2010–2019
ความรักที่สม‌บูรณ์ขับ‍ไล่ความกลัวออกไป
เมษายน 2017


NaN:NaN

ความรักที่สม‌บูรณ์ขับ‍ไล่ความกลัวออกไป

ขอให้เราขจัดความกลัวออกไปและดำเนินชีวิตด้วยปีติ ความนอบน้อม ความหวัง และความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา

พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย มิตรสหายที่รัก ช่างเป็นโอกาสพิเศษและเปี่ยมปีติอย่างยิ่งที่ได้มาพบกันในฐานะศาสนจักรทั่วโลกที่เป็นหนึ่งเดียวกันในศรัทธาและความรักของเราที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้าและลูกๆ ของพระองค์

ข้าพเจ้าสำนึกคุณเป็นพิเศษที่โธมัส เอส. มอนสัน ศาสดาพยากรณ์ผู้เป็นที่รักของเราอยู่กับเราที่นี่ ประธานครับ เราจะรับถ้อยคำแห่งการนำทาง คำปรึกษา และปัญญาของท่านไว้ในใจเราเสมอ เรารักท่าน ประธานมอนสัน และสวดอ้อนวอนให้ท่านเสมอ

หลายปีมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานสเตคที่แฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี สตรีที่น่ารักแต่ไม่มีความสุขคนหนึ่งเข้ามาหาข้าพเจ้าเมื่อจบการประชุมสเตคครั้งหนึ่ง

“แย่มากเลยใช่ไหม” เธอบอก “น่าจะมีประมาณสี่หรือห้าคนที่หลับสนิทในระหว่างที่คุณพูด!”

ข้าพเจ้าคิดชั่วครู่และตอบว่า “ผมมั่นใจว่าการหลับในโบสถ์เป็นการหลับที่ดีต่อสุขภาพมากที่สุด”

แฮร์เรียต ภรรยาแสนดีของข้าพเจ้าได้ยินการสนทนานี้และพูดถึงในภายหลังว่านั่นเป็นคำตอบที่มีมิตรไมตรีมากที่สุดเท่าที่ข้าพเจ้าเคยตอบ

การปลุกศรัทธาครั้งใหญ่

สองสามร้อยปีมาแล้วในอเมริกาเหนือ มีขบวนการหนึ่งเรียกว่า “การปลุกศรัทธาครั้งใหญ่” กระจายอยู่ทั่วชนบท วัตถุประสงค์หลักอย่างหนึ่งคือเพื่อปลุกผู้คนที่ดูเหมือนกำลังหลับอยู่ในเรื่องทางวิญญาณ

เด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่ท่านได้ยินจากนักเทศน์ผู้เป็นส่วนหนึ่งของการตื่นตัวทางศาสนาครั้งนี้ นั่นเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ท่านตัดสินใจแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้าในคำสวดอ้อนวอนส่วนตัว

นักเทศน์เหล่านี้มีรูปแบบการเทศนาที่น่าตื่นเต้น ได้อารมณ์ คำเทศนามุ่งเน้นเรื่องเพลิงนรกโลกันตร์ที่รอคอยคนบาป1 คำพูดของพวกเขาไม่ได้ทำให้คนง่วงนอน—แต่อาจจะทำให้ฝันร้ายบ้าง จุดประสงค์และรูปแบบเช่นนี้ดูเหมือนจะสร้างความหวาดกลัวเพื่อทำให้ผู้คนมาสู่ศาสนจักร

ใช้ความกลัวเป่าหู

ในประวัติศาสตร์ ความกลัวมักจะใช้บังคับให้คนทำบางสิ่งบางอย่าง บิดามารดาใช้ความกลัวกับลูกของตน เจ้านายใช้กับลูกน้อง นักการเมืองใช้กับคนที่มีสิทธิ์ออกเสียง

ผู้เชี่ยวชาญการตลาดเข้าใจพลังของความกลัวและมักนำไปใช้ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมโฆษณาบางอย่างดูเหมือนจะมีข่าวสารเป็นนัยว่าถ้าเราไม่ซื้อซีเรียลอาหารเช้ายี่ห้อนั้นหรือพลาดวิดีโอเกมหรือโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุด เราจะเสี่ยงต่อการมีชีวิตที่ทุกข์ยาก อยู่อย่างโดดเดี่ยวจนตาย และไม่มีความสุข

เรายิ้มกับเรื่องนี้และคิดว่าเราจะไม่มีวันตกหลุมพรางของการเป่าหูเช่นนั้น แต่บางครั้งเราก็ตกหลุมจริง ที่แย่ยิ่งกว่าคือ บางครั้งเราใช้วิธีเดียวกันนี้เพื่อให้ผู้อื่นทำสิ่งที่เราต้องการ

วันนี้ข่าวสารของข้าพเจ้ามีจุดประสงค์สองอย่าง อย่างแรกคือเพื่อกระตุ้นให้เราไตร่ตรองและพิจารณาขอบเขตซึ่ง เรา ใช้ความกลัวในการจูงใจผู้อื่น—รวมถึงตัวเราเอง อย่างที่สองคือเสนอแนะวิธีที่ดีกว่า

ปัญหาของความกลัว

ก่อนอื่น เราจะพูดถึงปัญหาของความกลัว อย่างไรก็ตาม มีใครบ้างที่ไม่เคยถูกความกลัวบังคับให้กินอาหารดีขึ้น คาดเข็มขัดนิรภัย ออกกำลังกายมากขึ้น ออมเงิน หรือแม้แต่กลับใจจากบาป

จริงหรือไม่ที่ความกลัวสามารถมีอิทธิพลทรงพลังเหนือการกระทำและความประพฤติของเรา แต่อิทธิพลนั้นมักเป็นเพียงชั่วคราวและผิวเผิน ไม่บ่อยนักที่ความกลัวมีพลังเปลี่ยนแปลงใจเรา และความกลัวจะไม่มีวันเปลี่ยนเราให้เป็นคนที่รักสิ่งถูกต้องและต้องการเชื่อฟังพระบิดาบนสวรรค์ได้

คนที่รู้สึกกลัวอาจ พูด และทำสิ่งที่ถูกต้อง แต่พวกเขาไม่มี ความรู้สึก ที่ถูกต้อง พวกเขามักจะรู้สึกไร้ที่พึ่งและขุ่นเคืองใจ แม้กระทั่งโกรธ เมื่อเวลาผ่านไปความรู้สึกเหล่านี้จะนำไปสู่ความไม่ไว้วางใจ การต่อต้าน หรือแม้แต่การกบฏ

น่าเสียดาย แนวทางผิดๆ ของชีวิตและการเป็นผู้นำนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องทางโลก ข้าพเจ้าเศร้าใจที่ได้ยินว่ามีสมาชิกศาสนจักรผู้ใช้อำนาจการปกครองที่ไม่ชอบธรรม—ไม่ว่าจะในบ้าน ในการเรียกของศาสนจักร ที่ทำงาน หรือในการปฏิสัมพันธ์ประจำวันกับผู้อื่น

บ่อยครั้ง ผู้คนอาจประณามการข่มเหงรังแกของผู้อื่น แต่พวกเขาไม่เห็นว่าตนเองก็ทำ พวกเขาเรียกร้องให้ผู้อื่นทำตามกฎที่ตนเองกำหนดไว้ แต่เมื่อผู้อื่นไม่ทำตามกฎส่งเดชเหล่านี้ คนพวกนั้นก็จะลงโทษพวกเขาทางวาจา อารมณ์ และบางครั้งทางร่างกาย

พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อเรา … ใช้การควบคุมหรืออำนาจการปกครองหรือการบังคับจิตวิญญาณของลูกหลานมนุษย์, ในความไม่ชอบธรรมระดับใดก็ตาม, … สวรรค์ย่อมถอนตัว; พระวิญญาณของพระเจ้าเศร้าโศก”2

อาจมีบางเวลาที่เราอยากจะหาเหตุผลมาแก้ต่างการกระทำของเราโดยเชื่อว่าผลลัพธ์สร้างความชอบธรรมให้วิธีการ เราอาจคิดว่าการควบคุม เป่าหู และแข็งกร้าวจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น ไม่ใช่เลย เพราะพระเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า “ส่วนผลของพระ‍วิญ‌ญาณนั้น คือความรัก ความยินดี สันติ‍สุข ความอดทน ความกรุณา ความดี ความซื่อ‍สัตย์ ความสุภาพ‍อ่อน‍โยน [และ] การรู้‍จักบัง‍คับตน”3

วิธีที่ดีกว่า

ยิ่งข้าพเจ้ารู้จักพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นเท่าใด ข้าพเจ้ายิ่งเห็นวิธีที่พระองค์ทรงดลใจและนำบุตรธิดาของพระองค์มากขึ้นเท่านั้น พระองค์ไม่ทรงพระพิโรธ เคียดแค้น หรืออาฆาต4 พระประสงค์เดียว—งานและรัศมีภาพของพระองค์—คือนำทางเราไปสู่ความสูงส่งและไปสู่ความบริบูรณ์ของพระองค์5

พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโมเสสว่าพระองค์ทรง “เปี่ยมด้วยพระ‍กรุณาและพระ‍คุณ พระ‍องค์กริ้วช้า ทรงบริ‌บูรณ์ด้วยความรัก‍มั่น‍คง และความสัตย์‍จริง”6

ความรักที่พระบิดาในสวรรค์ทรงมีต่อเรา บุตรธิดาของพระองค์ เกินความสามารถที่เราจะเข้าใจมาก7

นี่หมายความว่าพระผู้เป็นเจ้าประทานอภัยหรือทรงมองข้ามความประพฤติที่ขัดกับพระบัญชาหรือไม่ ไม่เลย ไม่ใช่แน่นอน!

แต่พระองค์ทรงประสงค์จะเปลี่ยนมากกว่าแค่พฤติกรรมของเรา พระองค์ทรงประสงค์จะเปลี่ยนธรรมชาติวิสัยและใจของเรา

พระองค์ทรงต้องการให้เราเอื้อมออกไปจับราวเหล็กไว้แน่น เผชิญหน้ากับความกลัว ก้าวไปข้างหน้าและขึ้นไปตามทางคับแคบและแคบอย่างกล้าหาญ พระองค์ทรงประสงค์เช่นนี้เพราะทรงรักเรา เพราะนี่เป็นหนทางสู่ความสุข

ฉะนั้น พระผู้เป็นเจ้าทรงจูงใจให้บุตรธิดาทำตามพระองค์อย่างไรในสมัยของเรา

พระองค์ทรงส่งพระบุตร!

พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งพระบุตรผู้ถือกำเนิดองค์เดียวของพระองค์ พระเยซูคริสต์ เพื่อให้เรารู้ทางที่ถูกต้อง

พระผู้เป็นเจ้าทรงจูงใจเราโดยการชักชวน ความอดกลั้น ความสุภาพอ่อนน้อม ความอ่อนโยน และความรักที่ไม่เสแสร้ง8 พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเรา ทรงรักเรา เมื่อเราสะดุดล้ม พระองค์ทรงต้องการให้เราลุกขึ้น ลองอีกครั้ง และเข้มแข็งขึ้น

พระองค์คือครูพี่เลี้ยงของเรา

พระองค์คือความหวังอันเป็นมิ่งขวัญของเรา

พระองค์ทรงปรารถนาจะกระตุ้นเราด้วยศรัทธา

พระองค์ทรงวางใจว่าเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของเราและเลือกสิ่งที่ถูกต้อง

นี่คือวิธีที่ดีกว่า!9

แล้วความชั่วร้ายของโลกเล่า

วิธีหนึ่งที่ซาตานต้องการให้เราเป่าหูผู้อื่นคือโดยการมุ่งเน้นและแม้แต่ขยายความชั่วร้ายในโลก

แน่นอนว่าโลกของเราไม่ได้ดีพร้อมอยู่เสมอ และจะไม่ดีพร้อมต่อไป มีคนบริสุทธิ์มากเกินไปต้องทนทุกข์เนื่องจากสภาวการณ์ของธรรมชาติตลอดจนความไร้มนุษยธรรมของมนุษย์ ความเสื่อมทรามและความชั่วร้ายในสมัยของเราไม่เหมือนใครและน่าหวาดหวั่น

แต่ทั้งๆ ที่มีความไม่ดีพร้อมทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้าจะไม่ขอแลกการมีชีวิตอยู่ในสมัยนี้กับสมัยอื่นใดในประวัติศาสตร์โลก เราได้รับพรจนมิอาจประมาณได้ที่เรามีชีวิตอยู่ในวันเวลาของความรุ่งเรือง ความรู้แจ้ง และเป็นประโยชน์อย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเท่า เหนือสิ่งอื่นใด เราได้รับพรที่มีความสมบูรณ์ในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งช่วยให้เรามองภัยของโลกแตกต่างออกไปและแสดงให้เราเห็นวิธีหลีกเลี่ยงหรือรับมือกับภัยเหล่านี้

เมื่อข้าพเจ้านึกถึงพรเหล่านี้ ข้าพเจ้าอยากจะคุกเข่าลงเปล่งเสียงสรรเสริญแด่พระบิดาบนสวรรค์สำหรับความรักอันไม่รู้จบที่พระองค์ประทานให้บุตรธิดาทุกคนของพระองค์

ข้าพเจ้าไม่เชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้บุตรธิดาของพระองค์รู้สึกกลัวหรือหมกมุ่นครุ่นคิดเรื่องความชั่วร้ายของโลก “เพราะ‍ว่าพระ‍เจ้าไม่‍ได้ประ‌ทานใจที่ขลาด‍กลัวแก่เรา แต่ประ‌ทานใจที่ประ‌กอบด้วยฤทธา‌นุ‌ภาพ ความรัก และการบัง‍คับตน‍เองแก่เรา”10

พระองค์ประทานเหตุผลมากมายให้เรารื่นเริงยินดี เราเพียงต้องค้นหาและรับรู้ถึงเหตุผลเหล่านั้น พระเจ้าทรงเตือนเราบ่อยๆ ว่า “อย่าครั่นคร้าม” “จงรื่นเริงเถิด”11 และ “ฝูงแกะเล็กน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย”12

พระเจ้าจะทรงสู้สงครามแทนเรา

พี่น้องทั้งหลาย เราคือ “ฝูงแกะเล็กน้อย” ของพระเจ้า เราเป็นวิสุทธิชนแห่งยุคสุดท้าย ชื่อของเราโดยแท้แล้วคือคำมั่นสัญญาที่จะรอคอยการเสด็จกลับมาของพระผู้ช่วยให้รอดและเตรียมตัวเราและโลกไว้รับพระองค์ ฉะนั้น ขอให้เรารับใช้พระผู้เป็นเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์ของเรา ขอให้เราทำสิ่งนี้ด้วยความมั่นใจโดยธรรมชาติ ด้วยความนอบน้อมถ่อมตน ไม่ดูถูกศาสนาอื่นหรือผู้คนกลุ่มใด พี่น้องทั้งหลาย เราได้รับมอบหมายให้ศึกษาพระคำของพระผู้เป็นเจ้าและเอาใจใส่สุรเสียงของพระวิญญาณ เพื่อเราจะ “รู้เครื่องหมายแห่งกาลเวลา, และเครื่องหมายแห่งการเสด็จมาของบุตรแห่งพระมหาบุรุษ”13

ด้วยเหตุนี้ เราจึงไม่ได้เพิกเฉยต่อความท้าทายของโลกหรือไม่ตระหนักถึงความยากลำบากในสมัยของเรา แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรเพิ่มภาระให้ตนเองหรือผู้อื่นด้วยความกลัวอยู่เสมอ แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับกองทุกข์ของความท้าทาย ดีกว่าไหมที่จะจดจ่ออยู่กับความยิ่งใหญ่อันไม่สิ้นสุด พระคุณความดี และเดชานุภาพที่เที่ยงแท้ของพระผู้เป็นเจ้า วางใจพระองค์และเตรียมรับการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ด้วยใจปีติยินดี

ในฐานะผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระองค์ เราไม่จำเป็นต้องหยุดนิ่งเพราะความกลัวว่าสิ่งที่ไม่ดีอาจจะเกิดขึ้น แต่เราสามารถมุ่งหน้าต่อไปด้วยศรัทธา ความกล้าหาญ ความมุ่งมั่น และความวางใจในพระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราเข้าใกล้ความท้าทายและโอกาสที่อยู่เบื้องหน้า14

เราไม่ได้เดินในวิถีแห่งสานุศิษย์เพียงลำพัง “เพราะ‍ว่าผู้ที่ไปกับท่านคือพระ‍ยาห์‌เวห์พระ‍เจ้าของท่าน พระ‍องค์จะไม่ทรงปล่อยท่านให้ล้ม‍เหลวหรือทอด‍ทิ้งท่าน”15

“พระ‍ยาห์‌เวห์จะทรงรบแทนท่านทั้ง‍หลาย พวก‍ท่านจงสงบอยู่เถิด”16

เมื่อเผชิญหน้ากับความกลัว ขอให้เรากล้าหาญ รวบรวมศรัทธาของเรา และเชื่อมั่นในคำสัญญาว่า “อาวุธทุกชนิดที่ทำขึ้นเพื่อต่อ‍สู้เจ้าจะไม่ชนะ”17

เรามีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาแห่งอันตรายและความโกลาหลใช่ไหม ใช่แน่นอน

พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ในโลกนี้ท่านจะประ‌สบความทุกข์‍ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว”18

เราใช้ศรัทธาที่จะเชื่อและปฏิบัติตามได้หรือไม่ เราทำตามคำมั่นสัญญาและพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของเราได้หรือไม่ เรารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแม้ในสภาวการณ์ที่ท้าทายได้หรือไม่ แน่นอนเราทำได้!

เราทำได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่า “สิ่งทั้งปวงจะร่วมกันส่งผลเพื่อความดีของเจ้า, หากเจ้าดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรง”19 ฉะนั้นขอให้เราขจัดความกลัวออกไปและดำเนินชีวิตด้วยปีติ ความนอบน้อม ความหวัง และความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา

ความรักที่สม‌บูรณ์ขับ‍ไล่ความกลัวออกไป

มิตรสหายที่รัก พี่น้องในพระคริสต์ ถ้าเราพบว่าตนเองดำเนินชีวิตในความกลัวหรือความวิตกกังวล หรือถ้าเราพบว่าถ้อยคำ เจตคติ หรือการกระทำของเราสร้างความกลัวให้ผู้อื่น ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนสุดพลังของจิตวิญญาณว่าเราจะได้รับการปลดปล่อยจากความกลัวนี้ด้วยยาต้านความกลัวจากสวรรค์ ซึ่งได้แก่ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ เพราะ “ความรักที่สม‌บูรณ์นั้นก็ขับ‍ไล่ความกลัวออกไป”20

ความรักอันสมบูรณ์ของพระคริสต์เอาชนะการล่อลวงที่จะทำร้าย ขู่เข็ญ ข่มเหงรังแก หรือกดขี่

ความรักอันสมบูรณ์ของพระคริสต์ช่วยให้เราดำเนินชีวิตอย่างนอบน้อม มีศักดิ์ศรี และเชื่อมั่นในฐานะผู้ติดตามของพระผู้ช่วยให้รอด ความรักอันสมบูรณ์ของพระคริสต์ให้ความมั่นใจแก่เราที่จะดำเนินต่อไปท่ามกลางความกลัว วางใจในเดชานุภาพและพระคุณความดีของพระบิดาบนสวรรค์ และของพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์

ในบ้าน ในที่ทำงาน ในการเรียกของศาสนจักร ในใจเรา ขอให้เราแทนที่ความกลัวด้วยความรักอันสมบูรณ์ของพระคริสต์ ความรักของพระคริสต์จะแทนที่ความกลัวด้วยศรัทธา!

ความรักของพระองค์จะทำให้เราสามารถตระหนัก วางใจ และมีศรัทธาในพระคุณความดีของพระบิดาบนสวรรค์ ในแผนแห่งสวรรค์ พระกิตติคุณ และพระบัญญัติของพระองค์21 การรักพระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์จะเปลี่ยนการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเป็นพรแทนที่จะเป็นภาระ ความรักของพระคริสต์จะช่วยให้เราเป็นคนที่เมตตา ให้อภัย ใส่ใจ และอุทิศตนมากขึ้นแก่งานของพระองค์

เมื่อเราเติมเต็มใจเราด้วยความรักของพระคริสต์ เราจะตื่นขึ้นด้วยความสดชื่นทางวิญญาณและเราจะเดินอย่างปีติ มั่นใจ ตื่น และมีชีวิตชีวาในความสว่างและรัศมีภาพของพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา พระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าเป็นพยานร่วมกับอัครสาวกยอห์นว่า “ในความรัก [ของพระคริสต์] นั้นไม่‍มีความกลัว”22 พี่น้องทั้งหลาย สหายที่รัก พระองค์ทรงรู้จักท่าน ทรงรักท่านอย่างสมบูรณ์ พระองค์ทรงทราบอนาคตของท่าน ทรงประสงค์ให้ท่าน “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้น”23 และ “ติด‍สนิทอยู่กับความรัก [อันสมบูรณ์] ของพระ‍องค์”24 นี่คือคำสวดอ้อนวอนและพรของข้าพเจ้าในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. จอร์จ ไวท์ฟีลด์และโจนาธาน เอ็ดวาร์ดส์เป็นตัวอย่างที่เด่นชัดของนักเทศน์ประเภทนี้.

  2. หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:37.

  3. กาลาเทีย 5:22–23.

  4. ครั้งหนึ่ง พระผู้ช่วยให้รอดทรงต้องการเข้าไปในหมู่บ้านชาวสะมาเรีย แต่ผู้คนปฏิเสธพระเยซูและไม่ต้อนรับพระองค์เข้ามาในหมู่บ้าน สานุศิษย์สองคนรู้สึกขุ่นเคืองมากจึงทูลถามว่า “องค์‍พระ‍ผู้‍เป็น‍เจ้า พระ‍องค์ทรงต้อง‍การให้พวก‍ข้า‍พระ‍องค์ขอไฟจากสวรรค์ลง‍มาเผา‍ผลาญพวก‍เขาไหม?” พระเยซูทรงตอบด้วยพระดำรัสเตือนนี้ “ท่านไม่รู้ว่า ท่านมีจิตใจทำนองใด เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้รอด” (ดู ลูกา 9:51–56, คิงก์เจมส์ฉบับใหม่ [1982]).

  5. ดู โมเสส 1:39; ดู เอเฟซัส 3:19 ด้วย.

  6. อพยพ 34:6.

  7. ดู เอเฟซัส 3:19.

  8. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:41. แน่นอนว่าหากพระผู้เป็นเจ้าทรงคาดหวังเรา บุตรธิดามรรตัยของพระองค์ ให้ประพฤติเช่นนี้ต่อกัน พระองค์—พระสัตภาวะที่สมบูรณ์แบบซึ่งมีคุณธรรมทุกอย่าง—จะเป็นต้นแบบสำหรับความประพฤติเช่นนั้น.

  9. สภาก่อนเกิดในสวรรค์เป็นกรณีศึกษาที่ดีเยี่ยมซึ่งแสดงให้เห็นพระอุปนิสัยของพระผู้เป็นเจ้า ที่นั่น พระบิดาบนสวรรค์ทรงเสนอแผนเพื่อความก้าวหน้านิรันดร์ของเรา องค์ประกอบสำคัญของแผนนั้นได้แก่สิทธิ์เสรี การเชื่อฟัง และความรอดผ่านการชดใช้ของพระคริสต์ แต่ลูซิเฟอร์เสนอวิธีที่ต่างออกไป เขายืนยันว่าทุกคนจะต้องเชื่อฟัง—จะไม่มีใครสูญหายเลย วิธีเดียวที่สิ่งนี้จะเกิดสัมฤทธิผลได้คือโดยใช้อำนาจกดขี่และบังคับ แต่พระบิดาบนสวรรค์ไม่ทรงอนุญาตแผนเช่นนั้น พระองค์ทรงเห็นคุณค่าในสิทธิ์เสรีของบุตรธิดา พระองค์ทรงทราบว่าเราต้องทำผิดพลาดไปตลอดทางหากเราจะเรียนรู้อย่างแท้จริง นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ประทานพระผู้ช่วยให้รอด การพลีพระชนม์ชีพนิรันดร์ของพระองค์จะทำให้เราสะอาดจากบาปได้และทรงอนุญาตให้เรากลับเข้าสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า.

    เมื่อพระบิดาในสวรรค์ทรงเห็นว่าบุตรธิดาที่รักหลายคนถูกลูซิเฟอร์ล่อลวงไป พระองค์ทรงบังคับให้พวกเขาทำตามแผนของพระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงข่มขู่หรือคุกคามผู้ที่เลือกไม่ดีหรือไม่ ไม่เลย แน่นอนว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทรงยุติการกบฏได้ พระองค์ทรงบังคับผู้ที่คัดค้านให้ทำตามพระประสงค์และยินยอมได้ แต่พระองค์ทรงปล่อยให้บุตรธิดาของพระองค์เลือกด้วยตนเอง.

  10. 2 ทิโมธี 1:7.

  11. ดู, ตัวอย่างเช่น, โยชัว 1:9; อิสยาห์ 41:13; ลูกา 12:32; ยอห์น 16:33; 1 เปโตร 3:14; หลักคำสอนและพันธสัญญา 6:36; 50:41; 61:36; 78:18.

  12. ลูกา 12:32.

  13. หลักคำสอนและพันธสัญญา 68:11.

  14. คำแนะนำของโมเสสต่อผู้คนในสมัยของท่านยังคงประยุกต์ใช้ได้ “อย่ากลัวเลย … คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์ ซึ่งทรงทำเพื่อพวกท่านในวันนี้” (อพยพ 14:13, คิงก์เจมส์ฉบับใหม่).

  15. เฉลยธรรมบัญญัติ 31:6.

  16. อพยพ 14:13–14, ฉบับ New King James.

  17. อิสยาห์ 54:17.

  18. ยอห์น 16:33.

  19. หลักคำสอนและพันธสัญญา 90:24; ดู 2 โครินธ์ 2:14; หลักคำสอนและพันธสัญญา 105:14 ด้วย.

  20. 1 ยอห์น 4:18.

  21. ขอให้เราระลึกว่าพระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้เสด็จ “มาในโลกเพื่อพิพาก‌ษาโลก แต่เพื่อช่วย‍กู้โลกให้รอดโดยพระ‍บุตรนั้น”(ยอห์น 3:17) อันที่จริง “พระองค์ย่อมไม่ทรงกระทำสิ่งใดเว้นแต่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโลก; เพราะพระองค์ทรงรักโลก, จนพระองค์ทรงยอมพลีพระชนม์ชีพของพระองค์เองเพื่อจะทรงจูงใจมนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์” (2 นีไฟ 26:24).

  22. 1 ยอห์น 4:18; ดู 1 ยอห์น 4:16 ด้วย.

  23. มาระโก 5:36.

  24. ยอห์น 15:10.