“เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน”
พระเจ้าสัญญาถึงสันติสุขแก่สานุศิษย์ของพระองค์ก่อนที่พระองค์จะจากพวกเขา พระองค์ได้ทำสัญญาเดียวกันนี้กับเรา
พี่น้องที่รัก คืนนี้เราได้รับพรจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ข่าวสารที่เป็นแรงบันดาลใจจากผู้นำสตรีที่ทรงพลังและดนตรีได้เสริมพลังศรัทธาและเพิ่มพูนความปรารถนาของเราที่จะรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำไว้กับพระบิดาบนสวรรค์ เรารู้สึกว่าความรักที่มีต่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์และความซาบซึ้งใจในของประทานแสนอัศจรรย์แห่งการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์เพิ่มสูงขึ้น
ข่าวสารของข้าพเจ้าคืนนี้เรียบง่าย เราทุกคนรู้สึกถึงสันติสุขในค่ำคืนนี้ เราทุกคนต้องการรู้สึกเช่นนี้บ่อยๆ กับตนเอง ครอบครัว และกับผู้คนรอบตัวเรา พระเจ้าสัญญาถึงสันติสุขแก่สานุศิษย์ของพระองค์ก่อนที่พระองค์จะจากพวกเขา พระองค์ได้ทำสัญญาเดียวกันนี้กับเรา แต่พระองค์ตรัสว่าจะให้สันติสุขในแบบของพระองค์ ไม่ใช่ตามแบบของโลก พระองค์ทรงอธิบายวิธีมอบสันติสุขของพระองค์:
“แต่องค์ผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งพระบิดาจะทรงใช้มาในนามของเรานั้นจะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง และจะทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่เรากล่าวกับท่านแล้ว
เรามอบสันติสุขไว้กับพวกท่าน สันติสุขของเราที่ให้กับท่านนั้น เราไม่ได้ให้อย่างที่โลกให้ อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์ อย่ากลัวเลย” (ยอห์น 14:26–27)
บรรดาบุตรของโมไซยาห์ต้องการของประทานแห่งสันติสุขเมื่อพวกเขาเข้าสู่งานเผยแผ่กับชาวเลมัน ด้วยความวิตกกังวลไม่น้อยขณะรับรู้ความสำคัญยิ่งของงานที่จะทำ พวกเขาสวดอ้อนวอนทูลขอความมั่นใจ และ “พระเจ้าเสด็จมาเยือนพวกท่านด้วยพระวิญญาณของพระองค์, และตรัสกับพวกท่าน : จงสบายใจเถิด. และพวกท่านก็สบายใจ.” (แอลมา 17:10; ดู แอลมา 26:27 ด้วย)
บางเวลาท่านอาจโหยหาสันติสุขเมื่อเผชิญกับความไม่แน่นอนและการท้าทายที่กำลังเข้ามา บรรดาบุตรของโมไซยาห์เรียนรู้บทเรียนที่พระเจ้าทรงสอนโมโรไนซึ่งเป็นแนวทางสำหรับเราทุกคนคือ “หากมนุษย์มาหาเรา เราจะแสดงให้พวกเขาเห็นความอ่อนแอของพวกเขา. เราให้ความอ่อนแอแก่มนุษย์เพื่อพวกเขาจะนอบน้อม; และพระคุณของเราเพียงพอสำหรับคนทั้งปวงที่นอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา; เพราะหากพวกเขานอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา, และมีศรัทธาในเรา, เมื่อนั้นเราจะทำให้สิ่งที่อ่อนแอกลับเข้มแข็งสำหรับพวกเขา.” (อีเธอร์ 12:27)
โมโรไนกล่าวว่าเมื่อท่าน “ได้ยินถ้อยคำเหล่านี้,” ท่าน “ก็ได้รับการปลอบโยน” (อีเธอร์ 12:29) ถ้อยคำเหล่านี้สามารถปลอบโยนเราทุกคน ผู้ไม่เห็นความอ่อนแอของตนย่อมไม่ก้าวหน้า การรับรู้ความอ่อนแอของท่านเองจึงเป็นพรเพราะจะช่วยให้ท่านยังคงนอบน้อมถ่อมตนและหันไปหาพระผู้ช่วยให้รอด พระวิญญาณไม่เพียงปลอบโยนท่านแต่พระองค์ยังเป็นตัวแทนที่การชดใช้จะเกิดผลและเปลี่ยนตัวตนของท่านอีกด้วย แล้วสิ่งที่อ่อนแอจะกลับเข้มแข็ง
บางครั้งซาตานจะท้าทายศรัทธาของท่าน เรื่องนี้เกิดขึ้นกับสานุศิษย์ทุกคนของพระเยซูคริสต์ ท่านต่อต้านการโจมตีเหล่านี้ได้เมื่อมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อน พระวิญญาณจะตรัสเรื่องสันติสุขแก่จิตวิญญาณท่าน กระตุ้นให้ท่านรุดหน้าในศรัทธา และจะทรงนำความทรงจำขณะที่ท่านรู้สึกถึงแสงสว่างและความรักของพระเยซูคริสต์กลับคืนมาสู่ท่าน
การจดจำอาจเป็นของประทานล้ำค่าที่สุดที่พระวิญญาณจะประทานแก่ท่าน พระองค์จะ “ทำให้ระลึกถึงทุกสิ่งที่ [พระเจ้า]กล่าวกับท่านแล้ว” (ยอห์น 14:26) ความทรงจำในที่นี้อาจเป็นการสวดอ้อนวอนที่ได้รับคำตอบ ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตที่ได้รับ การยืนยันประจักษ์พยานของท่าน หรือช่วงเวลาที่ท่านเห็นพระหัตถ์นำทางของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตท่าน บางทีสักวันหนึ่งในอนาคตเมื่อท่านต้องการความเข้มแข็ง พระวิญญาณอาจนำความทรงจำถึงความรู้สึกที่ได้รับระหว่างการประชุมนี้มาสู่ท่าน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนให้เป็นเช่นนั้น
ความทรงจำที่พระวิญญาณมักจะนำมาสู่ความคิดข้าพเจ้าคือความทรงจำเรื่องการประชุมศีลระลึกของคืนวันหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนที่กระท่อมมุงสังกะสีในอินส์บรุค ออสเตรีย กระท่อมอยู่ใต้ทางรถไฟ มีผู้เข้าประชุมเพียงสิบกว่าคน นั่งกันบนเก้าอี้ไม้ ส่วนใหญ่เป็นสตรีทั้งเยาว์วัยและสูงวัย ข้าพเจ้าเห็นน้ำตาแห่งความสำนึกคุณขณะมีการส่งผ่านศีลระลึกในที่ประชุมเล็กๆ นั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอดต่อวิสุทธิชนเหล่านั้นและพวกเขาก็รู้สึกเช่นกัน แต่ปาฏิหาริย์ที่ข้าพเจ้าจำได้ชัดเจนที่สุดคือแสงสว่างที่ดูเหมือนจะเติมเต็มกระท่อมมุงสังกะสีหลังนั้นโดยนำความรู้สึกของสันติสุขเข้ามาด้วย แม้เป็นเวลากลางคืนและไม่มีหน้าต่าง แต่ห้องกลับสว่างประหนึ่งแสงแดดยามเที่ยงวันส่องเข้ามา
คืนนั้นที่นั่นมีแสงสว่างเจิดจ้าเต็มที่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และหน้าต่างที่ให้แสงสว่างนั้นส่องเข้ามาคือใจนอบน้อมของวิสุทธิชนเหล่านั้น ผู้มาอยู่ต่อพระพักตร์พระเจ้าเพื่อแสวงหาการอภัยบาปและให้คำมั่นสัญญาที่จะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา ขณะนั้นไม่ใช่เรื่องยากที่จะระลึกถึงพระองค์ และความทรงจำของประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์ของข้าพเจ้าทำให้ข้าพเจ้าระลึกถึงพระองค์และการชดใช้ของพระองค์ได้ง่ายขึ้นในอีกหลายปีต่อมา วันนั้นคำสัญญาในคำสวดอ้อนวอนศีลระลึกที่ว่าพระวิญญาณจะสถิตกับเราได้เกิดขึ้นจริงและนำความรู้สึกแห่งแสงสว่างและสันติสุขมาสู่เรา
เช่นเดียวกับท่าน ข้าพเจ้าขอบพระทัยสำหรับหลายวิธีที่พระเจ้าเสด็จมาเยือนด้วยพระผู้ปลอบโยนเมื่อต้องการสันติสุข แต่พระบิดาในสวรรค์ของเราไม่ได้ทรงห่วงใยเฉพาะเรื่องการปลอบโยนเท่านั้นแต่ทรงห่วงใยความก้าวหน้าของเรามากกว่า “พระผู้ปลอบโยน” เป็นเพียงวิธีหนึ่งที่พระคัมภีร์บรรยายถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นอีกวิธีหนึ่ง “และบัดนี้, ตามจริงแล้ว, ตามจริงแล้ว, เรากล่าวแก่เจ้า, จงวางใจในพระวิญญาณองค์นั้นซึ่งนำให้ทำดี” (คพ. 11:12) การทำดีที่ทรงนำท่านให้ทำบ่อยที่สุดคือการช่วยให้ผู้อื่นรับการปลอบโยนจากพระผู้เป็นเจ้า
ในพระปรีชาญาณของพระองค์ พระเจ้าทรงนำท่านมารวมกันในองค์การและชั้นเรียนในศาสนจักรของพระองค์ พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเพื่อเพิ่มพูนพลังการทำดีแก่ท่าน ในองค์การเหล่านี้ ท่านมีความรับผิดชอบเฉพาะอย่างที่จะรับใช้ผู้อื่นแทนพระองค์ ตัวอย่างเช่น ถ้าท่านเป็นเยาวชนหญิง อธิการหรือผู้นำเยาวชนหญิงของท่านอาจขอให้ท่านออกไปหากุลสตรีคนหนึ่งซึ่งกลายเป็นผู้ที่บางครั้งเราเรียกว่า “แข็งขันน้อย” ท่านอาจรู้จักเธอดีกว่าอธิการหรือผู้นำเยาวชนหญิง ท่านอาจรู้ว่าเธอกำลังทุกข์ใจกับที่บ้านหรือที่โรงเรียนหรืออาจจะทั้งสองแห่ง ผู้นำของท่านอาจไม่รู้ว่าพวกเขาเกิดความประทับใจอะไรจึงขอให้ท่านไปหาเธอ แต่พระเจ้าทรงทราบ และพระองค์ทรงกำกับดูแลงานนี้ผ่านการดลใจจากพระวิญญาณของพระองค์
ความสำเร็จในงานจะนำปาฏิหาริย์แห่งการเปลี่ยนแปลงมาสู่ใจท่านและใจของเยาวชนหญิงที่ท่านถูกส่งไปช่วย—ซึ่งเรียกร้องความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณสามารถช่วยให้ท่านมองกุลสตรีผู้แข็งขันน้อยอย่างที่พระเจ้าทรงมองเธอ พระเจ้าทรงรู้ใจเธอและใจของท่าน และทรงรู้ความเป็นไปได้ของใจที่เปลี่ยนแปลง พระองค์จะเสด็จมาเยือนท่านทั้งสองด้วยพระวิญญาณเพื่อดลใจให้เกิดความนอบน้อม การให้อภัย และความรัก
พระวิญญาณองค์นั้นดลใจได้ทั้งคำพูด การกระทำ และความอดทนที่จำเป็นต่อท่านที่จะเชื้อเชิญลูกแกะกลับฝูง พระองค์สามารถสัมผัสใจของฝูงแกะในชั้นเรียนกุลสตรีให้รักและต้อนรับแกะที่หลงไป เพื่อว่าเมื่อเธอกลับมาเธอจะรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน
พลังในการทำดีของกลุ่มธิดาของพระผู้เป็นเจ้าจะขึ้นถึงระดับยอดเยี่ยมได้ ขึ้นอยู่กับความเป็นหนึ่งเดียวและความรักที่มีอยู่ท่ามกลางพวกท่าน นี่เป็นของประทานแห่งสันติสุขอีกประการหนึ่งที่เกิดจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แอลมาเข้าใจเรื่องนี้ดี นั่นคือสาเหตุที่ท่านวิงวอนผู้คนของท่าน “ว่าไม่ควรมีการขัดแย้งต่อกัน, แต่ว่าควรตั้งตารอเป็นตาเดียวกัน, โดยมีศรัทธาเดียวและบัพติศมาเดียว, โดยมีใจของพวกเขาผูกพันกันไว้ในความเป็นหนึ่งเดียวและในความรักที่มีต่อกัน” (โมไซยาห์ 18:21)
ความเป็นหนึ่งเดียวในชั้นเรียนและในครอบครัวของเราเป็นสิ่งจำเป็น แต่ท่านและข้าพเจ้ารู้เช่นเดียวกันจากประสบการณ์ว่าเป็นสิ่งยากที่จะรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันที่เปี่ยมด้วยรักเช่นนี้ ต้องมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนเพื่อเปิดดวงตาของเราและทำให้เรารู้สึกสงบ
ข้าพเจ้าจำได้ว่าครั้งหนึ่งลูกชายวัยเจ็ดแปดขวบกระโดดบนเตียงอย่างแรงจนข้าพเจ้าคิดว่าเตียงจะหัก ข้าพเจ้ารู้สึกไม่พอใจขึ้นมาทันที และรีบเตรียมจัดบ้านของข้าพเจ้าให้อยู่ในระเบียบ ข้าพเจ้าขยุ้มไหล่น้อยๆ ของลูกชายแล้วยกเขาขึ้นในระดับที่สายตาประสานกันได้
พระวิญญาณทรงใส่ถ้อยคำเข้ามาในความคิดข้าพเจ้า เหมือนเป็นเสียงที่แผ่วเบาแต่เสียดแทงเข้าไปในใจข้าพเจ้า “เจ้ากำลังอุ้มบุคคลผู้ล้ำเลิศ” ข้าพเจ้าวางเขาลงบนเตียงอย่างนุ่มนวลและขอโทษ
ขณะนี้เขาเป็นชายที่ล้ำเลิศผู้ที่พระวิญญาณช่วยให้ข้าพเจ้ามองเห็นเมื่อ 40 ปีก่อน ข้าพเจ้าสำนึกคุณชั่วนิรันดร์ที่ทรงช่วยให้ข้าพเจ้าพ้นจากความรู้สึกไร้เมตตาโดยส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาช่วยให้ข้าพเจ้าเห็นลูกพระผู้เป็นเจ้าดังที่พระองค์ทรงเห็น
ความเป็นหนึ่งเดียวที่เราแสวงหาในครอบครัวและในศาสนจักรจะเกิดขึ้นเมื่อเรายอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ส่งผลต่อสิ่งที่เราเห็นเมื่อเรามองกัน—และแม้เวลาที่เรานึกถึงกัน พระวิญญาณทรงมองเห็นด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ จงฟังถ้อยคำของมอรมอนที่อธิบายจิตกุศลไว้ จงนึกถึงเวลาที่ท่านรู้สึกถึงสิ่งนี้:
“จิตกุศลอดทนนาน, และมีน้ำใจ, และไม่ริษยา, และไม่ผยอง, ไม่แสวงหาเพื่อตน, ไม่ขุ่นเคืองง่าย, ไม่คิดชั่ว, และไม่ชื่นชมยินดีในความชั่วช้าสามานย์ แต่ชื่นชมยินดีในความจริง, ทนทุกสิ่ง, เชื่อทุกสิ่ง, หวังทุกสิ่ง, อดทนทุกสิ่ง.
“ดังนั้น, พี่น้องชาย [และข้าพเจ้าเพิ่ม หญิง] ที่รักของข้าพเจ้า, หากท่านไม่มีจิตกุศล, ท่านก็ไม่เป็นอะไรเลย, เพราะจิตกุศลไม่มีวันสูญสิ้น. ดังนั้น, จงแนบสนิทอยู่กับจิตกุศล, ซึ่งเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสิ่งทั้งปวง, เพราะสิ่งทั้งปวงต้องสูญสิ้น—
“แต่จิตกุศลคือความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์, และสิ่งนี้ยั่งยืนตลอดกาล; และผู้ ใดที่ถูกพบว่าครอบครองมันในวันสุดท้าย, ย่อมจะดีกับเขา.
“ดังนั้น, พี่น้องชาย [และหญิง] ที่รักของข้าพเจ้า, จงสวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อท่านจะเปี่ยมด้วยความรักนี้, ซึ่งพระองค์ประทานให้ทุกคนซึ่งเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์; เพื่อท่านจะกลับกลายเป็นบุตร [และธิดา] ของพระผู้เป็นเจ้า; เพื่อว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏเราจะเป็นเหมือนพระองค์, เพราะเราจะเห็นพระองค์ดังที่พระองค์ทรงดำรงอยู่; เพื่อเราจะมีความหวังนี้; เพื่อพระองค์จะทรงทำให้เราบริสุทธิ์ แม้ดังที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์” (โมโรไน 7:45–48)
นี่คือเป้าหมายที่พระบิดาในสวรรค์ทรงมอบให้ท่าน ธิดาผู้ล้ำค่าทั้งหลาย กับท่านอาจดูเหมือนเป็นเป้าหมายระยะยาว แต่จากมุมมองของพระองค์ ท่านไม่ได้อยู่ไกลเช่นนั้น พระองค์จึงเสด็จมาเยือนท่านด้วยพระวิญญาณของพระองค์เพื่อปลอบโยน กระตุ้นเตือน และดลใจท่านให้ดำเนินต่อไป
ข้าพเจ้าฝากคำพยานที่มั่นคงว่าพระบิดาทรงรู้จักท่าน—ทรงรู้ความต้องการและชื่อของท่าน—ทรงรักท่าน และได้ยินท่านสวดอ้อนวอน พระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ทรงเชื้อเชิญท่านมาหาพระองค์ และพระองค์ทั้งสองทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้มามีส่วนร่วมในงานของท่านเพื่อรับใช้ผู้อื่นแทนพระองค์
เนื่องด้วยการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่ด้วยตลอดเวลาจะมีผลในการชำระล้างและทำให้วิญญาณเราบริสุทธิ์ แล้วท่านจะรู้สึกถึงสันติสุขที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาที่จะให้ไว้แก่สานุศิษย์ของพระองค์ ด้วยสันติสุขนั้นจะเกิดความหวังอันเจิดจ้าและความรู้สึกถึงแสงสว่างและความรักจากพระบิดาและพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์ ผู้ทรงนำอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลกผ่านการเปิดเผยแก่ศาสดาพยากรณ์ผู้มีชีวิต ข้าพเจ้าเป็นพยานดังนี้ในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน