การประชุมใหญ่สามัญ
การกลับตัวรายวัน
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2021


13:43

การกลับตัวรายวัน

เราต้องเติมสารอาหารด้วยแสงสวรรค์อย่างต่อเนื่องทุกวัน เราต้องมี “วาระแห่งการฟื้นชื่น” วาระแห่งการกลับตัว

เรารวมตัวกันในเช้าวันสะบาโตที่สวยงามนี้เพื่อพูดถึงพระคริสต์ ชื่นชมยินดีในพระกิตติคุณ สนับสนุนและประคับประคองกันขณะเดินใน “ทาง” ของพระผู้ช่วยให้รอด1

ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราชุมนุมกันเพื่อจุดประสงค์นี้ทุกวันสะบาโตตลอดปี หากท่านไม่ใช่สมาชิกศาสนจักร เรายินดีต้อนรับท่านอย่างอบอุ่นที่สุดและขอบคุณที่มาร่วมกับเราในการนมัสการและเรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด เรากำลังเพียรพยายามเช่นเดียวกับท่านที่จะเป็นมิตรสหาย เพื่อนบ้าน และมนุษย์ที่ดีขึ้น2—แม้จะบกพร่อง แต่เราพยายามโดยทำตามพระผู้ทรงเป็นแบบอย่างของเรา พระเยซูคริสต์

พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์

เราหวังว่าท่านจะรู้สึกถึงความจริงใจในประจักษ์พยานของเรา พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์! พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และทรงนำทางศาสดาพยากรณ์บนโลกทุกวันนี้ เราขอเชิญทุกท่านมาฟังพระคำของพระผู้เป็นเจ้าและรับส่วนพระคุณความดีของพระองค์! ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานส่วนตัวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางเราและจะทรงเข้าใกล้ทุกคนที่เข้าใกล้พระองค์13

เราถือเป็นเกียรติที่ได้เดินกับท่านในทางคับแคบของการเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์

ศิลปะของการเดินเป็นเส้นตรง

มีทฤษฎีที่มักกล่าวซ้ำๆ กันว่าคนหลงทางจะเดินวนเป็นวงกลม ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ที่ Max Planck Institute for Biological Cybernetics (สถาบันแมกซ์แพลงก์สำหรับชีววิทยาไซเบอร์เนติกส์) ได้ทดสอบทฤษฎีดังกล่าว พวกเขาพาผู้ร่วมทดสอบเข้าไปในป่าลึกและแนะนำเพียงว่าให้ “เดินเป็นเส้นตรง” ไม่มีจุดสังเกตที่มองเห็นได้ กลุ่มทดสอบต้องอาศัยการรับรู้ทิศทางของตัวเองอย่างเดียว

ท่านคิดว่าพวกเขาทำได้แค่ไหน?

นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า “คนเราเดินวนเป็นวงกลมจริงๆ เมื่อไม่มีอะไรน่าเชื่อถือมาบอกทิศทางเดิน”4 เมื่อสอบถามหลังจากนั้น ผู้ร่วมทดสอบบางคนอ้างอย่างมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้เดินเฉแม้แต่นิดเดียว แม้จะมั่นใจมาก แต่ข้อมูล GPS แสดงว่าพวกเขาเดินวนเป็นวงขนาดเท่าเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เมตร

เหตุใดเราจึงเดินเป็นเส้นตรงได้ยากขนาดนั้น? นักวิจัยบางคนตั้งสมมุติฐานว่าการเฉไปนิดเดียวที่ดูไม่มีนัยสำคัญในทางภูมิประเทศสร้างความแตกต่าง นักวิจัยคนอื่นชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าเราทุกคนมีขาข้างหนึ่งแข็งแรงกว่าอีกข้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เรา “มีแนวโน้ม” จะเดินตรงไปข้างหน้าไม่ค่อยได้ “[เพราะ] มีความไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นทุกขณะว่าข้างหน้าคือที่ใด”5

ไม่ว่าเหตุใดก็ตาม นั่นคือธรรมชาติมนุษย์: เราเบนออกนอกเส้นทางเมื่อไม่มีจุดสังเกตที่น่าเชื่อถือ

ไถลออกนอกเส้นทาง

น่าสนใจมิใช่หรือเมื่อปัจจัยเล็กๆ ที่ดูไม่มีนัยสำคัญสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในชีวิตเราได้?

ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะนักบิน ทุกครั้งที่เริ่มลดระดับลงสนามบิน ข้าพเจ้ารู้ว่างานที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นการปรับวิถีการบินเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลาเพื่อนำเครื่องลงรันเวย์ที่ต้องการอย่างปลอดภัย

ท่านอาจจะมีประสบการณ์คล้ายกันตอนขับรถ ไม่ว่าจะเป็นลม ถนนขรุขระ การตั้งศูนย์ล้อไม่ดี ความประมาท—ไม่นับการกระทำของผู้ขับขี่รายอื่น—ทั้งหมดนี้สามารถผลักท่านออกนอกเส้นทางที่ตั้งใจได้ การไม่ใส่ใจองค์ประกอบเหล่านี้อาจจบลงด้วยการมีวันแย่ๆ6

รถยนต์ในสระน้ำ

เรื่องนี้ประยุกต์ใช้กับเราทางกาย

และทางวิญญาณด้วย

การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ในชีวิตทางวิญญาณของเรา—ทั้งดีและไม่ดี—ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิด เหมือนผู้ร่วมทดสอบในการศึกษาของ Max Planck เราอาจไม่รู้ตัวตอนเราเปลี่ยนทิศทาง อาจมั่นใจมากด้วยซ้ำว่าเรากำลังเดินเป็นเส้นตรง แต่ข้อเท็จจริงคือหากไม่มีจุดสังเกตช่วยนำทาง เราย่อมเฉออกนอกเส้นทางและไปอยู่ในที่ที่เราไม่เคยคิดว่าจะไป

แต่ละคนเป็นเช่นนั้น สังคมและประเทศชาติก็เป็นเช่นนั้นด้วย พระคัมภีร์มีตัวอย่างเต็มไปหมด

หนังสือผู้วินิจฉัยบันทึกว่าหลังจากโยชูวาตาย “และคนรุ่น‍นั้นทั้ง‍สิ้นก็ถูกรวบไปอยู่กับบรรพ‌บุรุษของเขา … พวก‍เขาไม่รู้‍จักพระ‍ยาห์‌เวห์อีก‍ทั้งไม่รู้เรื่องพระ‍ราช‌กิจที่ทรงทำเพื่ออิสรา‌เอล”7

ทั้งที่ลูกหลานอิสราเอลเห็นการแทรกแซง การมาเยือน การช่วยชีวิต และชัยชนะอัศจรรย์จากสวรรค์ซึ่งล้วนแต่น่าตื่นตะลึงในช่วงชีวิตของโมเสสและโยชูวา แต่ภายในรุ่นเดียวผู้คนก็ทอดทิ้งทางนั้นและเริ่มเดินตามความปรารถนาของตน แน่นอนว่าไม่นานพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสำหรับพฤติกรรมนั้น

บางครั้งการตกจากทางใช้เวลาหลายรุ่น บางครั้งเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือน8 แต่เราทุกคนหวั่นไหวง่าย ไม่ว่าประสบการณ์ทางวิญญาณของเราจะเข้มแข็งเพียงใดในอดีต มนุษย์อย่างเราก็มักเถลไถล เป็นแบบแผนเช่นนั้นมาตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงปัจจุบัน

แต่ว่ามีข่าวดี

คือทุกคนยังมีหวัง ไม่เหมือนผู้ร่วมทดสอบที่ออกนอกทาง เรามีจุดสังเกตที่น่าเชื่อถือและมองเห็นได้ซึ่งเราสามารถใช้ประเมินเส้นทางของเรา

แล้วจุดสังเกตเหล่านี้มีอะไรบ้าง?

ที่แน่ๆ คือการสวดอ้อนวอนประจำวัน การไตร่ตรองพระคัมภีร์ และการใช้เครื่องมือที่มาจากการดลใจเช่น จงตามเรามา แต่ละวันเราสามารถเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตนและความซื่อสัตย์ เราสามารถไตร่ตรองการกระทำของเราและทบทวนช่วงต่างๆ ของวัน—พิจารณาความประสงค์และความปรารถนาของเราในแง่ของพระองค์ ถ้าเราหลงออกไปแล้ว เราวิงวอนทูลขอพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงนำเรากลับมา และเราให้คำมั่นว่าจะทำดีขึ้น

พระผู้ช่วยให้รอดทรงนำแกะของพระองค์

ช่วงเวลาคิดทบทวนเช่นนี้เป็นโอกาสให้เราปรับเปลี่ยน เป็นสวนแห่งการใคร่ครวญที่เราสามารถเดินกับพระเจ้าและรับการสอน การจรรโลงใจ และการทำให้บริสุทธิ์จากพระคำของพระบิดาบนสวรรค์ที่เขียนไว้และเปิดเผยผ่านพระวิญญาณ เป็นเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เราระลึกถึงพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ว่าจะติดตามพระคริสต์ผู้อ่อนโยน เวลาที่เราประเมินความก้าวหน้าและวางตัวเองให้อยู่ในแนวเดียวกับจุดสังเกตทางวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ลูกๆ ของพระองค์

จงคิดว่านี่เป็น การกลับตัวรายวัน ของท่าน ระหว่างเดินไปตามเส้นทางเกียรติยศดังผู้จาริก เรารู้ว่าเราตกไปได้ง่ายแค่ไหน แต่เช่นเดียวกับการเฉนิดเดียวที่สามารถดึงเราออกจากทางของพระผู้ช่วยให้รอดได้ฉันใด การปรับวิถีเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถนำเรากลับมาได้แน่นอนฉันนั้น เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามาในชีวิตดังที่มักจะเป็น การกลับตัวรายวันจะเปิดใจเรารับแสงสวรรค์ซึ่งส่องสว่างจิตวิญญาณเรา ขับเงามืด ความกลัว และความสงสัยออกไป

หางเสือเล็ก เรือลำใหญ่

ถ้าเราแสวงหา แน่นอนว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความรู้แก่ [เรา] โดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, แท้จริงแล้ว, โดยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งไม่อาจพูดถึงได้”9 ทุกครั้งที่เราทูลขอ พระองค์จะทรงสอนเราถึงทางนั้นและช่วยให้เราเดินตาม

แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามอย่างแน่วแน่ในส่วนของเรา เราจะพอใจกับประสบการณ์ทางวิญญาณในอดีตไม่ได้ เราต้องมีอยู่เรื่อยๆ

เราจะพึ่งประจักษ์พยานของผู้อื่นตลอดไปไม่ได้ เราต้องสร้างเอง

เราต้องเติมสารอาหารด้วยแสงสวรรค์อย่างต่อเนื่องทุกวัน

เราต้องมี “วาระแห่งการฟื้นชื่น”10 วาระแห่งการกลับตัว

“ผืนน้ำอันเป็นระลอกคลื่น” จะ “ไม่บริสุทธิ์” ได้ไม่นาน11 เพื่อรักษาความคิดและการกระทำให้บริสุทธิ์ เราต้องเป็นระลอกคลื่น!

อย่างไรก็ตามการฟื้นฟูพระกิตติคุณและศาสนจักรไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วสิ้นสุด แต่เป็น กระบวนการต่อเนื่อง—ทีละวัน ทีละใจ

วันเวลาผ่านไปฉันใด ชีวิตเราผ่านไปฉันนั้น นักประพันธ์ท่านหนึ่งเขียนไว้เช่นนี้: “หนึ่งวันเหมือนทั้งชีวิต เริ่มด้วยการทำอย่างหนึ่ง แต่จบลงด้วยการทำอีกอย่างหนึ่ง วางแผนไปทำธุระ แต่ไม่เคยไปถึง … และเมื่อถึงบั้นปลายชีวิต การดำรงอยู่ทั้งชีวิตย่อมเป็นไปอย่างไร้แบบแผนเช่นนั้นด้วย ทั้งชีวิตมีรูปแบบเหมือนวันเดียว”12

ท่านอยากเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตใช่ไหม?

จงเปลี่ยนแปลงรูปแบบวันของท่าน

ท่านอยากเปลี่ยนแปลงวันของท่านใช่ไหม?

จงเปลี่ยนแปลงชั่วโมงนี้

เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านคิด รู้สึก และทำเวลานี้

หางเสืออันเล็กสามารถควบคุมเรือลำใหญ่ได้13

อิฐก้อนเล็กๆ กลายเป็นปราสาทหลังงามได้

เมล็ดเล็กๆ กลายเป็นต้นสนยักษ์ได้

นาทีและชั่วโมงที่ใช้ไปอย่างดีเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ดำเนินไปอย่างดี สามารถดลบันดาลความดี ยกเราขึ้นจากปลักของความไม่สมบูรณ์แบบ และนำเรากลับขึ้นสู่เส้นทางการไถ่ของการให้อภัยและการชำระให้ศักดิ์สิทธิ์

พระผู้เป็นเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่

ข้าพเจ้าแสดงความสำนึกคุณร่วมกับท่านต่อของประทานอันล้ำค่าแห่งโอกาสใหม่ ชีวิตใหม่ ความหวังใหม่

เราเปล่งเสียงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงให้อภัยและมีพระทัยอารี ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่อย่างแน่แท้ จุดหมายสูงส่งในงานทั้งหมดของพระองค์คือช่วยให้เราเหล่าบุตรธิดาแสวงหาความอมตะและชีวิตนิรันดร์ได้สำเร็จ5

เราเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่า “จะกี่ครั้งก็ตามที่ผู้คนของเรากลับใจ เราจะให้อภัยพวกเขาสำหรับการล่วงละเมิดของพวกเขาที่มีต่อเรา”15และ “ไม่จำมันอีก”16

พี่น้องที่รัก มิตรสหายที่รัก เราทุกคนหลงออกนอกทางเป็นครั้งคราว

แต่เรากลับมาเส้นทางเดิมได้ เราสามารถหาทางฝ่าความมืดและการทดลองของชีวิตและพบทางกลับมาหาพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราได้ ถ้าเราแสวงหาและยอมรับจุดสังเกตทางวิญญาณที่ทรงเตรียมไว้ น้อมรับการเปิดเผยส่วนตัว และพากเพียรที่จะ กลับตัวรายวัน นี่คือวิธีที่เราจะกลายเป็นสานุศิษย์จริงๆ ของพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา พระเยซูคริสต์

เมื่อเราทำเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะแย้มพระสรวลให้เรา “พระยาห์เวห์จะ … ทรงอวยพรท่านในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน พระ‍ยาห์‌เวห์​จะ​ทรงตั้งท่านให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระองค์”17

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราพยายามกลับตัวรายวันและพากเพียรเดินอยู่ในทางนั้นของพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. พระเยซูทรงสอนว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) NIV First-Century Study Bible มีคำอธิบายนี้: “ภาพเส้นทางหรือวิถีในพระคัมภีร์ไบเบิลภาษาฮีบรูมักหมายถึงการรักษาพระบัญญัติหรือคำสอนของพระผู้เป็นเจ้า [ดู สดุดี 1:1; 16:11; 86:11] นี่เป็นอุปลักษณ์ทั่วไปในสมัยโบราณสำหรับการมีส่วนร่วมเต็มที่ในชุดความเชื่อ คำสอน หรือการปฏิบัติบางอย่าง ประชาคม Dead Sea Scrolls เรียกตัวเองว่าผู้เดินตาม ‘ทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาถือว่าตนเป็นผู้เดินตามเส้นทางที่พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยตามการตีความของตนเอง เปาโลและชาวคริสต์กลุ่มแรกก็เรียกตนเองว่า ‘ผู้เดินตามทางนั้น’ [ดู กิจการของอัครทูต 24:14]” (ใน “What the Bible Says about the Way, the Truth, and the Life,” Bible Gateway, biblegateway.com/topics/the-way-the-truth-and-the-life)

    ในปี 1873 มีคนค้นพบหนังสือโบราณชื่อว่า Didache ในหอสมุดของพระสังฆราชแห่งเยรูซาเล็มที่คอนสแตนติโนเปิล นักวิชาการหลายคนเชื่อว่ามีคนเขียนและใช้หนังสือนี้ในปลายศตวรรษแรก (ค.ศ. 80–100) Didache เริ่มด้วยข้อความเหล่านี้: “มีสองทาง ทางแห่งชีวิตและทางแห่งความตาย แต่มีความแตกต่างใหญ่หลวงระหว่างสองทางนี้ ทางแห่งชีวิตคือ: หนึ่ง จงรักพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเจ้า; สอง จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (Teaching of the Twelve Apostles, trans. Roswell D. Hitchcock and Francis Brown [1884], 3)

    ที่มาแหล่งอื่นๆ เช่น The Expositor’s Bible Commentary ชี้ให้เห็นว่า “ในช่วงแรกๆ ที่มีศาสนจักร คนที่ยอมรับความเป็นพระเมสสิยาห์ของพระเยซูและอ้างว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของพวกเขาจะเรียกตนเองว่าคนของ ‘ทางนั้น’ [ดู กิจการของอัครทูต 19:9, 23; 22:4; 24:14, 22]” (ed. Frank E. Gaebelein and others [1981], 9:370).

  2. ดู โมไซยาห์ 2:17.

  3. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:63.

  4. “Walking in Circles,” Aug. 20, 2009, Max-Planck-Gesellschaft, mpg.de.

  5. “Walking in Circles,” mpg.de. ภาพนี้แสดงให้เห็นการติดตามผู้ร่วมทดสอบสี่คนในงานวิจัยผ่านจีพีเอส สามคนเดินในวันที่มีเมฆมาก คนหนึ่ง (SM) เริ่มเดินขณะเมฆบดบังดวงอาทิตย์ แต่เมฆสลายไป 15 นาทีหลังจากนั้น และเขาสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ลอดสอดส่องมา สังเกตว่าทันทีที่มองเห็นดวงอาทิตย์ได้เขาเดินเป็นเส้นตรงได้ดีขึ้นมาก

  6. สำหรับตัวอย่างอันน่าโศกสลดที่แสดงให้เห็นว่าความผิดพลาดแค่สององศาทำให้เครื่องบินโดยสารพุ่งชนภูเขาเอเรบัสในแอนตาร์กติกาจนมีผู้เสียชีวิต 257 รายอย่างไร ดู ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “เรื่องเล็กๆ น้อยๆ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 70–74.

  7. ผู้วินิจฉัย 2:10.

  8. หลังจากพระคริสต์เสด็จเยือนอเมริกา ผู้คนกลับใจจากบาปจริงๆ รับบัพติศมา และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ จากที่พวกเขาเคยเป็นคนชอบขัดแย้งและจองหอง บัดนี้ “ไม่มีความขัดแย้งและการโต้เถียงในบรรดาคนเหล่านั้น, และทุกคนปฏิบัติต่อกันอย่างเที่ยงธรรม” (4 นีไฟ 1:2) ช่วงเวลานี้ของความชอบธรรมคงอยู่ราวสองศตวรรษก่อนความจองหองเริ่มทำให้ผู้คนหันจากทางนั้น แต่การเบี่ยงเบนทางวิญญาณเกิดขึ้นเร็วกว่านั้นได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น หลายทศวรรษก่อนหน้านั้น ในปีที่ 50 ของการปกครองของผู้พิพากษาในพระคัมภีร์มอรมอน “มีความสงบสุขต่อเนื่อง” ในบรรดาผู้คน แต่เพราะความจองหองที่เข้ามาในใจสมาชิกศาสนจักร หลังจากช่วงเวลาสั้นๆ สี่ปี “มีการแตกแยกมากในศาสนจักร, และมีความขัดแย้งในบรรดาผู้คนด้วย, ถึงขนาดที่มีการนองเลือดอย่างมาก” (ดู ฮีลามัน 3:32–4:1).

  9. หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:26.

  10. กิจการของอัครทูต 3:19.

  11. หลักคำสอนและพันธสัญญา 121:33.

  12. Michael Crichton, Jurassic Park (2015), 190.

  13. “ดูเรือซิ แม้ว่ามันจะใหญ่และถูกพัดให้แล่นไปด้วยลมแรง เรือเหล่านั้นก็ยังถูกบังคับด้วยหางเสือเล็กๆ ไปในทิศทางที่นายท้ายต้องการจะให้ไป” (ยากอบ 3:4; เวอร์ชั่นนานาชาติฉบับใหม่)

  14. ดู โมเสส 1:39.

  15. โมไซยาห์ 26:30.

  16. หลักคำสอนและพันธสัญญา 58:42.

  17. เฉลยธรรมบัญญัติ 28:8–9; ดู ข้อ 1–7 ด้วย.