เพื่อการพัฒนาและเรียนรู้ทางวิญญาณของเรา
ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าเปิดเผยต่อเราตามพระประสงค์ของพระองค์และผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น
เมื่อข้าพเจ้ายังเด็ก บิดามารดาข้าพเจ้าได้รับของขวัญที่ทำให้เดวิด น้องชายข้าพเจ้าตื่นตาตื่นใจมาก ของขวัญนั้นคือแผ่นจารึกทองคำแบบย่อส่วนซึ่งศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธได้รับจากเทพโมโรไน ข้าพเจ้าจำได้ว่า มีประมาณ 10 หน้าบนแผ่นจารึกนั้นที่มีคำจารึกอยู่ อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้สนใจหน้าเหล่านั้นนัก
เราเติบโตมาพร้อมกับการได้ยินเรื่องราวการฟื้นฟูมาตลอด เรารู้และร้องเพลงปฐมวัยเกี่ยวกับแผ่นจารึกทองคำที่ถูกซ่อนไว้ในซอกลึกข้างภูผาและเทพโมโรไนมอบให้แก่โจเซฟ สมิธ1 เมื่อความสงสัยในวัยเยาว์ของเราเพิ่มขึ้น สิ่งหนึ่งที่เราต้องการจะเห็นคือ มีอะไรเขียนไว้ในส่วนเล็กๆ ของแผ่นจารึกที่ผนึกไว้ด้วยห่วงเหล็กสองห่วง
แผ่นจารึกวางอยู่บนโต๊ะเป็นเวลาหลายวันก่อนที่ความสงสัยของเราจะถึงขีดสุด แม้ว่าเราเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่านี่ไม่ใช่แผ่นจารึกจริงๆ จากโมโรไน แต่เรายังต้องการดูส่วนที่ผนึกไว้ ดังนั้นหลายครั้งที่น้องชายของข้าพเจ้าและข้าพเจ้าใช้มีดปาดเนย ช้อนเก่าๆ และอะไรก็ตามที่เราจินตนาการได้ในการแงะส่วนที่ผนึกไว้ พอให้เรามองเห็นด้านในว่ามีอะไร—แต่ต้องไม่แรงเกินจนทำให้ห่วงเล็กๆ สองอันหัก อย่างน้อยเราก็ฉลาดพอจะไม่ทิ้งร่องรอยสิ่งที่ทำในการคลายความสงสัยของวัยเยาว์อันซุกซนของเรา เราผิดหวังและหงุดหงิดที่ความพยายามในการ “แงะแผ่นจารึก” ไม่ประสบความสำเร็จ
ข้าพเจ้าก็ยังไม่รู้ว่ามีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายในส่วนที่ผนึกไว้ แต่ส่วนที่น่าอายจนถึงทุกวันนี้จากเรื่องนี้คือ ข้าพเจ้าไม่ทราบด้วยซ้ำว่ามีอะไรเขียนอยู่ในหน้าที่มีคำจารึกอยู่ ซึ่งเป็นส่วนที่กำหนดไว้ให้อ่าน ข้าพเจ้าเพียงสันนิษฐานว่าหน้าเหล่านี้บันทึกเรื่องราวการฟื้นฟูและประจักษ์พยานของโจเซฟ สมิธ และพยานสามคนและแปดคน ผู้ซึ่งเห็นแผ่นจารึกทองคำที่โมโรไนมอบไว้
นับแต่การสร้างโลกนี้ พระบิดาบนสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักประทานการนำทาง ผู้นำ และคำแนะนำแก่ลูกๆ ของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ ศาสดาพยากรณ์ถ่ายทอดพระคำของพระองค์และบันทึกเป็นพระคัมภีร์เพื่อการพัฒนาและการเรียนรู้ของเรา นีไฟบรรยายไว้ว่า
“เพราะจิตวิญญาณข้าพเจ้าเบิกบานในพระคัมภีร์, และใจข้าพเจ้าไตร่ตรองพระคัมภีร์, และเขียนพระคัมภีร์ไว้เพื่อการเรียนรู้และประโยชน์ของลูกหลานข้าพเจ้า.
“ดูเถิด, จิตวิญญาณข้าพเจ้าเบิกบานในเรื่องของพระเจ้า; และใจข้าพเจ้าไตร่ตรองอยู่ตลอดเวลาถึงเรื่องที่ข้าพเจ้าเห็นและได้ยินมา.”2
นอกจากนี้ ระหว่างสมัยการประทานที่ผ่านมาและในสมัยการประทานที่สมบูรณ์แห่งเวลานี้ สมาชิกที่มีค่าควรของศาสนจักรของพระเจ้าได้รับพรจากการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ทรงช่วยในการพัฒนาและการเรียนรู้ทางวิญญาณของเราเป็นเพื่อนตลอดเวลา
โดยรู้ว่าน้องชายข้าพเจ้ามีนิสัยพากเพียร ข้าพเจ้าคิดว่าเขาน่าจะอ่านคำจารึกทั้งหมดที่เขียนไว้บนแผ่นจารึกยุคปัจจุบันที่บ้านบิดามารดาของเรา ในทางกลับกัน ข้าพเจ้าละเลยความจริงที่แจ้งชัดและใช้ความพยายามในการค้นหาสิ่งที่ไม่ได้มุ่งหมายที่จะเปิดเผย
น่าเศร้าที่บางเวลาการพัฒนาและการเรียนรู้ของเรามักช้าลงหรือหยุดชะงักเนื่องด้วยความปรารถนาที่ไม่ฉลาดเพื่อจะ “แงะแผ่นจารึก” การกระทำนี้นำเราไปแสวงหาสิ่งที่ไม่จำเป็นที่จะต้องเข้าใจในเวลาดังกล่าว ในขณะที่เราเพิกเฉยต่อความจริงอันสวยงามที่มีไว้เพื่อเราและสภาวการณ์ของเรา ซึ่งคือความจริงที่นีไฟเขียนอธิบายไว้เพื่อการเรียนรู้และประโยชน์ของเรา
เจคอบ น้องชายของนีไฟสอนว่า “ดูเถิด, งานของพระเจ้าสำคัญยิ่งและน่าอัศจรรย์. ห้วงลึกแห่งความลี้ลับของพระองค์สุดจะหยั่งถึง; และเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะค้นพบทางของพระองค์ทั้งหมด.”3
คำของเจคอบสอนว่าเราไม่สามารถ “แงะแผ่นจารึก” ได้สำเร็จหรือบังคับให้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้ามาเปิดเผยต่อเรา แต่ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้าจะเปิดเผยต่อเราตามพระประสงค์ของพระองค์และผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น4
เจคอบ กล่าวต่อไปว่า
“และหาได้มีใครรู้จักทางของพระองค์ไม่นอกจากจะทรงเปิดเผยให้เขา; ดังนั้น, พี่น้องทั้งหลาย, อย่าได้ดูหมิ่นการเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้าเลย.
“เพราะดูเถิด, โดยอำนาจพระวจนะของพระองค์มนุษย์จึงมาสู่พื้นพิภพ … โอ้แล้ว, เหตุใดจะไม่ทรงสามารถบัญชาแผ่นดินโลก, หรือหัตถศิลป์จากพระหัตถ์ของพระองค์เหนือพื้นพิภพได้, ตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์เล่า
“ดังนั้น, พี่น้องทั้งหลาย, จงอย่าพยายามให้คำปรึกษาพระเจ้า, แต่จงรับคำปรึกษาจากพระหัตถ์ของพระองค์.”5
เพื่อจะเข้าใจความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า หรือสิ่งอื่นๆ ที่เข้าใจได้โดยผ่านการเปิดเผยเท่านั้น เราต้องทำตามตัวอย่างของนีไฟ ที่กล่าวว่า “โดยที่อายุน้อยยิ่งนัก, กระนั้นก็ตามโดยที่มีร่างกายสูงใหญ่, และมีความปรารถนามากด้วยที่จะรู้ความลี้ลับของพระผู้เป็นเจ้า, ดังนั้น, ข้าพเจ้าร้องทูลพระเจ้า; และดูเถิดพระองค์เสด็จเยือนข้าพเจ้า, และทรงทำให้ใจข้าพเจ้าอ่อนลงจนข้าพเจ้าเชื่อคำทั้งปวงซึ่งพูดโดยบิดาข้าพเจ้า”6 พระเจ้าพระองค์เองทรงอธิบายเพิ่มเติมว่านีไฟได้ใช้ศรัทธา แสวงหาอย่างพากเพียรด้วยจิตใจที่ต่ำต้อย และรักษาพระบัญญัติของพระองค์7
ตัวอย่างของนีไฟในการแสวงหาความรู้ประกอบด้วย (1) ความปรารถนาที่จริงใจ (2) ความอ่อนน้อมถ่อมตน (3) การสวดอ้อนวอน (4) การวางใจในศาสดาพยากรณ์ และการใช้ (5) ศรัทธา (6) ความพากเพียร และ (7) การเชื่อฟัง วิธีการแสวงหานี้ช่างแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการ “แงะแผ่นจารึก” ของข้าพเจ้าหรือความพยายามในการบังคับความเข้าใจในสิ่งที่จะต้องเปิดเผยตามตารางเวลาของพระเจ้าและผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น
ในยุคปัจจุบัน เราคาดหวังว่าเราสามารถและควรได้รับความรู้ในทันที และเรามักปฏิเสธหรือไม่วางใจข้อมูลที่เข้าถึงหรือรู้ได้ไม่ง่ายนัก เพราะเหตุว่ามีข้อมูลอย่างล้นเหลือ ด้วยความไม่ตั้งใจ บางคนเชื่อถือข้อมูลที่มีพร้อมแต่ไม่รู้ที่มาแทนที่จะวางใจในรูปแบบของการได้รับการเปิดเผยที่พระเจ้าทรงจัดวางไว้ เจคอบอาจบรรยายถึงช่วงเวลาของเราเมื่อท่านกล่าวว่า “แต่ดูเถิด, [พวกเขา] เป็นคนดื้อรั้น; และพวกเขาหมิ่นถ้อยคำแห่งความแจ้งชัด … และแสวงหาสิ่งที่พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้. ดังนั้น, เพราะความมืดบอดของพวกเขา, ซึ่งความมืดบอดนั้นเกิดจากการมองข้ามเป้าหมาย, พวกเขาจึงจำเป็นต้องตก; เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงเอาความแจ้งชัดของพระองค์ไปจากพวกเขา, และทรงให้หลายสิ่งแก่พวกเขาซึ่งพวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้, เพราะพวกเขาปรารถนาเช่นนั้น.”8
ในทางกลับกันคือคำแนะนำของประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟที่ให้แก่ผู้สอนศาสนา ซึ่งคำพูดของท่านสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับผู้แสวงหาความจริงทางวิญญาณทุกคน “เมื่อ …ผู้สอนศาสนามีศรัทธาในพระเยซูคริสต์” ท่านกล่าว “พวกเขาจะวางใจในพระเจ้าอย่างเพียงพอที่จะทำตามพระบัญญัติของพระองค์—แม้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจเหตุผลทั้งหมด ศรัทธาของพวกเขาจะแสดงผ่านทางความพากเพียรและการทำงาน”9
ระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนที่ผ่านมา เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์อธิบายว่า “ศาสนจักรพยายามอย่างยิ่งที่จะมีความโปร่งใสกับบันทึกต่างๆ ที่เรามี แต่หลังจากตีพิมพ์ทุกสิ่งที่เราทำได้ บางครั้งสมาชิกก็ยังมีคำถามพื้นฐานที่ไม่สามารถตอบได้ด้วยการศึกษา …บางสิ่งเรียนรู้ได้ด้วยศรัทธาเท่านั้น”10
ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณสอนหลักธรรมเดียวกัน ซึ่งแสดงว่าแม้ว่าเวลาจะผ่านไป ธรรมชาติของมนุษย์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงและว่ารูปแบบของพระเจ้าสำหรับการเรียนรู้นั้นไม่มีข้อจำกัดทางเวลา ขอให้พิจารณาสุภาษิตจากพันธสัญญาเดิมว่า “จงวางใจพระเจ้าด้วยสุดใจของเจ้า และอย่าพึ่งพาความรอบรู้ของตนเอง”11
อิสยาห์อธิบายในฐานะผู้พูดแทนพระเจ้าว่า “เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น”12
นีไฟเพิ่มเติมคำพยานเมื่อท่านประกาศว่า “ข้าแต่พระเจ้า, ข้าพระองค์วางใจในพระองค์, และข้าพระองค์จะวางใจในพระองค์ตลอดกาล.”13
ศรัทธาและความวางใจในพระเจ้าเรียกร้องให้เรายอมรับว่าพระปรีชาญาณของพระองค์อยู่สูงกว่าเรา เราต้องยอมรับอีกว่าแผนของพระองค์นำมาซึ่งศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ในการพัฒนาและเรียนรู้ทางวิญญาณ
เราต้องไม่คาดหวังถึงการ “มีความรู้อันสมบูรณ์ของสิ่งต่าง ๆ” ระหว่างการมีชีวิตมรรตัย แต่เราได้รับการคาดหมายให้ “หวังในสิ่งที่ไม่เห็น, ซึ่งจริง”14
แม้ว่านีไฟมีศรัทธาที่ยิ่งใหญ่เพียงใด ท่านยังยอมรับถึงความเข้าใจที่จำกัดของท่านเมื่อท่านตอบคำถามของเทพที่ว่า “เจ้ารู้จักพระจริยวัตรอันอ่อนน้อมของพระผู้เป็นเจ้าไหม” นีไฟตอบว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงรักลูก ๆ ของพระองค์; กระนั้นก็ตาม, ข้าพเจ้าไม่รู้ความหมายของเรื่องทั้งหมด.”15
ในทำนองเดียวกัน แอลมากล่าวต่อฮีลามัน บุตรชายของท่านว่า “บัดนี้ความลี้ลับเหล่านี้ยังไม่เผยให้เป็นที่รู้โดยสมบูรณ์แก่พ่อ; ฉะนั้นพ่อจะหยุดก่อน.”16
ข้าพเจ้าขอเป็นพยานว่าพระบิดาสวรรค์ของเราทรงรักลูกๆ ของพระองค์ และเช่นเดียวกับนีไฟและแอลมา ข้าพเจ้าไม่รู้ความหมายของทุกสิ่ง และข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ทุกสิ่ง ข้าพเจ้าจะหยุดและรอพระเจ้าอย่างอดทนเช่นเดียวกัน โดยที่รู้ว่า “ข้าพเจ้ามีทุกสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานกว่าสิ่งเหล่านี้จริง; และท่านก็มีทุกสิ่งเป็นประจักษ์พยานแก่ท่านว่าสิ่งเหล่านี้จริง …
“… พระคัมภีร์วางอยู่ต่อหน้าท่าน, แท้จริงแล้ว, และทุกสิ่งชี้ให้เห็นว่ามีพระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้ว, แม้แผ่นดินโลก, และสิ่งทั้งปวงที่อยู่บนพื้นผิวของมัน, แท้จริงแล้ว, และการเคลื่อนไหวของมัน, แท้จริงแล้ว, และดาวพระเคราะห์ทั้งหมดด้วยซึ่งเคลื่อนไปตามปรกติวิสัยเป็นพยานว่ามีพระผู้สร้างสูงสุด.”17
เมื่อเรายอมรับว่าเราเป็นงานสร้างของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงปรีชาญาณและทรงเอาพระทัยใส่ “โอ้ แล้ว” เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระองค์ทรงนำทางในการพัฒนาและการเรียนรู้ทางวิญญาณของเรา “ตามพระประสงค์และความพอพระทัยของพระองค์” แทนที่จะเป็นของเราเล่า18
พระองค์ทรงพระชนม์ พระเยซูคริสต์คือพระบุตรองค์เดียวของพระบิดาและเป็นพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติ เพราะการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระคริสต์ พระองค์ทรงมีพระปรีชาญาณและทรงรู้ล่วงหน้าในการนำทางเราในยุคสุดท้ายนี้ โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ ที่ทรงเลือกให้ฟื้นฟูอาณาจักรของพระองค์บนโลกนี้จนถึงความบริบูรณ์ โธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์และผู้ประกาศของพระองค์ที่มีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานที่จริงใจในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน