2016
เอ็ลเดอร์แกรีย์ อี. สตีเวนสัน: ใจที่เข้าใจ
มิถุนายน 2016


เอ็ลเดอร์แกรีย์ อี. สตีเวนสัน: ใจที่เข้าใจ

ภาพ
Elder Stevenson with African children

ภาพข่าว เอื้อเฟื้อโดย คริสติน เมอร์ฟีย์, Deseret News; และซาราห์ เจน วีเวอร์, Church News

เมื่อแกรีย์ สตีเวนสันอายุประมาณ 11 ขวบ บิดาท่านพาไปเดินเขา “ข้าพเจ้ากระโดดจากหินก้อนหนึ่งไปอีกก้อนหนึ่งข้างหน้าคุณพ่อ” ท่านจำได้ “ข้าพเจ้าตั้งใจจะปีนขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่และมองลงมา เมื่อข้าพเจ้าปีนขึ้นไปจนถึงพื้นผิวด้านบนของหินก้อนนั้น ท่านก็คว้าเข็มขัดข้าพเจ้าไว้และดึงข้าพเจ้าลงมา

“‘มีอะไรหรือครับ ข้าพเจ้าถาม และท่านตอบว่า ‘อย่าปีนขึ้นไปบนหินก้อนนั้น แค่เดินอยู่บนทางเดินก็พอ’ ครู่หนึ่งต่อมาเมื่อเรามองลงมาจากทางขึ้นเนิน เรามองเห็นงูหางกระดิ่งอาบแดดอยู่บนหินก้อนนั้น

“‘นั่นคือสาเหตุที่พ่อดึงลูกกลับ’ คุณพ่ออธิบาย

“ต่อมาขณะที่เราขับรถกลับบ้าน ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านกำลังรอข้าพเจ้าถามว่า ‘คุณพ่อรู้ได้อย่างไรครับว่างูอยู่ตรงนั้น’ ท่านตอบว่า ‘พ่อจะสอนลูกเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์’ เรามีบทเรียนที่เกิดขึ้นขณะนั้นเกี่ยวกับบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในชีวิตเรา คือ ผู้คุ้มครอง ผู้ปลอบโยน และผู้ทรงเป็นพยาน ‘ในกรณีนี้’ คุณพ่อแบ่งปัน ‘พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงคุ้มครองลูกผ่านพ่อ พระองค์ทรงเตือนพ่อให้ดึงลูกออกมา’”

ประสบการณ์นี้แม้จะเรียบง่ายแต่ช่วยให้เอ็ลเดอร์สตีเวนสันเข้าใจว่าเมื่อได้รับการกระตุ้นเตือนจากพระวิญญาณ ท่านควรยอมรับและปฏิบัติตาม นี่เป็นหนึ่งในหลายๆ บทเรียนที่ท่านได้จากบิดา

มารดาที่ยอดเยี่ยม ครูพี่เลี้ยงที่ยอดเยี่ยม

ภาพ
young Elder Stevenson with his mother

ภาพถ่าย เอื้อเฟื้อโดยครอบครัวสตีเวนสัน ยกเว้นที่ระบุ; ซ้าย: ดอกไม้ © tukkata/iStock/Thinkstock; ขวา: ภาพพระวิหารโลแกน ยูทาห์rvie โดย JaDigital

ตามที่เอ็ลเดอร์สตีเวนสันกล่าว มารดาท่านเป็นแบบอย่างของความดีงามอันบริสุทธิ์ “ความคาดหวังของท่านผลักดันข้าพเจ้า การกระทำแทบทุกอย่างของข้าพเจ้าใช้เกณฑ์ความคิดที่ว่า ‘ข้าพเจ้าไม่ต้องการทำให้แม่ผิดหวัง’”

บิดามารดาของท่านร่วมกันเสริมหลักธรรมพระกิตติคุณระหว่างการสังสรรค์ในครอบครัว กิจกรรมและการชุมนุมอื่นๆ ของครอบครัว “พวกท่านยึดครอบครัวไว้ในคำสอนของพระกิตติคุณ พระกิตติคุณเป็นรากฐานของชีวิตเรา” ท่านกล่าว

ครูพี่เลี้ยงคนสำคัญอีกหลายคนนำทางท่านเช่นกัน “ข้าพเจ้าจำได้ในการอบรมช่วงแรกๆ ในฐานะเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานสูงสุดเสนอให้เราเขียนรายชื่อคน 20 คนที่ส่งผลทางบวกต่อชีวิตเรา ข้าพเจ้าคิดว่าทุกคนได้ประโยชน์จากการทำเช่นนั้น การนึกถึงชายหญิงที่ดีทุกคนที่คอยช่วยข้าพเจ้า โดยเฉพาะในวัยเยาว์ของข้าพเจ้า สร้างแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้า”

เข้มแข็งเพราะครอบครัวและมิตรสหาย

แกรีย์ อีแวน สตีเวนสันเกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1955 ท่านเติบโตในเมืองโลแกน รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา อีแวนกับจีน ฮอลล์ สตีเวนสัน บิดามารดาของท่านมีบุตรสี่คน แกรีย์เป็นบุตรคนที่สองและเป็นบุตรชายคนโต

“ข้าพเจ้ามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพี่น้อง เดบบี้ พี่สาวข้าพเจ้าคาดหวังให้ข้าพเจ้าทำสิ่งถูกต้อง เมริลีและดักก์ คาดหวังว่าข้าพเจ้าจะเป็นแบบอย่าง เราทุกคนรู้สึกว่าตนมีหน้าที่ต้องดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมและมีส่วนร่วมในกิจกรรมของศาสนจักร” ญาติพี่น้องของท่านมีความคาดหวังสูงเช่นกัน “ตัวอย่างเช่น เมื่อญาติผู้พี่ของข้าพเจ้าไปเป็นผู้สอนศาสนา เขาเซ็นธนบัตร 2 ดอลลาร์ให้ญาติคนถัดไปที่กำลังเตรียมรับใช้ ธนบัตร 2 ดอลลาร์ใบนั้นส่งผ่านลูกพี่ลูกน้อง 16 คนที่รับใช้งานเผยแผ่ทั่วโลกเพื่อเตือนใจแต่ละคนว่าเราเป็นหนึ่งเดียวกันในการรับใช้พระเจ้า”

เพื่อนๆ ฐานะปุโรหิตเป็นอิทธิพลดีต่อท่านเช่นกัน “ข้าพเจ้าเรียนรู้ในชีวิตวัยเยาว์ว่าการสมาคมกับโควรัมมีความหมายอย่างไร ไม่เฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้นแต่ในละแวกบ้านและในโรงเรียนด้วย” ท่านกล่าว “นั่นทำให้ข้าพเจ้ารู้ความหมายของอัตลักษณ์ การเป็นพวกเดียวกัน ความเป็นพี่น้อง และการรับใช้” ท่านจำได้เป็นพิเศษคราวไปรวบรวมเงินบริจาคอดอาหารกับสมาชิกโควรัมจากพี่น้องสตรีคนหนึ่งในวอร์ดที่ออกจากบ้านไม่ได้ ตาบอด และมีรายได้ไม่มาก “แม้จะอยู่ในสภาพนั้น แต่เธอมักจะมีเงินห้าเซนต์หรือสิบเซนต์บริจาคอดอาหารเสมอ” ท่านจำได้

ของประทานที่เรียกร้องให้ฝึกฝน

ภาพ
Elder Stevenson as a young missionary in Japan

หลังจากเรียนจบมัธยมปลายและเข้าเรียนมหาวิทยาลัยยูทาห์สเตทได้ไม่นาน เอ็ลเดอร์สตีเวนสันได้รับเรียกให้ไปรับใช้ในคณะเผยแผ่ฟุกุโอะกะ ประเทศญี่ปุ่น “ข้าพเจ้ารู้สึกกังวลกับการเรียนภาษาญี่ปุ่น ความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนา แต่ราวหกสัปดาห์หลังจากนั้น การสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาแรงกล้าและการศึกษาอย่างขยันหมั่นเพียรทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกสงบ ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรให้ข้าพเจ้าเรียนภาษาญี่ปุ่นได้ แต่ใช่ว่าจะไม่ต้องฝึกหนัก เรื่องนี้สอนข้าพเจ้าว่าของประทานแห่งการพูดภาษาก็เหมือนกับศรัทธา การทำงาน และหลักธรรมพระกิตติคุณข้ออื่น หลังจากท่านได้ทำสุดความสามารถแล้ว ท่านจะได้รับพร”

หลังจากงานเผยแผ่ เอ็ลเดอร์สตีเวนสันเกิดความหลงใหลในประวัติศาสนจักร การศึกษาพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา และเจาะลึกเข้าไปในบันทึกประวัติศาสตร์และประวัติครอบครัว ท่านสนใจเป็นพิเศษเรื่องโจเซฟ สมิธกับครอบครัว ครอบครัววิตเมอร์ ออลิเวอร์ คาวเดอรี และมาร์ติน แฮร์ริส ท่านค้นคว้าเรื่องการแปลและการจัดพิมพ์พระคัมภีร์มอรมอนฉบับต่างๆ

ท่านเรียนรู้อีกครั้งว่าศรัทธาและการทำงานหนักไปด้วยกัน “ทุกคำตอบของคำถามพระกิตติคุณทุกข้อไม่มาทันที” ท่านแนะนำ “พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราอ่าน ศึกษา ไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอน เมื่อเราทำสิ่งนี้ด้วยศรัทธาและความปรารถนาอันชอบธรรม พยานจะมาเมื่อถึงเวลา”

ท่านรู้สึกได้รับพรเป็นพิเศษตลอดวันเวลาที่ผ่านมาเมื่อได้รับเรียกให้สอนชั้นเรียนเยาวชนโรงเรียนวันอาทิตย์ ชั้นเรียนหลักคำสอนพระกิตติคุณ และชั้นเรียนเยาวชนชาย การเรียกเหล่านี้ช่วยให้ท่านได้เป็นพยานถึงความรู้สึกลึกซึ้งที่มีต่อความจริงของพระคัมภีร์ ความมั่นใจที่เพิ่มขึ้นจากการศึกษาหลายปี

เอ็ลเดอร์สตีเวนสันกลับไปศึกษาด้านการบริหารธุรกิจและการตลาดที่มหาวิทยาลัยยูทาห์สเตท ท่านใช้เวลาหลายชั่วโมงในห้องสมุด “ทุกครั้งที่เข้าไป ข้าพเจ้าจะเจอป้าย … ที่เขียนว่า ‘จุดเริ่มต้นของปัญญาเป็นอย่างนี้คือ จงเอาปัญญา’ [สุภาษิต 4:7]” พระคัมภีร์ข้อนี้จารึกอยู่ในใจท่านและหลายปีต่อมากลายเป็นหัวข้อคำปราศรัยการให้ข้อคิดทางวิญญาณของท่านที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์

“ความเข้าใจดังกล่าวมาจาก การผสมผสานการศึกษากับการสวดอ้อนวอน” ท่านอธิบายไว้ในคำปราศรัยครั้งนั้น “เมื่อเราวางใจและพึ่งพาพระเจ้า ความเข้าใจที่มาจากพระองค์จะเข้ามาในใจเรามากขึ้น”1

เรื่องราวความรักที่สถาบันศาสนา

ในช่วงชั้นเรียนพันธสัญญาเดิมที่สถาบันศาสนา ท่านพบลีซา จีน ฮิกลีย์ เธอย้ายจากแคลิฟอร์เนียมาอยู่ไอดาโฮและเวลานี้เป็นนักศึกษาที่รัฐยูทาห์ “ครูขอให้ลีซาแสดงบทบาทสมมติเป็นเอวาและให้ข้าพเจ้าแสดงเป็นซาตานล่อลวงเธอ ด้วยเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงต้องใช้เวลาพักหนึ่งโน้มน้าวให้เธอออกไปกับข้าพเจ้า” ท่านยิ้มเมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พวกท่านออกเดทเพียงปีกว่าและแต่งงานกันในพระวิหารไอดาโฮฟอลส์ ไอดาโฮในปี 1979

นัยน์ตาของเอ็ลเดอร์สตีเวนสันเป็นประกายเมื่อท่านพูดถึงลีซา ท่านพูดถึงเธอว่าเธอเป็น “แสงตะวันในชีวิตและของชีวิตข้าพเจ้า”2 ซิสเตอร์สตีเวนสันเรียนจบปริญญาคหกรรมศาสตร์ ช่วงแรกหลังจากแต่งงาน เธอสอนหนังสือ อุทิศเวลาและพรสวรรค์ให้โรงเรียนต่างๆ ให้คณะกรรมการระดับท้องถิ่นและชุมชน องค์กรต่างๆ ตลอดจนงานด้านอื่นๆ เสมอ อย่างไรก็ดี เอ็ลเดอร์สตีเวนสันพิจารณาว่าของประทานการเป็นแม่บ้านเป็นหนึ่งในคุณสมบัติส่วนใหญ่ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เธอ “เธอมีความสามารถในการสร้างบ้านที่มีพระกิตติคุณเป็นศูนย์กลาง สร้างสภาพแวดล้อมที่อบอุ่นปลอดภัยให้พระวิญญาณสถิตอยู่” ความสามารถดังกล่าว ควบคู่กับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ว่าปีติแท้จริงมาจากการรับใช้ผู้อื่น ได้เป็นพรแก่ชีวิตสามีเธอ ครอบครัวเธอ และคนมากมายรอบข้าง

ภาพ
Stevenson family

เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์สตีเวนสันเป็นบิดามารดาของบุตรชายสี่คน “เราชอบทำทุกอย่างด้วยกันตลอดหลายปีที่ผ่านมา” ท่านกล่าว “ลูกๆ เล่นบาสเกตบอล ฟุตบอล เบสบอล และเทนนิส เราทุกคนชอบกิจกรรมนอกบ้านเช่น การขับรถโฟร์วีลเลอร์ ขับรถเล็กสำหรับแล่นบนหิมะ เล่นสกี สโนว์บอร์ด และกีฬาทางน้ำหลายประเภท กระนั้นก็ตาม ลีซายังมีอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่อบุตรชายของเราในระดับหนึ่งเช่นกันโดยทำให้พวกเขาชื่นชอบดนตรีและศิลปะ และเพื่อขยายของประทานแห่งการรับใช้ไปถึงผู้อื่นผ่านครอบครัวเรา เธอจึงจำเป็นต้องใช้ ‘แรงม้า’ ของลูกๆ”

การสร้างธุรกิจ

อาชีพธุรกิจของเอ็ลเดอร์สตีเวนสันเกิดจากความรักที่มีต่อคนเอเชีย เมื่อท่านกลับจากงานเผยแผ่ ท่านกับเพื่อนบางคนเริ่มนำเข้าของขวัญจำพวกเครื่องประดับจากเอเชีย และค่อยๆ พัฒนาเป็นการขายสินค้าเพื่อสุขภาพ ตลอดสามสิบปีติดต่อกัน ธุรกิจขนาดเล็กของพวกท่านเติบโตเป็นบริษัทที่ประสบความสำเร็จจนมีพนักงาน 2,500 กว่าคน

พนักงานคนหนึ่งจำสิ่งที่อยู่ในใจนักธุรกิจอย่างเอ็ลเดอร์สตีเวนสันได้ “เรากำลังสนทนาเรื่องธุรกิจที่ตัดสินใจยากเรื่องหนึ่ง ผมบอกเขาว่าเราต้องแน่ใจว่าเราทำถูกกฎหมาย เขาบอกผมว่าเราต้องไม่เพียงทำถูกกฎหมายเท่านั้นแต่ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องด้วย”

“การให้หลักธรรมดีๆ ซึมซับอยู่ในธุรกิจเป็นเรื่องดีสำหรับธุรกิจ” เอ็ลเดอร์สตีเวนสันกล่าว “ความซื่อสัตย์สุจริต การทำงานหนัก ความเห็นใจ การปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ—และขณะเดียวกันก็เรียกร้องความรับผิดชอบ—ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ท่านพูดถึงและปฏิบัติเฉพาะวันอาทิตย์เท่านั้น แต่ต้องปฏิบัติทุกวันของสัปดาห์”

ธุรกิจยิ่งโต ก็ยิ่งเรียกร้องเวลาของท่าน “ข้าพเจ้าเป็นอธิการวัยหนุ่มที่มีลูกเล็กและเดินทางไปเอเชียหลายครั้งในแต่ละปี บิดาข้าพเจ้าเดินมาหาและพูดว่า ‘พ่อสังเกตว่าเวลาลูกอยู่กับครอบครัว ลูกไม่ได้อยู่ กับ พวกเขาจริงๆ พ่อเกรงว่าเวลาลูกอยู่ที่ทำงาน ลูกไม่ได้จดจ่อเต็มที่กับงาน และเวลาลูกทำหน้าที่ในบทบาทของอธิการ ลูกอาจจะกังวลเรื่องงานหรือครอบครัวของลูก ลูกต้องมีสมดุลในชีวิตมากกว่านี้”

คำแนะนำดังกล่าวมีผลลึกซึ้ง เอ็ลเดอร์สตีเวนสันกล่าวว่า “ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าการรักษาสมดุลระหว่างครอบครัว งานอาชีพ และการเรียกในศาสนจักรเป็นเรื่องสำคัญ และต้องแน่ใจว่าท่านดูแลตนเองด้วย”

ได้รับเรียกให้รับใช้—หลายครั้งหลายครา

ครั้งหนึ่งผู้นำธุรกิจที่มีคนนับหน้าถือตาคนหนึ่งกระตุ้นให้เอ็ลเดอร์สตีเวนสัน “เรียนรู้ หารายได้ และรับใช้” ในปี 2004 เอ็ลเดอร์สตีเวนสันได้รับการทดสอบในส่วนของการ “รับใช้” จากคำแนะนำนั้นเมื่อท่านกับ สก็อต วัตเตอร์สัน หุ้นส่วนธุรกิจได้รับเรียกเป็นประธานคณะเผยแผ่พร้อมกัน พวกท่านรู้สึกว่าต้องอธิบายให้ผู้ถือผลประโยชน์ร่วมและลูกค้าเข้าใจว่าเหตุใดพวกท่านจึงต้องทิ้งบริษัทชั่วคราว พวกท่านไปเยี่ยมพวกเขาทีละคน

“เมื่อเราอธิบายการเรียกของเราและบอกว่าเราจะรับใช้สามปีโดยไม่ได้เงินชดเชยจากศาสนจักร พวกเขาเคารพความดีงามของเรื่องนั้น” ท่านกล่าว พวกท่านปล่อยให้ธุรกิจอยู่ในมือของทีมผู้บริหารที่ท่านไว้ใจ และธุรกิจรุ่งเรือง

เมื่อเป็นประธานคณะเผยแผ่นะโงะยะ ญี่ปุ่น เอ็ลเดอร์สตีเวนสันพบว่าความรักที่ท่านมีต่อเอเชียลึกซึ้งยิ่งขึ้น “ข้าพเจ้าถือว่าเอเชียเป็นบ้านหลังที่สอง” ท่านกล่าว ความรักอันลึกซึ้งที่มีต่อภรรยาของท่านเพิ่มขึ้นเช่นกันเมื่อท่านเห็นเธอน้อมรับวัฒนธรรมท้องถิ่น มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นๆ รวมถึงผู้สอนศาสนาและสมาชิก และยังคงเลี้ยงดูบุตรชายสองคนที่ไปกับพวกท่านด้วย บัพติศมาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสหลายคนส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่เธอพยายามเป็นเพื่อนกับคนรอบข้าง

พวกท่านอยู่บ้านได้เพียงเจ็ดเดือนหลังจากจบงานเผยแผ่เมื่อเอ็ลเดอร์สตีเวนสันได้รับเรียกให้รับใช้ในโควรัมที่หนึ่งแห่งสาวกเจ็ดสิบเมื่อปี 2008

“ข้าพเจ้าตกตะลึงและรู้สึกเจียมตน ข้าพเจ้าคิดว่า ‘มีอีกหลายคนที่รับใช้ได้ดีกว่าข้าพเจ้ามาก’ แต่ข้าพเจ้าก็นึกถึงครั้งก่อนๆ—สมัยเป็นประธานโควรัมเอ็ลเดอร์ สมาชิกสภาสูง อธิการ และที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสเตค—เวลาที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าตนไม่มีประสบการณ์มากพอจะทำสิ่งที่ขอให้ทำ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าก่อนเราได้รับการเรียก เราอาจจะ ไม่ มีคุณสมบัติ แต่การเรียก เริ่ม ทำให้เรามีคุณสมบัติที่สวรรค์กำหนด

“พระคัมภีร์ที่ข้าพเจ้าชื่นชอบข้อหนึ่งบอกเราถึงสองสิ่งที่เราควรทำเมื่อเราได้รับเรียก หนึ่ง ‘จงซื่อสัตย์’ สอง ยืนอยู่ในหน้าที่ซึ่งกำหนดให้ท่าน (ดู คพ. 81:5) สำหรับข้าพเจ้านี่หมายถึงแสดงศรัทธา เรียนรู้สิ่งที่จำเป็นต้องรู้ และจากนั้นให้ทำสุดความสามารถเพื่อขยายการเรียก หากเราทำเช่นนี้ พระเจ้าจะทรงขยายและทำให้เรามีคุณสมบัติคู่ควรเป็นพรแก่ผู้อื่น”

มาเอเชียอีกครั้ง

เมื่อครั้งเป็นสาวกเจ็ดสิบ เอ็ลเดอร์สตีเวนสันได้รับมอบหมายให้เป็นที่ปรึกษาในฝ่ายประธานภาคและจากนั้นจึงเป็นประธานภาคเอเชียเหนือ

ในเดือนมีนาคม ปี 2011 แผ่นดินไหวและสึนามิทำลายล้างญี่ปุ่น แผ่นดินไหวขนาด 9.0 ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่คร่าชีวิตผู้คน 20,000 คน ประชาชนอีกหลายพันคนต้องย้ายที่อยู่ และบ้านเรือน 550,000 หลังถูกทำลาย

ภาพ
Elder Stevenson visiting a disaster zone

ท่านไปเยือนเขตภัยพิบัติหลายครั้ง “เมื่อเราพบปะพูดคุยกับผู้คน อารมณ์ความรู้สึกของเราเปลี่ยนจากอารมณ์หนึ่งไปอีกอารมณ์หนึ่ง” ท่านเล่า “เราสังเกตเห็นความเศร้าสลดและการสูญเสียปนกับความหวังและการฟื้นฟู ใจเราตื้นตันหลายต่อหลายครั้งเมื่อเห็นยารักษาจากความรักของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา”

นอกจากนี้ ท่านยังได้เห็นกับตาว่าศาสนจักรช่วยเหลือคนเดือดร้อนอย่างไร “ความสามารถในการตอบสนองภัยพิบัติและช่วยทำให้การตอบสนองเป็นรูปธรรม—แสดงให้เห็นชัดว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ทำความรับผิดชอบประการหนึ่งที่พระองค์ทรงกำหนดให้ทำ นั่นคือ ดูแลคนยากจนและคนขัดสน” ท่านถือเป็นสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์เมื่อได้ดูแลช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากและเห็นผู้อื่นทำแบบเดียวกัน “เราเรียนรู้เกี่ยวกับความดีงามของมนุษยโลก”

มรดกของอธิการ

ภาพ
Presiding Bishopric in 2012

ความเข้าใจของท่านเรื่องความเห็นใจเข้ามาในใจท่านลึกซึ้งขึ้นเมื่อท่านได้รับเรียกเป็นอธิการควบคุมในปี 2012 ในตำแหน่งดังกล่าว ท่านบริหารเครือข่ายวงกว้างของศาสนจักรที่ให้ความช่วยเหลือด้านสวัสดิการและการตอบสนองภาวะฉุกเฉินต่อวิสุทธิชนยุคสุดท้ายและคนอื่นๆ พร้อมด้วยความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมต่อบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ใน “จุดที่ยากที่สุดบางแห่ง จุดยากไร้ที่สุดบางแห่ง และจุดที่ถูกกดขี่ข่มเหงมากที่สุดบางแห่งทั่วโลก”3

บทบาทของอธิการมีความสำคัญเป็นพิเศษต่อเอ็ลเดอร์สตีเวนสัน “เมื่อข้าพเจ้าอายุ 12 ขวบ คุณพ่อได้รับเรียกเป็นอธิการ” ท่านเล่า “วอร์ดมีสตรีม่ายหลายคน และคุณพ่อมักจะพาข้าพเจ้าไปด้วยเมื่อท่านไปดูแลช่วยเหลือพวกเธอ ท่านจะให้ข้าพเจ้าดูแลถังขยะ ทำความสะอาดบางอย่างในบ้าน หรือพาเพื่อนๆ ของข้าพเจ้าไปช่วยกวาดใบไม้หรือตักหิมะ เมื่อเราออกจากบ้านหลังนั้น ข้าพเจ้ามักจะรู้สึกดีในใจเสมอ การเยี่ยมเยียนหญิงม่ายช่วยให้ข้าพเจ้าตระหนักว่าส่วนหนึ่งที่อธิการต้องทำคือดูแลช่วยเหลือทีละคน “อธิการของศาสนจักรเป็นวีรบุรุษตัวจริงของข้าพเจ้า” ท่านกล่าว

คำสัญญาจากศาสดาพยากรณ์

วันอาทิตย์ก่อนการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ปี 2015 อธิการสตีเวนสันได้รับโทรศัพท์ขอให้ท่านไปพบประธานโธมัส เอส. มอนสันและที่ปรึกษา

“ประธานมอนสัน [ให้] การเรียกข้าพเจ้าสู่โควรัมอัครสาวกสิบสอง ท่านถามว่าข้าพเจ้าจะยอมรับหรือไม่ … ข้าพเจ้าตอบรับ และจากนั้น … ประธานมอนสันเอื้อมมือมาแตะข้าพเจ้าอย่างอ่อนโยน ท่านอธิบายว่าหลายปีก่อน [เมื่อ] ท่านได้รับเรียกเป็นอัครสาวก … ท่านรู้สึกไม่คู่ควรเช่นกัน ท่านแนะนำข้าพเจ้าอย่างสงบว่า ‘อธิการสตีเวนสัน พระเจ้าจะทรงทำให้คนที่พระองค์ทรงเรียกมีคุณสมบัติคู่ควร’ ถ้อยคำปลอบโยนเหล่านี้ของศาสดาพยากรณ์เป็นบ่อเกิดของสันติสุข [นับแต่นั้น]”4

เอ็ลเดอร์แกรีย์ อี. สตีเวนสันเป็นคนไม่มีมารยาอย่างแท้จริง ในฐานะอัครสาวกท่านจะยังคงยื่นมือช่วยเหลือคนยากจนและคนขัดสนเช่นที่เคยทำเมื่อครั้งเป็นอธิการควบคุมและสาวกเจ็ดสิบ และเช่นที่ท่านทำมาตลอดชีวิต ท่านจะทำหน้าที่รับผิดชอบตามที่พระคัมภีร์บอก คือ “ช่วยเหลือคนอ่อนแอ, ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า” (คพ. 81:5) นี่เป็นการเรียกที่ท้าทาย แต่เป็นการเรียกที่เหมาะกับท่านเพราะใจที่เข้าใจของท่าน

อ้างอิง

  1. แกรีย์ อี. สตีเวนสัน, “Lean Not unto Thine Own Understanding” (Brigham Young University devotional, Jan. 14, 2014), 2, 3, speeches.byu.edu.

  2. แกรีย์ อี. สตีเวนสัน, “ความจริงอันล้ำค่าและเรียบง่าย,” เลียโฮนา, พ.ย. 2015, 92.

  3. แกรีย์ อี. สตีเวนสัน, การแถลงข่าว, 3 ต.ค. 2015.

  4. แกรีย์ อี. สตีเวนสัน, “ความจริงอันเรียบง่ายและล้ำค่า,” 91.

พิมพ์