเช่นนั้น เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันสัญญาว่า “จงให้พันธสัญญาของท่านมาเป็นอันดับหนึ่งและเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด ท่านจึงจะสามารถทูลขอด้วยศรัทธาอันไม่หวั่นไหวตามความต้องการของท่าน และพระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบ พระองค์จะทรงค้ำจุนท่านขณะที่ท่านทำงานและเฝ้าดู ในเวลาและวิธีของพระองค์พระองค์จะทรงยื่นพระหัตถ์มาให้ท่านพลางตรัสว่า ‘เราอยู่นี่’”14

ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าทูลขอคำแนะนำจากพระบิดาบนสวรรค์ผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจและต่อเนื่องนานกว่าหนึ่งปีเพื่อหาทางออกให้กับสถานการณ์ยุ่งยากอย่างหนึ่ง ข้าพเจ้ารู้ตามหลักเหตุผลว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจทั้งหมด แต่วันหนึ่งข้าพเจ้าสิ้นหวังมากจนต้องเข้าพระวิหารพร้อมคำถามหนึ่งข้อว่า “พระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงห่วงใยจริงหรือ”

ข้าพเจ้านั่งด้านหลังของห้องรับแขกในพระวิหารโลแกน ยูทาห์ตอนที่วอห์น เจ. ฟีเธอร์สโตนประธานพระวิหารและเพื่อนสนิทของครอบครัวเราเข้ามาในห้องวันนั้น ข้าพเจ้าประหลาดใจ เขายืนหน้าห้องและต้อนรับเราทุกคน เมื่อเขาสังเกตเห็นข้าพเจ้า เขาหยุดพูด มองตาข้าพเจ้า แล้วพูดว่า “บราเดอร์บรัฟ ดีใจที่ได้พบคุณในพระวิหารวันนี้”

ข้าพเจ้าจะไม่มีวันลืมความรู้สึกในชั่วขณะนั้น ประหนึ่ง—ในคำทักทายนั้น—พระบิดาบนสวรรค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาบอกว่า “เราอยู่นี่”

พระบิดาบนสวรรค์ทรงห่วงใยจริงๆ ทรงฟังและตอบคำสวดอ้อนวอนของลูกทุกคน15 ในฐานะลูกคนหนึ่งของพระองค์ ข้าพเจ้ารู้ว่าคำตอบการสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้ามาในเวลาของพระองค์ ประสบการณ์นั้นทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจมากกว่าเดิมว่าเราเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงส่งเรามาที่นี่เพื่อให้เรารู้สึกถึงพระสิริของพระองค์ที่นี่และสักวันหนึ่งกลับไปอยู่กับพระองค์

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงพาเรา นำเรา และเดินเคียงข้างเรา เมื่อเราติดตามพระบุตรและเอาใจใส่ผู้รับใช้ของพระองค์ อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ เราจะพบทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน