ความสงสารเนืองนิตย์ของพระผู้ช่วยให้รอด
การแสดงความสงสารผู้อื่นคือแก่นแท้ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์
หนึ่งในหลักธรรมโดดเด่นที่สุดที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนระหว่างทรงปฏิบัติศาสนกิจบนโลกคือการปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสงสาร ขอให้เราใคร่ครวญหลักธรรมนี้และการนำมาปฏิบัติโดยพิจารณาเรื่องที่พระเยซูเสด็จเยือนบ้านของซีโมนคนฟาริสี
หนังสือกิตติคุณของลูกาเล่าว่าหญิงคนหนึ่งที่ถือว่าเป็นคนบาปเข้ามาในบ้านของซีโมนขณะพระเยซูประทับที่นั่น หญิงคนนั้นมาหาพระเยซูด้วยความน้อมสำนึกผิด เธอใช้น้ำตาล้างพระบาท เช็ดด้วยผมตัวเอง แล้วจูบพระบาทและเอาน้ำมันพิเศษชโลม1 เจ้าบ้านผู้เย่อหยิ่งที่ถือตนว่ามีศีลธรรมเหนือกว่านาง นึกในใจด้วยคำตำหนิและความยโสว่า “ถ้าท่านผู้นี้เป็นผู้เผยพระวจนะ ก็น่าจะรู้ว่าผู้หญิงที่แตะต้องตัวของท่านเป็นใครและเป็นคนอย่างไร เพราะนางเป็นคนบาป”2
เจตคติของคนฟาริสีที่มองว่าตนเองดีเหนือผู้อื่นชักนำเขาให้ตัดสินพระเยซูและหญิงนั้นอย่างไม่เป็นธรรม แต่ในความรู้แจ้ง พระผู้ช่วยให้รอดทรงทราบความนึกคิดของซีโมน และในพระปรีชาญาณอันยิ่งใหญ่ ทรงแย้งทัศนคติดูถูกของซีโมน และทรงตักเตือนที่เขาขาดมารยาทในการรับแขกพิเศษอย่างพระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาในบ้าน อันที่จริงการที่ทรงตำหนิคนฟาริสีตรงๆ เช่นนี้เป็นพยานว่าพระเยซูทรงครอบครองของประทานแห่งการพยากรณ์จริงๆ และหญิงคนนี้กลับใจด้วยใจที่อ่อนน้อมและสำนึกผิดและได้รับการอภัยบาปแล้ว3
เหมือนอีกหลายเหตุการณ์ระหว่างพระเยซูทรงปฏิบัติศาสนกิจบนโลก เรื่องนี้แสดงให้เห็นอีกครั้งว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติด้วยความสงสารต่อทุกคนที่ยอมมาหาพระองค์—ไม่ทรงแบ่งแยก—โดยเฉพาะกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากพระองค์มากที่สุด ความสำนึกผิดและความเคารพรักที่หญิงนั้นแสดงต่อพระเยซูเป็นหลักฐานยืนยันว่านางกลับใจจริงและปรารถนาจะได้รับการปลดบาป แต่ปมเขื่องของซีโมน ควบคู่กับใจที่แข็งกระด้าง4ทำให้เขาไม่เข้าใจความรู้สึกของคนที่กลับใจและถึงกับพาดพิงถึงพระผู้ช่วยให้รอดของโลกอย่างไม่แยแสและดูหมิ่น เจตคติของเขาเผยให้เห็นว่าวิถีชีวิตเขาไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสร้งทำเป็นเคร่งปฏิบัติตามกฎและแสดงความเชื่อมั่นให้เห็นภายนอกผ่านการคุยโวโอ้อวดและความศักดิ์สิทธิ์จอมปลอม5
การปฏิบัติศาสนกิจของพระเยซูด้วยความสงสารเป็นการส่วนพระองค์นี้เป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมว่าเราควรปฏิสัมพันธ์ต่อเพื่อนบ้านอย่างไร พระคัมภีร์มีตัวอย่างนับไม่ถ้วนที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงลงมือทำเนื่องจากความสงสารอย่างสุดซึ้งอยู่เนืองนิตย์ ทรงปฏิสัมพันธ์กับคนในสมัยของพระองค์และทรงช่วยคนที่มีทุกข์และคนที่ “ถูกรังควาน และไร้ที่พึ่งเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง”6 ทรงยื่นพระหัตถ์อันเปี่ยมเมตตาให้คนที่ต้องการการแบ่งเบาภาระทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณ7
เจตคติแห่งความสงสารของพระเยซูหยั่งรากในจิตกุศล8 ในความรักอันบริสุทธิ์และสมบูรณ์แบบของพระองค์ ซึ่งคือแก่นแท้ของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ ความสงสารเป็นอุปนิสัยพื้นฐานของผู้ที่พากเพียรชำระตนให้บริสุทธิ์ และคุณลักษณะแห่งสววรค์นี้เกี่ยวพันกับลักษณะนิสัยอื่นของชาวคริสต์ เช่น เป็นทุกข์กับคนที่เป็นทุกข์และมีความเห็นใจ ความเมตตา และความกรุณา6 อันที่จริงการแสดงความสงสารผู้อื่นคือแก่นแท้ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และเป็นหลักฐานยืนยันว่าเราใกล้ชิดพระผู้ช่วยให้รอดทางวิญญาณและทางอารมณ์ นอกจากนี้ยังแสดงถึงระดับอิทธิพลที่ทรงมีต่อวิถีชีวิตของเราและแสดงถึงศักยภาพของวิญญาณเราด้วย
สำคัญที่จะพึงสังเกตว่าการปฏิบัติด้วยความสงสารของพระเยซูไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวหรือภายใต้อาณัติของใครตามรายการที่ต้องทำ แต่เป็นการแสดงออกทุกวันถึงความจริงของความรักอันบริสุทธิ์ที่ทรงมีต่อพระผู้เป็นเจ้าและบุตรธิดาของพระองค์และความปรารถนาที่จะทรงช่วยพวกเขาอยู่เนืองนิตย์
พระเยซูทรงสามารถบอกความต้องการของผู้คนได้แม้อยู่ไกล ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลก เช่น ที่พระเยซูทรงเดินทางจากคาเปอรนาอุมไปนาอินทันทีหลังจากทรงรักษาทาสของนายร้อยคนหนึ่ง10 ที่นั่นพระเยซูทรงแสดงปาฏิหาริย์ที่อ่อนโยนที่สุดครั้งหนึ่งของการปฏิบัติศาสนกิจบนโลกเมื่อทรงบัญชาชายหนุ่มที่ตายแล้ว บุตรชายคนเดียวของมารดาม่าย ให้ลุกขึ้นมามีชีวิต พระเยซูไม่ทรงเพียงรับรู้ถึงความทุกข์แสนสาหัสของมารดาที่น่าสงสารคนนั้น แต่ทรงรู้สภาพความลำบากของชีวิตเธอด้วย และทรงกระทำไปด้วยความสงสารเธอจริงๆ11
เฉกเช่นหญิงบาปกับหญิงม่ายชาวนาอิน คนมากมายในแวดวงอิทธิพลของเรากำลังแสวงหาคำปลอบใจ ความเอาใจใส่ การยอมรับ และความช่วยเหลือที่เราให้ได้ เราทุกคนสามารถเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์พระเจ้าและแสดงความเมตตาต่อคนตกทุกข์ได้ยากเช่นเดียวกับพระเยซู
ข้าพเจ้ารู้จักเด็กหญิงคนหนึ่งที่เกิดมาปากแหว่งเพดานโหว่ เธอต้องรับการผ่าตัดครั้งแรกในวันที่สองของชีวิตและอีกหลายครั้ง เพราะสงสารคนที่ประสบความท้าทายเดียวกัน เด็กคนนี้กับพ่อแม่จึงพยายามให้การสนับสนุน ความเข้าใจ และความช่วยเหลือทางอารมณ์แก่คนที่เผชิญชีวิตจริงที่ยากลำบากนี้ พวกเขาเพิ่งเขียนมาแบ่งปันว่า: “ความท้าทายของลูกสาวทำให้เรามีโอกาสพบคนดีๆ ที่ต้องการคำปลอบใจ การสนับสนุน และกำลังใจ เมื่อก่อนลูกสาวเราซึ่งตอนนี้อายุ 11 ขวบเคยพูดคุยกับพ่อแม่ของเด็กที่มีความท้าทายเดียวกัน ระหว่างสนทนา ลูกสาวของเราจะถอดหน้ากากอนามัยที่เธอสวมเพราะโรคระบาดออกครู่หนึ่งเพื่อให้พ่อแม่เด็กเห็นว่ามีความหวัง ถึงแม้เด็กน้อยคนนั้นยังต้องใช้เวลาแก้ไขปัญหาอีกหลายปี เราดีใจมากที่มีโอกาสแสดงความเห็นใจต่อคนมีทุกข์ เหมือนที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงต่อเรา เรารู้สึกว่าเราคลายความเจ็บปวดของเราทุกครั้งเมื่อเราบรรเทาความเจ็บปวดของผู้อื่น”
มิตรที่รักทั้งหลาย เมื่อเราตั้งใจพากเพียรทำให้เจตคติแห่งความสงสารอยู่ในวิถีชีวิตเราตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด เราจะรับรู้ความต้องการของผู้คนได้ไวขึ้น เมื่อเรารับรู้ไวขึ้น ความสนใจและความรักอย่างจริงใจจะแทรกซึมอยู่ในทุกการกระทำของเรา พระเจ้าจะทรงรับรู้ความพยายามของเรา เราจะได้รับพรอย่างแน่แท้ให้มีโอกาสเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระองค์ในการทำให้ใจอ่อนลงและบรรเทาทุกข์คนที่ “มืออ่อนแรง”12
การที่พระเยซูทรงตักเตือนซีโมนคนฟาริสีทำให้เห็นได้ชัดว่าเราไม่ควรตัดสินเพื่อนบ้านของเราอย่างโหดร้ายรุนแรง เพราะเราล้วนต้องการให้พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักเข้าพระทัยและทรงเมตตาความบกพร่องของเรา พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้ทรงสอนเช่นนี้หรอกหรือเมื่อพระองค์ตรัสคราวหนึ่งว่า “ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน?”13
เราต้องคำนึงว่าไม่ง่ายที่จะเข้าใจสภาวการณ์ทั้งหมดอันส่งผลต่อเจตคติหรือปฏิกิริยาของใครบางคน ภาพลักษณ์อาจลวงตาและบ่อยครั้งใช้เป็นเครื่องวัดพฤติกรรมของใครอย่างเที่ยงตรงไม่ได้ พระคริสต์ทรงต่างจากท่านกับข้าพเจ้า เพราะทรงมองเห็นสถานการณ์ทะลุปรุโปร่งทุกด้าน14 แม้จะทรงทราบความอ่อนแอทั้งหมดของเรา แต่พระผู้ช่วยให้รอดไม่ทรงบุ่มบ่ามประณามเรา แต่ทรงทำงานกับเราด้วยความสงสารเสมอเพื่อช่วยเราเอาท่อนไม้ออกจากดวงตา พระเยซูทอดพระเนตรที่จิตใจเสมอ และไม่ใช่ที่ภาพลักษณ์15 พระองค์ทรงประกาศว่า “อย่าพิพากษาตามที่เห็นภายนอก”16
ต่อไปนี้ให้พิจารณาคำแนะนำอันปราดเปรื่องของพระผู้ช่วยให้รอดต่อสาวกชาวนีไฟสิบสองคนเกี่ยวกับคำถามนี้:
“และเจ้าจงรู้ว่าเจ้าจะเป็นผู้พิพากษาแห่งคนเหล่านี้, ตามคำพิพากษาซึ่งเราจะให้แก่เจ้า, ซึ่งจะเที่ยงธรรม. ฉะนั้น, เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า? ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, แม้ดังที่เราเป็น.”17
“ฉะนั้นเราอยากให้เจ้าดีพร้อมแม้ดังเรา, หรือพระบิดาของเจ้าผู้ทรงสถิตอยู่ในสวรรค์ทรงดีพร้อม.”18
ในบริบทนี้พระเจ้าทรงตัดสินลงโทษคนที่เอาตัวเองไปตัดสินความบกพร่องของผู้อื่นโดยไม่ชอบธรรม การที่จะคู่ควรในการตัดสินอย่างชอบธรรม เราต้องพากเพียรเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดและมองดูความบกพร่องของแต่ละคนด้วยความสงสารผ่านพระเนตรของพระองค์ เมื่อพิจารณาว่าเรายังต้องทำอีกมากกว่าจะดีพร้อม คงจะดีกว่าถ้าเรานั่งแทบพระบาทพระเยซูและวิงวอนขอให้ทรงเมตตาความบกพร่องของเราเองเหมือนกับหญิงผู้กลับใจในบ้านคนฟาริสี แทนที่จะใช้เวลาและพลังงานมากมายไปกับการจ้องมองความบกพร่องที่เห็นในผู้อื่น
มิตรที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อเราพากเพียรทำให้แบบอย่างความสงสารของพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ในชีวิตเรา ความสามารถในการชื่นชมคุณธรรมของเพื่อนบ้านจะเพิ่มพูนขึ้น และนิสัยชอบตัดสินความบกพร่องของผู้อื่นจะลดลง ความสัมพันธ์กับพระผู้เป็นเจ้าจะงอกงาม และแน่นอนว่าชีวิตเราจะหวานชื่นขึ้น ความรู้สึกของเราจะอ่อนโยนขึ้น และเราจะพบบ่อเกิดแห่งความสุขไม่รู้จบ เราจะได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างสันติ19 ผู้มีคำพูดอ่อนโยนเหมือนน้ำค้างยามเช้าในฤดูใบไม้ผลิ
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราอดกลั้นและเข้าใจผู้อื่นมากขึ้น ขอให้พระเมตตาของพระเจ้าลดความไม่อดทนของเราต่อความบกพร่องของพวกเขาในความนอบน้อมอย่างที่สุด นี่คือพระดำรัสเชิญชวนของพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมของการเป็นสานุศิษย์ที่อดทนและมีเมตตา ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงความจริงเหล่านี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ เอเมน