การประชุมใหญ่สามัญ
ความรักของพระผู้เป็นเจ้า
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2021


13:11

ความรักของพระผู้เป็นเจ้า

พระบิดาและพระผู้ไถ่ของเราประทานพรเราด้วยพระบัญญัติ และในการเชื่อฟังพระบัญญัตินั้น เรารู้สึกถึงความรักอันสมบูรณ์แบบของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น

พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราอย่างสุดซึ้งและสมบูรณ์แบบ1 ในความรักนั้นพระองค์ทรงสร้างแผน แผนแห่งการไถ่และความสุขเพื่อให้เราทุกคนมีโอกาสและปีติที่เรายินดีรับ ไปจนถึงและรวมถึงทั้งหมดที่ทรงมีและทรงเป็น2 เพื่อให้บรรลุแผนนี้ ทรงถึงกับเต็มพระทัยมอบพระบุตรที่รักของพระองค์ พระเยซูคริสต์ ให้เป็นพระผู้ไถ่ของเรา “พระ‍เจ้าทรงรักโลกดัง‍นี้ คือได้ประ‌ทานพระ‍บุตรองค์เดียวของพระ‍องค์ เพื่อทุก‍คนที่วาง‍ใจในพระ‍บุตรนั้นจะไม่พินาศแต่มีชีวิตนิ‌รันดร์”3 ความรักของพระองค์เป็นความรักบริสุทธิ์ของพระบิดา—มีให้ทุกคน ทว่าเป็นส่วนตัวสำหรับแต่ละคน

พระเยซูคริสต์ทรงมีความรักที่สมบูรณ์แบบเหมือนพระบิดา เมื่อพระบิดาทรงอธิบายแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขครั้งแรก ทรงเรียกหาผู้ที่จะเป็นพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมาไถ่เรา—อันเป็นส่วนสำคัญยิ่งของแผนนั้น พระเยซูทรงอาสา “ข้าพระองค์อยู่ที่นี่, ขอทรงส่งข้าพระองค์ไปเถิด”4 พระผู้ช่วยให้รอด “ย่อมไม่ทรงกระทำสิ่งใดเว้นแต่จะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของโลก; เพราะพระองค์ทรงรักโลก, จนพระองค์ทรงยอมพลีพระชนม์ชีพของพระองค์เองเพื่อจะทรงจูงใจมนุษย์ทั้งปวงมาหาพระองค์. ดังนั้น, พระองค์ไม่ทรงบัญชาผู้ใดไม่ให้รับส่วนความรอดของพระองค์”5

ความรักจากสวรรค์นี้ควรให้ความอุ่นใจและความมั่นใจล้นเหลือขณะเราสวดอ้อนวอนพระบิดาในพระนามพระคริสต์ เราไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับทั้งสองพระองค์ เราต้องไม่ลังเลที่จะเรียกหาพระผู้เป็นเจ้าแม้เมื่อเรารู้สึกไม่มีค่าควร เราสามารถพึ่งพาพระเมตตาและพระคุณความดีของพระเยซูคริสต์เพื่อให้ทรงได้ยิน6 เมื่อเราแนบสนิทอยู่ในความรักของพระผู้เป็นเจ้า เราจะพึ่งความเห็นชอบของผู้อื่นมาชี้นำเราน้อยลงเรื่อยๆ

ความรักของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้แก้ตัวให้บาป แต่ให้การไถ่

เพราะความรักของพระผู้เป็นเจ้าครอบคลุมทั้งหมด บางคนจึงพูดว่ารักนั้น “ไม่มีเงื่อนไข” และในมุมมองตนเอง พวกเขาอาจสรุปความคิดนั้นให้หมายความว่า พร ของพระผู้เป็นเจ้า “ไม่มีเงื่อนไข” และ ความรอด “ไม่มีเงื่อนไข” ไม่ใช่เช่นนั้น บางคนพูดจนชินว่า “พระผู้ช่วยให้รอดทรงรักฉันอย่างที่ฉันเป็น” นั่นเป็นความจริงแน่นอน แต่พระองค์จะรับเราเข้าอาณาจักรพระองค์อย่างที่เราเป็นไม่ได้ “เพราะสิ่งไม่สะอาดจะพำนักที่นั่นไม่ได้, หรือพำนักในที่ประทับของพระองค์ก็ไม่ได้”7 บาปของเราต้องได้รับการแก้ไขก่อน

ศาสตราจารย์ฮิวจ์ นิบลีย์บันทึกไว้ว่าอาณาจักรพระผู้เป็นเจ้าไม่อาจทนได้หากต้องยอมให้มีแม้กระทั่งบาปเล็กน้อยที่สุด “จุดด่างพร้อยเพียงนิดเดียวหมายความว่าโลกอื่นคงทั้งด่างพร้อยและไม่เป็นนิรันดร์ จุดบกพร่องเพียงนิดเดียวในอาคาร สถาบัน กฎเกณฑ์ หรืออุปนิสัยย่อมเป็นเหตุแห่งหายนะอย่างเลี่ยงไม่ได้ในระยะยาวของนิรันดร”8 พระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า “เคร่งครัด”9 เพราะอาณาจักรของพระองค์และพลเมืองในนั้นจะคงอยู่ต่อไปได้เมื่อปฏิเสธความชั่วและเลือกความดีเสมอโดยไม่มีข้อยกเว้น10

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์กล่าวว่า “พระเยซูเข้าพระทัยชัดเจนถึงสิ่งที่หลายคนในวัฒธรรมสมัยใหม่คล้ายจะหลงลืมว่ามีความแตกต่างอย่างมากระหว่างพระบัญชาให้เราอภัยบาป (ซึ่งทรงสามารถทำได้อย่างไร้ขอบเขต) กับพระดำรัสเตือนไม่ให้ยอมรับบาป (ซึ่งทรงไม่เคยทำแม้แต่ครั้งเดียว)”11

แม้มีข้อบกพร่องในปัจจุบัน แต่เรายังคงหวังได้ว่าจะมี “ชื่อและฐานะ”12 มีที่ในศาสนจักรของพระองค์และในโลกซีเลสเชียล หลังจากประกาศชัดว่าทรงไม่อาจยกเว้นหรือขยิบตาให้บาปได้ พระเจ้าทรงรับรองกับเราว่า

“กระนั้นก็ตาม, คนที่กลับใจและทำตามบัญญัติของพระเจ้าจะได้รับการให้อภัย”13

“และจะกี่ครั้งก็ตามที่ผู้คนของเรากลับใจเราจะให้อภัยพวกเขาสำหรับการล่วงละเมิดของพวกเขาที่มีต่อเรา”14

การกลับใจและพระคุณแก้ไขสภาวะลำบากนี้:

“จงจำถ้อยคำซึ่งอมิวเล็คพูดกับซีเอสรอม, ในเมืองแอมันไนฮาห์ด้วย; เพราะท่านกล่าวแก่เขาว่าพระเจ้าจะเสด็จมาแน่นอนเพื่อไถ่ผู้คนของพระองค์, แต่ว่าพระองค์จะไม่เสด็จมาเพื่อไถ่พวกเขา ใน บาปของพวกเขา, แต่ทรงไถ่พวกเขา จาก บาปของพวกเขา.

“และพระองค์ทรงมีพลังซึ่งได้รับจากพระบิดาเพื่อไถ่พวกเขาจากบาปของพวกเขาเพราะการกลับใจ; ฉะนั้นพระองค์จึงทรงส่งเทพของพระองค์มาประกาศข่าวเกี่ยวกับเงื่อนไขของการกลับใจ, ซึ่งนำไปสู่เดชานุภาพของพระผู้ไถ่, ไปสู่ความรอดของจิตวิญญาณพวกเขา”15

ด้วยเงื่อนไขการกลับใจ ทรงสามารถยื่นความเมตตาให้ได้โดยไม่ต้องปล้นความยุติธรรม และ “พระผู้เป็นเจ้ามิทรงยุติการเป็นพระผู้เป็นเจ้า”16

ดังที่ท่านทราบ วิถีของโลกคือต่อต้านพระคริสต์ หรือ “อะไรก็ได้นอกจากพระคริสต์” ยุคของเราเป็นการตอกย้ำประวัติศาสตร์พระคัมภีร์มอรมอนที่บุคคลที่มีเสน่ห์ดึงดูดพยายามปกครองเหนือผู้อื่นอย่างไม่ชอบธรรม ยกย่องอิสระทางเพศ และส่งเสริมให้การสะสมความมั่งคั่งเป็นวัตถุประสงค์ของการดำรงอยู่ ปรัชญาของคนเหล่านี้ “แก้ต่างให้การทำบาปเล็กน้อย”17หรือแม้แต่บาปมากมาย แต่ไม่มีใครให้การไถ่ได้ การไถ่เกิดขึ้นผ่านพระโลหิตของพระเมษโปดกเท่านั้น กลุ่มคนที่ “อะไรก็ได้นอกจากพระคริสต์” หรือ “อะไรก็ได้นอกจากการกลับใจ” สามารถให้ได้ดีที่สุดคือคำกล่าวอ้างลอยๆ ว่าบาปไม่มีจริง หรือถ้ามีจริง สุดท้ายแล้วก็ไม่ส่งผลอะไร ข้าพเจ้าไม่เห็นว่าข้อโต้แย้งนั้นจะมีน้ำหนักพอที่การพิพากษาครั้งสุดท้าย18

เราไม่ต้องอุตส่าห์ทำเรื่องเหลือวิสัยในการพยายามแก้ตัวให้บาปของเรา ในทางกลับกัน เราไม่ต้องอุตส่าห์ทำเรื่องเหลือวิสัยในการลบผลของบาปโดยอาศัยความดีงามของเราอย่างเดียว ศาสนาของเราไม่ใช่ศาสนาของการแก้ตัว ทั้งไม่ใช่ศาสนาของความสมบูรณ์แบบ แต่เป็นศาสนาของการไถ่—การไถ่ผ่านพระเยซูคริสต์ ถ้าเราอยู่ในบรรดาผู้สำนึกผิด ด้วยการชดใช้ของพระองค์ บาปของเราจะถูกตอกบนกางเขนของพระองค์ และ “ที่ [พระองค์] ถูกเฆี่ยนตีก็ทำให้เราได้รับการรักษา”19

ความรักอันแรงกล้าของศาสดาพยากรณ์สะท้อนความรักของพระผู้เป็นเจ้า

ข้าพเจ้าประทับใจมานานและรู้สึกถึงความรักอันแรงกล้าจากศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าในการเตือนเรื่องบาป ท่านเหล่านั้นไม่ได้ทำเพราะปรารถนาจะกล่าวโทษ ความปรารถนาที่แท้จริงของท่านเหล่านั้นสะท้อนความรักของพระผู้เป็นเจ้า อันที่จริงนั่น คือ ความรักของพระผู้เป็นเจ้า ท่านรักคนที่ท่านถูกส่งมาเตือน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นใครและเป็นคนแบบไหน เฉกเช่นพระเจ้า ผู้รับใช้ของพระองค์ไม่ต้องการให้ใครทนทุกข์กับความเจ็บปวดของบาปและการเลือกที่ไม่ดี20

แอลมาถูกส่งมาประกาศข่าวสารเรื่องการกลับใจและการไถ่แก่คนที่มีแต่ความเกลียดชังที่ยินดีข่มเหง ทรมาน และถึงกับฆ่าผู้มีความเชื่อแบบชาวคริสต์ รวมทั้งตัวแอลมาด้วย แต่ท่านรักพวกเขาและอยากให้พวกเขาได้รับความรอด หลังจากประกาศเรื่องการชดใช้ของพระคริสต์ต่อผู้คนแห่งแอมันไนฮาห์ แอลมาวิงวอนว่า: “และบัดนี้, พี่น้องข้าพเจ้า, ข้าพเจ้าปรารถนาจากในส่วนลึกที่สุดของใจข้าพเจ้า, แท้จริงแล้ว, ด้วยความห่วงใยอย่างใหญ่หลวงแม้ถึงความเจ็บปวด, ให้ท่านสดับฟังถ้อยคำของข้าพเจ้า, และทิ้งบาปของท่าน, … เพื่อพระองค์จะทรงยกท่านขึ้นในวันสุดท้ายและเข้าไปในสถานพักผ่อน [ของพระผู้เป็นเจ้า]”21

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันพูดว่า “เป็นเพราะเราใส่ใจบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าอย่างลึกซึ้งจริงๆ เราจึงประกาศความจริงของพระองค์”22

พระผู้เป็นเจ้าทรงรักท่าน ท่านรักพระองค์ไหม?

ความรักของพระบิดาและของพระบุตรเป็นของให้เปล่า แต่ก็มีความหวังและความคาดหวังรวมอยู่ด้วย ขออ้างคำพูดประธานเนลสันอีกครั้ง “กฎของพระผู้เป็นเจ้าได้รับแรงจูงใจทั้งสิ้นจากความรักอันไม่มีขอบเขตที่พระองค์ทรงมีต่อเราและความปรารถนาจะให้เราเป็นทุกอย่างที่เราจะเป็นได้”23

เพราะทรงรักท่าน จึงไม่ทรงต้องการปล่อยให้ท่าน “เป็นอย่างที่เป็นอยู่” เพราะทรงรักท่าน จึงทรงต้องการให้ท่านมีปีติและประสบความสำเร็จ เพราะทรงรักท่าน จึงทรงต้องการให้ท่านกลับใจเพราะนั่นคือเส้นทางสู่ความสุข แต่นั่นเป็นการเลือกของท่าน—พระองค์ทรงให้เกียรติสิทธิ์เสรีของท่าน ท่านต้องเลือกที่จะรักพระองค์ รับใช้พระองค์ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เมื่อนั้นพระองค์ย่อมสามารถ ประทานพร และ รัก ท่านได้มากมายยิ่งขึ้น

ความคาดหวังหลักของพระองค์คือให้เรารักด้วยเช่นกัน “ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้‌จักพระ‌เจ้า เพราะ‌ว่าพระ‌เจ้าทรงเป็นความรัก”24 และยอห์นเขียนว่า “ท่านที่‍รักทั้ง‍หลาย ถ้าพระ‍เจ้าทรงรักเราอย่างนั้น เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย”25

จอย ดี. โจนส์ อดีตประธานปฐมวัยสามัญเล่าว่าสมัยเป็นคู่หนุ่มสาว เธอกับสามีได้รับเรียกให้ไปเยี่ยมและปฏิบัติศาสนกิจต่อครอบครัวหนึ่งที่ไม่ได้มาโบสถ์หลายปี เห็นได้ชัดทันทีในการเยี่ยมครั้งแรกว่าพวกเขาไม่ต้องการให้ไปเยี่ยม หลังจากท้อใจกับความพยายามอีกหลายครั้งที่ไม่เป็นผล และหลังจากสวดอ้อนวอนและไตร่ตรองอย่างจริงใจ บราเดอร์และซิสเตอร์โจนส์ได้รับคำตอบถึง เหตุ ที่พวกเขารับใช้ในข้อนี้จากหลักคำสอนและพันธสัญญา: “เจ้าจงรักพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้าของเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า, ด้วยสุดพลัง, ความนึกคิด, และพละกำลังของเจ้า; และในพระนามของพระเยซูคริสต์ เจ้าจงรับใช้พระองค์26 ซิสเตอร์โจนส์กล่าวว่า:

“เราตระหนักว่าเราพยายามรับใช้ครอบครัวนี้และรับใช้อธิการของเราด้วยความจริงใจ แต่เราต้องถามตนเองว่าในความเป็นจริงการรับใช้นั้นมาจากความรักที่มีต่อพระเจ้าหรือไม่ …

“… เราเริ่มตั้งตารอไปเยี่ยมครอบครัวนี้ด้วยความรักที่เรามีต่อพระเจ้า [ดู 1 นีไฟ 11:22] เรากำลังทำเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เรื่องยากๆ ไม่ยากอีกต่อไป หลังจากยืนคุยที่หน้าประตูอยู่หลายเดือน ครอบครัวนี้เริ่มยอมให้เราเข้าบ้าน ในที่สุดเราก็มีการสวดอ้อนวอนและสนทนาพระคัมภีร์เบาๆ ด้วยกันเป็นประจำ มิตรภาพที่ยั่งยืนเริ่มก่อตัว เรากำลังนมัสการและรักพระองค์โดยรักบุตรธิดาของพระองค์”27

ในการยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเราอย่างสมบูรณ์แบบ เราอาจถามว่า “ฉันรักพระผู้เป็นเจ้ามากแค่ไหน? พระองค์จะพึ่งพาความรักของฉันเหมือนที่ฉันพึ่งพาความรักของพระองค์ได้ไหม?” นั่นย่อมเป็นความปรารถนาที่คุ้มค่ามิใช่หรือที่เราจะดำเนินชีวิตเพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าไม่เพียงสามารถรักเรา ทั้งที่ เรามีความผิดพลาด แต่รัก เพราะ สิ่งที่เรากำลังจะเป็นด้วย? เพื่อที่พระองค์จะตรัสถึงท่านและข้าพเจ้าได้ดังเช่นที่ตรัสถึงไฮรัม สมิธว่า “เรา, พระเจ้า, รักเขาเนื่องจากความสุจริตใจของเขา”28 ขอให้เราจดจำคำตักเตือนอันอ่อนโยนของยอห์น: “เพราะว่าความรักต่อพระ‍เจ้าเป็นอย่าง‍นี้คือเมื่อเราประ‌พฤติตามพระ‍บัญญัติของพระ‍องค์ และพระ‍บัญญัติของพระ‍องค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกิน‍ไป”29

แท้จริงแล้วพระบัญญัติของพระองค์ไม่ใช่ภาระหนัก—แต่ตรงกันข้าม พระบัญญัติวางเส้นทางแห่งการเยียวยา ความสุข สันติสุข และปีติ พระบิดาและพระผู้ไถ่ของเราประทานพรเราด้วยพระบัญญัติ และในการเชื่อฟังพระบัญญัตินั้น เรารู้สึกถึงความรักอันสมบูรณ์แบบของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยมมากขึ้นและลึกซึ้งมากขึ้น30

ทางออกสำหรับยุคนี้ที่มีการวิวาทกันไม่หยุดหย่อนก็คือความรักของพระผู้เป็นเจ้า ในยุคทองของประวัติศาสตร์พระคัมภีร์มอรมอนหลังจากการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอด มีเขียนไว้ว่า “ไม่มีความขัดแย้ง ในแผ่นดิน, เพราะความรักของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสถิตอยู่ในใจผู้คน”31 ขณะพากเพียรไปสู่ไซอัน พึงระลึกถึงคำสัญญาในวิวรณ์ว่า: “คนทั้ง‍หลายที่ชำระ‍ล้างเสื้อ‍ผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าพวก‍เขาจะมีสิทธิ์ในต้น‍ไม้แห่งชีวิต และเข้าไปในนคร [ศักดิ์สิทธิ์] โดยทางประตูได้”32

ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงการดำรงอยู่จริงของพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ไถ่ของเราพระเยซูคริสต์ และถึงความรักอันมั่นคงไม่สิ้นสุดของทั้งสองพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน