“เราจะยกผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอผู้หนึ่งขึ้น”
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราจึงมีมากกว่าหน้าต่างเข้าสวรรค์—ประตูเข้าสู่นิรันดรเปิดให้เรา
เมื่อโมโรไนมาหาโจเซฟ สมิธครั้งแรกท่านเตือนว่า “ชื่อ [ของโจเซฟ] จะทั้งดีและชั่วในบรรดาประชาชาติ”1 เราได้เห็นสัมฤทธิผลของคำพยากรณ์นั้น ในสงครามระหว่างความดีกับความชั่ว การฟื้นฟูพระกิตติคุณผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธมีทั้งผู้เชื่อที่ได้รับการดลใจให้ติดตามท่านและคนต่อต้านที่ถูกยั่วยุให้ต่อสู้อย่างดุเดือดกับอุดมการณ์แห่งไซอันและโจเซฟ สมิธ การต่อสู้ดังกล่าวไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่นานหลังจากเด็กหนุ่มโจเซฟเดินเข้าไปในป่าศักดิ์สิทธิ์และยังคงเกิดขึ้นทุกวันนี้กับสิ่งที่เห็นเพิ่มขึ้นทางอินเทอร์เน็ต
พระเจ้าทรงประกาศต่อโจเซฟ สมิธว่า
“สุดแดนแผ่นดินโลกจะสอบถามเกี่ยวกับนามของเจ้า, และคนโง่เขลาจะเห็นเจ้าสมควรแก่การถูกเยาะเย้ย, และนรกจะเดือดดาลต่อต้านเจ้า;
“ขณะที่ผู้มีใจบริสุทธิ์, และผู้มีปัญญา, และคนจิตใจสูง, และผู้มีคุณธรรม, จะแสวงหาคำแนะนำ, และสิทธิอำนาจ, และพรอยู่เสมอจากฝ่ามือเจ้า”2
วันนี้ข้าพเจ้าขอมอบประจักษ์พยานให้ทุกคนที่พยายามเข้าใจมากขึ้นถึงพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของโจเซฟ สมิธ จูเนียร์ ศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู
เราต้องไม่เขินอายในการเป็นพยานถึงพันธกิจของโจเซฟในฐานะศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย เพราะพระเจ้าทรงทำงานผ่านศาสดาพยากรณ์เสมอ3 เพราะความจริงที่ฟื้นฟูผ่านโจเซฟ สมิธเราจึงรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ เรารู้ถึงพระคุณลักษณะของพระองค์ ความสัมพันธ์กันของพระองค์และกับเรา และแผนแห่งการไถ่อันสำคัญยิ่งที่ยอมให้เรากลับไปที่ประทับของพระองค์
เกี่ยวกับโจเซฟ ประธานบริคัม ยังก์ประกาศว่า “เป็นประกาศิตในสภาของนิรันดร นานมาแล้วก่อนการวางรากฐานของแผ่นดินโลกว่าท่านควรเป็นผู้นำพระคำของพระผู้เป็นเจ้ามาให้ผู้คนในสมัยการประทานสุดท้ายของโลกนี้ และรับความสมบูรณ์ของกุญแจและพลังอำนาจแห่งฐานะปุโรหิตของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าทรงดูแลท่าน … [เพราะท่าน] ได้รับแต่งตั้งล่วงหน้าในนิรันดรให้เป็นประธานควบคุมสมัยการประทานสุดท้ายนี้”4
ในการเตรียมรับงานอันสำคัญยิ่งนี้ โจเซฟ สมิธเกิดมาในครอบครัวที่รักกัน ผู้ประสบภาระและการทดลองของชีวิตมากมายทุกวัน เมื่อโจเซฟเริ่มเป็นผู้ใหญ่ ความรู้สึกของท่านต่อพระผู้เป็นเจ้า “ลึกซึ้งและมักจะแรงกล้า”5 แต่ท่านสับสนกับแนวคิดขัดแย้งทางศาสนาที่นักเทศน์สมัยของท่านสอน โชคดีที่เด็กหนุ่มโจเซฟไม่ปล่อยให้ความกังขาหยุดยั้งศรัทธาของท่าน ท่านเสาะหาคำตอบในไบเบิลและพบคำแนะนำนี้ “ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ”6
โจเซฟจำได้ว่า “ไม่เคยมีข้อความใดในพระคัมภีร์มาสู่จิตใจมนุษย์ด้วยพลังได้มากไปกว่าข้อความนี้ที่ขณะนั้นมาสู่จิตใจข้าพเจ้า. ดูเหมือนจะเข้าถึงความรู้สึกทุกอย่างของจิตใจข้าพเจ้าด้วยพลังอันแรงกล้า. ข้าพเจ้าครุ่นคิดถึงข้อความนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า”7
ด้วยศรัทธาที่เรียบง่าย โจเซฟทำตามความรู้สึกทางวิญญาณเหล่านี้ ท่านพบสถานที่เงียบสงบ คุกเข่า “และเริ่มตั้งจิตปรารถนาต่อพระผู้เป็นเจ้า”8 มีพลังใหญ่หลวงในคำบรรยายของโจเซฟเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้น:
“ข้าพเจ้าเห็นลำแสงอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าพอดี, เหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์, ซึ่งค่อยๆ เลื่อนลงมาจนตกต้องข้าพเจ้า.
“… เมื่อแสงนั้นส่องมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, ซึ่งความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้, พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ. องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้า, โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัส, พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—นี่คือบุตรที่รักของเรา. จงฟังท่าน!”9
โจเซฟ สมิธเห็นพระผู้เป็นเจ้า พระบิดานิรันดร์ และพระเยซูคริสต์ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของโลก นี่คือนิมิต แรก ของโจเซฟ ในปีต่อๆ มา โจเซฟแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยของประทานและอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า สัตภาวะทั้งหลายจากสวรรค์มาเยือนท่านเพื่อฟื้นฟูความจริงและสิทธิอำนาจที่หายไปหลายศตวรรษ การสื่อสารเหล่านี้กับโจเซฟ สมิธเปิดหน้าต่างสวรรค์และเผยให้ท่านเห็นรัศมีภาพแห่งนิรันดร ชีวิตของโจเซฟเป็นประจักษ์พยานว่าถ้าใครในพวกเราขาดสติปัญญา เราสามารถทูลขอพระผู้เป็นเจ้าในศรัทธาและจะได้รับคำตอบ—บางครั้งจากสัตภาวะสวรรค์ แต่บ่อยกว่านั้นคือจากอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ผู้ตรัสกับเราผ่านความคิดและความรู้สึกที่ได้รับการดลใจ10 โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์เราจะ “รู้ความจริงของทุกเรื่อง”11
สำหรับพวกเราจำนวนมาก พยานของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเริ่มต้นเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอรมอนครั้งแรกตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายสมัยเป็นนักเรียนเซมินารีชั้นเรียนเช้าตรู่ ด้วยจินตนาการชัดเจนแบบเด็กข้าพเจ้าจึงตัดสินใจอ่านประหนึ่งตนเองเป็นโจเซฟ สมิธกำลังค้นพบความจริงในพระคัมภีร์มอรมอนเป็นครั้งแรก นั่นมีผลต่อชีวิตข้าพเจ้าที่ทำให้ข้าพเจ้ายังคงอ่านพระคัมภีร์มอรมอนแบบนั้น ข้าพเจ้าพบบ่อยครั้งว่าการทำเช่นนั้นทำให้ข้าพเจ้าสำนึกคุณมากต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟและความจริงที่ฟื้นฟูในหนังสือมีค่าเล่มนี้
ตัวอย่างเช่น ลองนึกถึงความรู้สึกของโจเซฟขณะท่านแปลข้อความเกี่ยวกับบัพติศมาเพื่อการปลดบาป โจเซฟผู้ที่พระเจ้ารับสั่งไม่ให้เข้าร่วมกับนิกายใดมีคำถามอย่างแน่นอนเกี่ยวกับศาสนพิธีแห่งความรอดนี้ คำถามของท่านชักนำท่านอีกครั้งให้สวดอ้อนวอน และการสวดอ้อนวอนครั้งนี้ส่งผลให้ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาผู้ฟื้นฟูฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและสิทธิอำนาจในการให้บัพติศมามาเยือนท่าน12
หรือลองพิจารณาว่าโจเซฟ สมิธรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านเรียนรู้ครั้งแรกว่าพระเยซูคริสต์เสด็จเยือนผู้คนในซีกโลกตะวันตก—ว่าพระองค์ทรงสอนพวกเขา สวดอ้อนวอนให้พวกเขา รักษาคนป่วย ให้พรเด็กๆ ประสาทสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต และปฏิบัติศีลระลึกต่อพวกเขา13 โจเซฟอาจไม่ตระหนักในเวลานั้นแต่สิ่งที่ท่านเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนพิธีและการจัดตั้งศาสนจักรสมัยโบราณของพระคริสต์เตรียมท่านให้พร้อมช่วยพระเจ้าในการฟื้นฟูศาสนจักรเดียวกันบนแผ่นดินโลก
ระหว่างแปลพระคัมภีร์มอรมอน โจเซฟกับเอมมาภรรยาเศร้าโศกเพราะบุตรชายวัยทารกเสียชีวิต ในสมัยนั้นนักเทศน์สอนกันทั่วไปว่าเด็กที่เสียชีวิตโดยไม่บัพติศมาจะถูกลงโทษตลอดกาล ลองนึกภาพดูว่าเมื่อคิดถึงเรื่องนี้โจเซฟจะรู้สึกอย่างไรขณะแปลถ้อยคำเหล่านี้จากศาสดาพยากรณ์มอรมอน “เด็กเล็กๆ … ไม่ต้องมีการกลับใจ, หรือบัพติศมา, … [เพราะ] เด็กเล็กๆ มีชีวิตอยู่ในพระคริสต์, แม้ตั้งแต่การวางรากฐานของโลก”14
บางทีข้อความในพระคัมภีร์มอรมอนที่ทำให้เด็กหนุ่มโจเซฟประหลาดใจมากที่สุดอาจอยู่ในบทที่สามของ 2 นีไฟ บทนี้มีคำพยากรณ์สมัยโบราณเกี่ยวกับ “ผู้หยั่งรู้ที่เลิศเลอ” ผู้ที่พระเจ้าจะทรงยกขึ้นในยุคสุดท้าย—ผู้หยั่งรู้นามโจเซฟ ตั้งชื่อตามบิดาของท่าน ศาสดาพยากรณ์ในอนาคตท่านนี้จะ “ได้รับความนับถืออย่างสูง” และจะทำงาน “มีค่ายิ่ง” แก่ผู้คนของท่าน ท่านจะ “ยิ่งใหญ่เหมือนโมเสส” และจะได้รับ “พลังความสามารถ … เพื่อนำพระวจนะ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ออกมา”15 ลองคิดดูว่าโจเซฟ สมิธจะรู้สึกอย่างไรเมื่อท่านทราบว่านี่เป็นคำพยากรณ์เกี่ยวกับ ท่าน! ท่านไม่เพียงแปลประวัติศาสตร์เท่านั้น แต่กำลังแปลนิมิตของวันเวลาสุดท้าย ของการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างน่าอัศจรรย์ด้วย—และโจเซฟจะช่วยทำให้เกิดสัมฤทธิผล!
ปัจจุบัน ราว 200 ปีต่อมา เราเห็นได้ง่ายว่าคำพยากรณ์นี้เป็นจริงแล้ว เรารู้เกี่ยวกับสิ่งสำคัญที่โจเซฟทำสำเร็จในฐานะศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า แต่จำไว้ว่าเมื่อโจเซฟแปลคำพยากรณ์นี้ ท่านทำเพียงไม่กี่อย่างที่เหล่าศาสดาพยากรณ์ทำนายไว้ ท่านยังเป็นเด็กหนุ่มตอนต้นทศวรรษ 20 ศาสนจักรยังไม่จัดตั้ง ไม่มีวอร์ดหรือ สาขา ไม่มีผู้สอนศาสนา และพระวิหาร แทบไม่มีใครได้ยินชื่อโจเซฟ สมิธ และบางคนต่อต้านท่านอย่างโจ่งแจ้ง ตอนนี้ให้ดูงานสำคัญยิ่งที่พระเจ้าทรงทำด้วยมือโจเซฟผู้รับใช้ของพระองค์ ทั้งที่มีการต่อต้านท่าน นั่นไม่ใช่สัมฤทธิผลของคำพยากรณ์นี้ที่เป็นหลักฐานยืนยันการเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์หรอกหรือ
ถึงใครก็ตามที่สงสัยประจักษ์พยานของพวกเขาเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธหรือกำลังรับมือกับข้อมูลเพียงผิวเผินที่ไม่ถูกต้องและชักนำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับชีวิตและการปฏิบัติศาสนกิจของโจเซฟ ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านให้พิจารณาผล—พรมากมายที่มาถึงเราผ่านพันธกิจอันน่าอัศจรรย์ของโจเซฟ สมิธ ศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ การเปิดเผยและศาสดาพยากรณ์จึงไม่ใช่เรื่องของอดีตอีกต่อไป “วันแห่งปาฏิหาริย์”—นิมิต การรักษา และการปฏิบัติของเหล่าเทพ—ยังไม่หยุด16
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราแต่ละคนจึงเข้าถึงพลังอำนาจและพรของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ รวมทั้งบัพติศมา ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และศีลระลึก
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราจึงมีพรและศาสนพิธีของพระวิหารผูกมัดเรากับพระผู้เป็นเจ้า ทำให้เราเป็นผู้คนของพระองค์ และทำให้ “พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า” ประจักษ์ต่อเรา เพื่อสักวันหนึ่งเราจะ “เห็นพระพักตร์ของพระผู้เป็นเจ้า แม้พระบิดา และมีชีวิตอยู่ได้”17
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราจึงรู้ว่าการแต่งงานและครอบครัวเป็นส่วนที่ขาดไม่ได้ในแผนของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความสุขของเรา เราจึงรู้ว่าโดยผ่านศาสนพิธีและพันธสัญญาพระวิหาร สัมพันธภาพครอบครัวที่เราหวงแหนจะคงอยู่ชั่วนิรันดร์
เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราจึงมีมากกว่าหน้าต่างเข้าสวรรค์—ประตูเข้าสู่นิรันดรเปิดให้เรา เราจึงรู้จัก “พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา”18 ชีวิตนิรันดร์จึงเป็นของเราได้
เหนือสิ่งอื่นใด เพราะโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ เราจึงมีพยานมากมาย ประจักษ์พยานมากมายว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของโลก เราจึงมีห่วงโซ่ที่ไม่ขาดตอนของพยานพิเศษถึงพระเยซูคริสต์ รวมทั้งศาสดาพยากรณ์ปัจจุบันของเรา ประธานโธมัส เอส. มอนสัน ที่ปรึกษาในฝ่ายประธานสูงสุดและสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสอง ข้าพเจ้าเพิ่มประจักษ์พยานที่อ่อนน้อมทว่าชัดเจนของข้าพเจ้ากับพยานของท่านเหล่านั้นว่าพระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์และทรงนำศาสนจักร โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์แห่งการฟื้นฟู ฐานะปุโรหิตและสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าอยู่บนโลกอีกครั้ง ขอให้เราประกาศพยานและความสำนึกคุณของเราต่อศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผยที่ยอดเยี่ยมท่านนี้ของพระผู้เป็นเจ้าอย่างไม่หวั่นเกรง นี่คือคำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน