มีเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่
การให้เกียรติพันธสัญญาทำให้เรามีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนและจรรโลงใจเราขณะพิจารณางานอัศจรรย์แห่งความรอดและความสูงส่งในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา
การเยือนโจเซฟ สมิธครั้งแรกของโมโรไน
ราวสามปีหลังจากนิมิตแรก ในคืนวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 เด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธกำลังสวดอ้อนวอนเพื่อขอรับการปลดบาปและรู้สภาพและสถานะของตนต่อพระผู้เป็นเจ้า1 รูปกายหนึ่งปรากฏข้างเตียงโจเซฟ เรียกชื่อเขา และประกาศว่า “ท่านเป็นผู้ส่งสารที่ส่งมาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า … และชื่อของท่านคือโมโรไน” ท่านอธิบายว่า “พระผู้เป็นเจ้าทรงมีงานให้ [โจเซฟ] ทำ”2 แล้วสอนเขาเกี่ยวกับการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน ที่สำคัญคือพระคัมภีร์มอรมอนเป็นหนึ่งในเรื่องแรกๆ ที่กล่าวถึงในข่าวสารของโมโรไน
พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ และเครื่องมือสำคัญของการเปลี่ยนใจเลื่อมใสในยุคสุดท้าย จุดประสงค์ของเราในการแบ่งปันพระกิตติคุณคือเชื้อเชิญให้ทุกคนมาหาพระเยซูคริสต์3 รับพรของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู และอดทนจนวาระสุดท้ายผ่านศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอด4 การช่วยให้บุคคลประสบการเปลี่ยนแปลงลึกซึ้งในใจ5 และผูกมัดตนกับพระเจ้าผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์เป็นวัตถุประสงค์พื้นฐานของการสั่งสอนพระกิตติคุณ
การที่โมโรไนแนะนำโจเซฟ สมิธให้รู้จักพระคัมภีร์มอรมอนได้เริ่มงานแห่งความรอดและความสูงส่งสำหรับบุคคลใน ด้านนี้ของม่าน ในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา
ขณะสอนโจเซฟอยู่นั้น ต่อมาโมโรไนอ้างหนังสือมาลาคีในพันธสัญญาเดิมโดยใช้ภาษาต่างจากฉบับคิงเจมส์เล็กน้อย:
“ดูเถิด, เราจะเปิดเผยฐานะปุโรหิตแก่เจ้า, โดยมือของเอลียาห์ศาสดาพยากรณ์, ก่อนการมาของวันสำคัญยิ่งและน่าพรั่นพรึงของพระเจ้า.
“… และท่านจะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา. หากไม่เป็นเช่นนั้น, ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระองค์”6
จุดประสงค์ของเราในการสร้างพระวิหารคือทำให้มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไว้ทำพันธสัญญาและประกอบศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์เพื่อความรอดและความสูงส่งของครอบครัวมนุษย์ทั้งคนเป็นและคนตาย การที่โมโรไนสอนโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับบทบาทสำคัญของเอลียาห์และสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตได้ขยายงานแห่งความรอดและความสูงส่งใน ด้านนี้ของม่าน และเริ่มงานสำหรับคนตายในสมัยการประทานของเราใน อีกด้านของม่าน
สรุปคือคำสอนของโมโรไนในเดือนกันยายนปี 1823 เกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนและพันธกิจของเอลียาห์ได้วางรากฐานหลักคำสอนสำหรับงานแห่งความรอดและความสูงส่ง ทั้งสองด้านของม่าน
คำสอนของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ
บทเรียนที่โจเซฟ สมิธเรียนรู้จากโมโรไนส่งผลต่อการปฏิบัติศาสนกิจทุกด้านของโจเซฟ ตัวอย่างเช่น ที่การชุมนุมศักดิ์สิทธิ์ในพระวิหารเคิร์ทแลนด์เมื่อ 6 เมษายน 1837 ท่านศาสดาพยากรณ์ประกาศว่า “จากทั้งหมดที่กล่าวมา หน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือสั่งสอนพระกิตติคุณ”7
เกือบเจ็ดปีต่อมา วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1844 โจเซฟ สมิธกล่าวโอวาทที่ปัจจุบันเรียกว่าปาฐกถาคิงฟอลเลตต์ โดยประกาศในครั้งนั้นว่า “ความรับผิดชอบสำคัญที่สุดในโลกนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้ให้เราคือเสาะหาคนตายของเรา”8
แต่ทั้งการสั่งสอนพระกิตติคุณและการเสาะหาคนตายจะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบสำคัญที่สุดอย่างเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เราได้อย่างไร? ข้าพเจ้าเชื่อว่าในสองข้อความนั้นศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกำลังเน้นความจริงพื้นฐานว่าพันธสัญญาที่ทำผ่านศาสนพิธีตามสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตสามารถผูกมัดเรากับพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และเป็นแก่นสำคัญของงานแห่งความรอดและความสูงส่งทั้งสองด้านของม่าน
งานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวเป็นด้านที่ส่งเสริมและสัมพันธ์กันของงานสำคัญงานเดียวที่มุ่งเน้นพันธสัญญาและศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเปิดทางให้เราได้รับพลังของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตและกลับไปที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์ในที่สุด ด้วยเหตุนี้คำกล่าวทั้งสองของศาสดาพยากรณ์ที่อาจดูขัดแย้งกันในตอนแรก แต่ที่จริงแล้วเน้นจุดสำคัญของงานยุคสุดท้ายอันยิ่งใหญ่นี้
ผูกมัดกับพระผู้ช่วยให้รอดผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธี
พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า:
“จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก
“ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”9
เรารับแอกของพระผู้ช่วยให้รอดไว้กับเราเมื่อเราเรียนรู้ มีค่าควรที่จะรับ และให้เกียรติพันธสัญญาและศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ เราถูกผูกมัดแน่นหนาติดกับพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อเรามุ่งจดจำและทำสุดความสามารถเพื่อดำเนินชีวิตตามข้อผูกมัดที่เรายอมรับ และการผูกมัดกับพระองค์เป็นแหล่งพลังทางวิญญาณในชีวิตเราทุกช่วง
ผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า
ข้าพเจ้าเชื้อเชิญให้ท่านพิจารณาพรที่สัญญาไว้กับสานุศิษย์ที่รักษาพันธสัญญาของพระเยซูคริสต์ ตัวอย่างเช่น นีไฟ “เห็นศาสนจักรของพระเมษโปดก [ในยุคสุดท้าย], และจำนวนคนของศาสนจักรนั้นน้อย, … วิสุทธิชนของพระผู้เป็นเจ้า, มีอยู่ทั่วพื้นพิภพด้วย; และการครอบครองของพวกเขา … น้อย”10
และท่าน “เห็นเดชานุภาพของพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ว่าลงมาบนวิสุทธิชนของศาสนจักรของพระเมษโปดก, และ บนผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า, … และพวกเขา มีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่.”11
วลีที่ว่า “มีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่” ไม่เพียงเป็นแนวคิดที่ดีหรือตัวอย่างภาษาพระคัมภีร์ที่ไพเราะเท่านั้น แต่พรเหล่านี้ประจักษ์ชัดในชีวิตสานุศิษย์ยุคสุดท้ายนับไม่ถ้วนของพระเจ้า
งานมอบหมายในฐานะสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองพาข้าพเจ้าไปทั่วโลก ข้าพเจ้าได้รับพรให้พบและเรียนรู้บทเรียนน่าจดจำจากท่านหลายคน ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้าทุกวันนี้มีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ ข้าพเจ้าได้เห็นศรัทธา ความกล้าหาญ มุมมอง ความพากเพียร และปีติที่ขยายเกินความสามารถมนุษย์—และมีเพียงพระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงให้ได้
ข้าพเจ้าได้เห็นความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับผ่านการซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและศาสนพิธีในชีวิตสมาชิกหนุ่มที่เป็นอัมพาตบางส่วนจากอุบัติเหตุร้ายแรงทางรถยนต์ หลังจากบุคคลนี้พักฟื้นอย่างทรหดหลายเดือนและปรับตัวเข้ากับวิถีชีวิตใหม่ที่เคลื่อนไหวได้จำกัด ข้าพเจ้าได้พบปะพูดคุยกับผู้ซื่อสัตย์คนนี้ ระหว่างสนทนากันข้าพเจ้าถามว่า “ประสบการณ์นี้ช่วยให้คุณเรียนรู้อะไรบ้าง?” เขาตอบทันทีว่า “ผมไม่ได้เสียใจ ผมไม่โกรธ และทุกอย่างจะโอเคครับ”
ข้าพเจ้าได้เห็นความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับผ่านการซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและศาสนพิธีในชีวิตสมาชิกที่เพิ่งรับบัพติศมาและการยืนยันของศาสนจักร ผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเหล่านี้กระหายใคร่ที่จะเรียนรู้และรับใช้ เต็มใจทิ้งนิสัยเดิมๆ และประเพณีเข้มงวดต่างๆ แต่มักไม่แน่ใจว่าจะทิ้งอย่างไร กระนั้นยังยินดีมาเป็น “พลเมืองเดียวกับบรรดาธรรมิกชน และเป็นครอบครัวของพระเจ้า”12
ข้าพเจ้าได้เห็นความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับผ่านการซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและศาสนพิธีในชีวิตครอบครัวหนึ่งซึ่งดูแลคู่สมรสและบิดามารดาที่ป่วยระยะสุดท้ายอย่างอ่อนโยน สานุศิษย์ที่กล้าหาญเหล่านี้พูดถึงเวลาที่ครอบครัวรู้สึกโดดเดี่ยว—และเวลาที่พวกเขารู้ว่าพระหัตถ์ของพระเจ้ากำลังยกและเสริมกำลังให้ ครอบครัวนี้แสดงความสำนึกคุณอย่างจริงใจต่อประสบการณ์ยากๆ ที่ทำให้เราเติบโตและเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์มากขึ้น พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเหลือและอวยพรครอบครัวนี้ให้มีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนและทำให้บ้านพวกเขาเป็นสถานหลบภัยอันศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระวิหาร
ข้าพเจ้าได้เห็นความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ที่ได้รับผ่านการซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาและศาสนพิธีในชีวิตสมาชิกศาสนจักรที่ผ่านความเจ็บปวดของการหย่าร้าง ความทุกข์ทางวิญญาณและทางอารมณ์ของสตรีท่านนี้เพิ่มขึ้นเนื่องจากความรู้สึกไม่เป็นธรรมเกี่ยวกับการฝ่าฝืนพันธสัญญาของคู่สมรสและการพังทลายของชีวิตแต่งงาน เธอต้องการความยุติธรรมและความรับผิดชอบ
ขณะสตรีผู้ซื่อสัตย์ท่านนี้ต่อสู้กับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเธอ เธอศึกษาและไตร่ตรองการชดใช้ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างตั้งใจและจริงจังมากกว่าที่เคยทำในชีวิต ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นในพันธกิจการไถ่ของพระคริสต์ค่อยๆ กลั่นลงมาบนจิตวิญญาณเธอ—การที่ทรงทนทุกข์เพื่อบาปของเรา รวมทั้งความเจ็บปวด ความอ่อนแอ ความผิดหวัง และความปวดร้าวของเราด้วย เธอได้รับการดลใจให้ถามคำถามแทงใจตนเองว่า: เนื่องจากมีการจ่ายราคาค่าบาปเหล่านั้นไปแล้ว คุณต้องการให้มีการจ่ายสองครั้งหรือ? เธอตระหนักว่าการเรียกร้องเช่นนั้นไม่ยุติธรรมและไร้เมตตา
สตรีผู้นี้เรียนรู้ว่าการผูกมัดตนกับพระผู้ช่วยให้รอดผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธีสามารถเยียวยาบาดแผลที่เกิดจากการใช้สิทธิ์เสรีทางศีลธรรมโดยมิชอบของผู้อื่นและเปิดทางให้เธอสามารถให้อภัยและรับความสงบสุข ความเมตตา และความรัก
คำสัญญาและประจักษ์พยาน
สัญญาและพรในพันธสัญญาเป็นไปได้เพราะพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์เท่านั้น พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราดูที่พระองค์13 มาหาพระองค์14 เรียนรู้จากพระองค์15 และผูกมัดตัวเรากับพระองค์16 ผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธีของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานและสัญญาว่าการให้เกียรติพันธสัญญาทำให้เรามีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่ และเป็นพยานว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ผู้ทรงพระชนม์คือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความจริงเหล่านี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน