การกลับตัวรายวัน
เราต้องเติมสารอาหารด้วยแสงสวรรค์อย่างต่อเนื่องทุกวัน เราต้องมี “วาระแห่งการฟื้นชื่น” วาระแห่งการกลับตัว
เรารวมตัวกันในเช้าวันสะบาโตที่สวยงามนี้เพื่อพูดถึงพระคริสต์ ชื่นชมยินดีในพระกิตติคุณ สนับสนุนและประคับประคองกันขณะเดินใน “ทาง” ของพระผู้ช่วยให้รอด1
ในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราชุมนุมกันเพื่อจุดประสงค์นี้ทุกวันสะบาโตตลอดปี หากท่านไม่ใช่สมาชิกศาสนจักร เรายินดีต้อนรับท่านอย่างอบอุ่นที่สุดและขอบคุณที่มาร่วมกับเราในการนมัสการและเรียนรู้เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด เรากำลังเพียรพยายามเช่นเดียวกับท่านที่จะเป็นมิตรสหาย เพื่อนบ้าน และมนุษย์ที่ดีขึ้น2—แม้จะบกพร่อง แต่เราพยายามโดยทำตามพระผู้ทรงเป็นแบบอย่างของเรา พระเยซูคริสต์
เราหวังว่าท่านจะรู้สึกถึงความจริงใจในประจักษ์พยานของเรา พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์! พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์และทรงนำทางศาสดาพยากรณ์บนโลกทุกวันนี้ เราขอเชิญทุกท่านมาฟังพระคำของพระผู้เป็นเจ้าและรับส่วนพระคุณความดีของพระองค์! ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานส่วนตัวว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ท่ามกลางเราและจะทรงเข้าใกล้ทุกคนที่เข้าใกล้พระองค์13
เราถือเป็นเกียรติที่ได้เดินกับท่านในทางคับแคบของการเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์
ศิลปะของการเดินเป็นเส้นตรง
มีทฤษฎีที่มักกล่าวซ้ำๆ กันว่าคนหลงทางจะเดินวนเป็นวงกลม ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ที่ Max Planck Institute for Biological Cybernetics (สถาบันแมกซ์แพลงก์สำหรับชีววิทยาไซเบอร์เนติกส์) ได้ทดสอบทฤษฎีดังกล่าว พวกเขาพาผู้ร่วมทดสอบเข้าไปในป่าลึกและแนะนำเพียงว่าให้ “เดินเป็นเส้นตรง” ไม่มีจุดสังเกตที่มองเห็นได้ กลุ่มทดสอบต้องอาศัยการรับรู้ทิศทางของตัวเองอย่างเดียว
ท่านคิดว่าพวกเขาทำได้แค่ไหน?
นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า “คนเราเดินวนเป็นวงกลมจริงๆ เมื่อไม่มีอะไรน่าเชื่อถือมาบอกทิศทางเดิน”4 เมื่อสอบถามหลังจากนั้น ผู้ร่วมทดสอบบางคนอ้างอย่างมั่นใจว่าพวกเขาไม่ได้เดินเฉแม้แต่นิดเดียว แม้จะมั่นใจมาก แต่ข้อมูล GPS แสดงว่าพวกเขาเดินวนเป็นวงขนาดเท่าเส้นผ่าศูนย์กลาง 20 เมตร
เหตุใดเราจึงเดินเป็นเส้นตรงได้ยากขนาดนั้น? นักวิจัยบางคนตั้งสมมุติฐานว่าการเฉไปนิดเดียวที่ดูไม่มีนัยสำคัญในทางภูมิประเทศสร้างความแตกต่าง นักวิจัยคนอื่นชี้ให้เห็นข้อเท็จจริงที่ว่าเราทุกคนมีขาข้างหนึ่งแข็งแรงกว่าอีกข้างเล็กน้อย อย่างไรก็ตาม เรา “มีแนวโน้ม” จะเดินตรงไปข้างหน้าไม่ค่อยได้ “[เพราะ] มีความไม่แน่ใจเพิ่มขึ้นทุกขณะว่าข้างหน้าคือที่ใด”5
ไม่ว่าเหตุใดก็ตาม นั่นคือธรรมชาติมนุษย์: เราเบนออกนอกเส้นทางเมื่อไม่มีจุดสังเกตที่น่าเชื่อถือ
ไถลออกนอกเส้นทาง
น่าสนใจมิใช่หรือเมื่อปัจจัยเล็กๆ ที่ดูไม่มีนัยสำคัญสามารถสร้างความแตกต่างอย่างมากในชีวิตเราได้?
ข้าพเจ้ารู้เรื่องนี้จากประสบการณ์ส่วนตัวในฐานะนักบิน ทุกครั้งที่เริ่มลดระดับลงสนามบิน ข้าพเจ้ารู้ว่างานที่เหลือส่วนใหญ่จะเป็นการปรับวิถีการบินเล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลาเพื่อนำเครื่องลงรันเวย์ที่ต้องการอย่างปลอดภัย
ท่านอาจจะมีประสบการณ์คล้ายกันตอนขับรถ ไม่ว่าจะเป็นลม ถนนขรุขระ การตั้งศูนย์ล้อไม่ดี ความประมาท—ไม่นับการกระทำของผู้ขับขี่รายอื่น—ทั้งหมดนี้สามารถผลักท่านออกนอกเส้นทางที่ตั้งใจได้ การไม่ใส่ใจองค์ประกอบเหล่านี้อาจจบลงด้วยการมีวันแย่ๆ6
เรื่องนี้ประยุกต์ใช้กับเราทางกาย
และทางวิญญาณด้วย
การเปลี่ยนแปลงส่วนใหญ่ในชีวิตทางวิญญาณของเรา—ทั้งดีและไม่ดี—ค่อยๆ เกิดขึ้นทีละนิด เหมือนผู้ร่วมทดสอบในการศึกษาของ Max Planck เราอาจไม่รู้ตัวตอนเราเปลี่ยนทิศทาง อาจมั่นใจมากด้วยซ้ำว่าเรากำลังเดินเป็นเส้นตรง แต่ข้อเท็จจริงคือหากไม่มีจุดสังเกตช่วยนำทาง เราย่อมเฉออกนอกเส้นทางและไปอยู่ในที่ที่เราไม่เคยคิดว่าจะไป
แต่ละคนเป็นเช่นนั้น สังคมและประเทศชาติก็เป็นเช่นนั้นด้วย พระคัมภีร์มีตัวอย่างเต็มไปหมด
หนังสือผู้วินิจฉัยบันทึกว่าหลังจากโยชูวาตาย “และคนรุ่นนั้นทั้งสิ้นก็ถูกรวบไปอยู่กับบรรพบุรุษของเขา … พวกเขาไม่รู้จักพระยาห์เวห์อีกทั้งไม่รู้เรื่องพระราชกิจที่ทรงทำเพื่ออิสราเอล”7
ทั้งที่ลูกหลานอิสราเอลเห็นการแทรกแซง การมาเยือน การช่วยชีวิต และชัยชนะอัศจรรย์จากสวรรค์ซึ่งล้วนแต่น่าตื่นตะลึงในช่วงชีวิตของโมเสสและโยชูวา แต่ภายในรุ่นเดียวผู้คนก็ทอดทิ้งทางนั้นและเริ่มเดินตามความปรารถนาของตน แน่นอนว่าไม่นานพวกเขาก็ต้องจ่ายราคาสำหรับพฤติกรรมนั้น
บางครั้งการตกจากทางใช้เวลาหลายรุ่น บางครั้งเกิดขึ้นในเวลาไม่กี่ปีหรือไม่กี่เดือน8 แต่เราทุกคนหวั่นไหวง่าย ไม่ว่าประสบการณ์ทางวิญญาณของเราจะเข้มแข็งเพียงใดในอดีต มนุษย์อย่างเราก็มักเถลไถล เป็นแบบแผนเช่นนั้นมาตั้งแต่สมัยอาดัมจนถึงปัจจุบัน
แต่ว่ามีข่าวดี
คือทุกคนยังมีหวัง ไม่เหมือนผู้ร่วมทดสอบที่ออกนอกทาง เรามีจุดสังเกตที่น่าเชื่อถือและมองเห็นได้ซึ่งเราสามารถใช้ประเมินเส้นทางของเรา
แล้วจุดสังเกตเหล่านี้มีอะไรบ้าง?
ที่แน่ๆ คือการสวดอ้อนวอนประจำวัน การไตร่ตรองพระคัมภีร์ และการใช้เครื่องมือที่มาจากการดลใจเช่น จงตามเรามา แต่ละวันเราสามารถเข้าเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าด้วยความถ่อมตนและความซื่อสัตย์ เราสามารถไตร่ตรองการกระทำของเราและทบทวนช่วงต่างๆ ของวัน—พิจารณาความประสงค์และความปรารถนาของเราในแง่ของพระองค์ ถ้าเราหลงออกไปแล้ว เราวิงวอนทูลขอพระผู้เป็นเจ้าให้ทรงนำเรากลับมา และเราให้คำมั่นว่าจะทำดีขึ้น
ช่วงเวลาคิดทบทวนเช่นนี้เป็นโอกาสให้เราปรับเปลี่ยน เป็นสวนแห่งการใคร่ครวญที่เราสามารถเดินกับพระเจ้าและรับการสอน การจรรโลงใจ และการทำให้บริสุทธิ์จากพระคำของพระบิดาบนสวรรค์ที่เขียนไว้และเปิดเผยผ่านพระวิญญาณ เป็นเวลาศักดิ์สิทธิ์ที่เราระลึกถึงพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ว่าจะติดตามพระคริสต์ผู้อ่อนโยน เวลาที่เราประเมินความก้าวหน้าและวางตัวเองให้อยู่ในแนวเดียวกับจุดสังเกตทางวิญญาณที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมไว้ให้ลูกๆ ของพระองค์
จงคิดว่านี่เป็น การกลับตัวรายวัน ของท่าน ระหว่างเดินไปตามเส้นทางเกียรติยศดังผู้จาริก เรารู้ว่าเราตกไปได้ง่ายแค่ไหน แต่เช่นเดียวกับการเฉนิดเดียวที่สามารถดึงเราออกจากทางของพระผู้ช่วยให้รอดได้ฉันใด การปรับวิถีเล็กๆ น้อยๆ ก็สามารถนำเรากลับมาได้แน่นอนฉันนั้น เมื่อความมืดคืบคลานเข้ามาในชีวิตดังที่มักจะเป็น การกลับตัวรายวันจะเปิดใจเรารับแสงสวรรค์ซึ่งส่องสว่างจิตวิญญาณเรา ขับเงามืด ความกลัว และความสงสัยออกไป
หางเสือเล็ก เรือลำใหญ่
ถ้าเราแสวงหา แน่นอนว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะประทานความรู้แก่ [เรา] โดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์, แท้จริงแล้ว, โดยของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งไม่อาจพูดถึงได้”9 ทุกครั้งที่เราทูลขอ พระองค์จะทรงสอนเราถึงทางนั้นและช่วยให้เราเดินตาม
แน่นอนว่าต้องใช้ความพยายามอย่างแน่วแน่ในส่วนของเรา เราจะพอใจกับประสบการณ์ทางวิญญาณในอดีตไม่ได้ เราต้องมีอยู่เรื่อยๆ
เราจะพึ่งประจักษ์พยานของผู้อื่นตลอดไปไม่ได้ เราต้องสร้างเอง
เราต้องเติมสารอาหารด้วยแสงสวรรค์อย่างต่อเนื่องทุกวัน
เราต้องมี “วาระแห่งการฟื้นชื่น”10 วาระแห่งการกลับตัว
“ผืนน้ำอันเป็นระลอกคลื่น” จะ “ไม่บริสุทธิ์” ได้ไม่นาน11 เพื่อรักษาความคิดและการกระทำให้บริสุทธิ์ เราต้องเป็นระลอกคลื่น!
อย่างไรก็ตามการฟื้นฟูพระกิตติคุณและศาสนจักรไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวแล้วสิ้นสุด แต่เป็น กระบวนการต่อเนื่อง—ทีละวัน ทีละใจ
วันเวลาผ่านไปฉันใด ชีวิตเราผ่านไปฉันนั้น นักประพันธ์ท่านหนึ่งเขียนไว้เช่นนี้: “หนึ่งวันเหมือนทั้งชีวิต เริ่มด้วยการทำอย่างหนึ่ง แต่จบลงด้วยการทำอีกอย่างหนึ่ง วางแผนไปทำธุระ แต่ไม่เคยไปถึง … และเมื่อถึงบั้นปลายชีวิต การดำรงอยู่ทั้งชีวิตย่อมเป็นไปอย่างไร้แบบแผนเช่นนั้นด้วย ทั้งชีวิตมีรูปแบบเหมือนวันเดียว”12
ท่านอยากเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตใช่ไหม?
จงเปลี่ยนแปลงรูปแบบวันของท่าน
ท่านอยากเปลี่ยนแปลงวันของท่านใช่ไหม?
จงเปลี่ยนแปลงชั่วโมงนี้
เปลี่ยนแปลงสิ่งที่ท่านคิด รู้สึก และทำเวลานี้
หางเสืออันเล็กสามารถควบคุมเรือลำใหญ่ได้13
อิฐก้อนเล็กๆ กลายเป็นปราสาทหลังงามได้
เมล็ดเล็กๆ กลายเป็นต้นสนยักษ์ได้
นาทีและชั่วโมงที่ใช้ไปอย่างดีเป็นองค์ประกอบของชีวิตที่ดำเนินไปอย่างดี สามารถดลบันดาลความดี ยกเราขึ้นจากปลักของความไม่สมบูรณ์แบบ และนำเรากลับขึ้นสู่เส้นทางการไถ่ของการให้อภัยและการชำระให้ศักดิ์สิทธิ์
พระผู้เป็นเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่
ข้าพเจ้าแสดงความสำนึกคุณร่วมกับท่านต่อของประทานอันล้ำค่าแห่งโอกาสใหม่ ชีวิตใหม่ ความหวังใหม่
เราเปล่งเสียงสรรเสริญพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงให้อภัยและมีพระทัยอารี ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าแห่งการเริ่มต้นใหม่อย่างแน่แท้ จุดหมายสูงส่งในงานทั้งหมดของพระองค์คือช่วยให้เราเหล่าบุตรธิดาแสวงหาความอมตะและชีวิตนิรันดร์ได้สำเร็จ5
เราเป็นคนใหม่ในพระคริสต์ได้เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาว่า “จะกี่ครั้งก็ตามที่ผู้คนของเรากลับใจ เราจะให้อภัยพวกเขาสำหรับการล่วงละเมิดของพวกเขาที่มีต่อเรา”15และ “ไม่จำมันอีก”16
พี่น้องที่รัก มิตรสหายที่รัก เราทุกคนหลงออกนอกทางเป็นครั้งคราว
แต่เรากลับมาเส้นทางเดิมได้ เราสามารถหาทางฝ่าความมืดและการทดลองของชีวิตและพบทางกลับมาหาพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเราได้ ถ้าเราแสวงหาและยอมรับจุดสังเกตทางวิญญาณที่ทรงเตรียมไว้ น้อมรับการเปิดเผยส่วนตัว และพากเพียรที่จะ กลับตัวรายวัน นี่คือวิธีที่เราจะกลายเป็นสานุศิษย์จริงๆ ของพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา พระเยซูคริสต์
เมื่อเราทำเช่นนั้น พระผู้เป็นเจ้าจะแย้มพระสรวลให้เรา “พระยาห์เวห์จะ … ทรงอวยพรท่านในแผ่นดินซึ่งพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านประทานแก่ท่าน พระยาห์เวห์จะทรงตั้งท่านให้เป็นชนชาติบริสุทธิ์แด่พระองค์”17
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราพยายามกลับตัวรายวันและพากเพียรเดินอยู่ในทางนั้นของพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน