2017
การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์และความจริงเกี่ยวกับร่างกาย
เมษายน 2017


การฟื้นคืนพระชนม์ ของ พระเยซูคริสต์ และความจริงเกี่ยวกับร่างกาย

โดยผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระเยซูคริสต์ทรงสอนเราถึงความจริงอันสำคัญยิ่งเกี่ยวกับร่างกาย

ภาพ
Resurrected Christ with Thomas

ส่วนหนึ่งจากภาพ โธมัสคนช่างสงสัย โดย คาร์ล ไฮน์ริค บลอค

พื้นหลัง © janniwet/iStock/Getty Images

“พระองค์ตรัสว่า สำเร็จแล้ว และก้มพระเศียรลงสิ้นพระชนม์” (ยอห์น 19:30) วินาทีนั้น วิญญาณของพระเยซูคริสต์ออกจากพระวรกายของพระองค์—พระวรกายที่อดทนต่อความทุกขเวทนาเพื่อพระองค์จะทรงชดใช้บาปของคนทั้งปวงและทรงช่วยพวกเขาตามความทุพพลภาพของพวกเขา (ดู แอลมา 7:12–13) พระวรกายนั้น เวลานี้เป็นร่างไร้วิญญาณ ถูกนำลงจากกางเขน ห่อด้วยผ้าลินิน และวางไว้ในอุโมงค์ ในวันที่สาม สตรีมาที่อุโมงค์เพื่อดำเนินการเตรียมฝังพระวรกายนั้นให้สำเร็จลุล่วง

แต่พระวรกายไม่อยู่ที่นั่นแล้ว

การค้นพบอุโมงค์ว่างเปล่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้น ต่อมา มารีย์ ชาวมักดาลา เหล่าอัครสาวก และอีกหลายคนเห็นสิ่งอัศจรรย์บางอย่างด้วยตาคือเห็นพระเยซูคริสต์ที่ฟื้นคืนพระชนม์และสมบูรณ์แบบในร่างมนุษย์ที่จับต้องได้

พระผู้ช่วยให้รอดทรงให้คนที่เห็นพระองค์ด้วยตาหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ได้เข้าใจถ่องแท้ว่าพระองค์ทรงมีพระวรกายแบบใด ตัวอย่างเช่น พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เหล่าอัครสาวกมาจับพระวรกายทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะมั่นใจว่าพระองค์ทรงมีร่างกายไม่ใช่วิญญาณลึกลับ (ดู ลูกา 24:36–40)1 พระองค์เสวยกับพวกเขาด้วย (ดู ลูกา 24:42–43)

จากนั้นเมื่อเหล่าอัครสาวกทำงานมอบหมายให้สั่งสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ให้เกิดสัมฤทธิผล พวกเขาเผชิญการต่อต้านและการข่มเหง บ้างก็เกิดขึ้นเพราะพวกเขาสอนว่าพระเยซูคริสต์ทรงฟื้นคืนพระชนม์และมวลมนุษยชาติจะฟื้นคืนชีวิตเนื่องด้วยเหตุนี้ (ดู กิจการของอัครทูต 4:1–3)

ปัจจุบัน การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางของข่าวสารที่ศาสนจักรประกาศต่อโลกเช่นที่เคยประกาศสมัยนั้น ดังที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าว “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของเหล่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว”2

การฟื้นคืนพระชนม์ช่วยตอบคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับธรรมชาติของพระผู้เป็นเจ้า ธรรมชาติของเราและความสัมพันธ์ของเรากับพระผู้เป็นเจ้า จุดประสงค์ของชีวิตนี้ และความหวังที่เรามีในพระเยซูคริสต์ ต่อไปนี้เป็นความจริงบางประการที่เน้นโดยการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์

พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีพระวรกายที่มีรัศมีภาพ

ภาพ
First Vision

นิมิตแรก,โดย แกรีย์ แอล. แคพพ์

ความคิดที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงมีรูปพรรณสัณฐานเดียวกันกับมนุษย์พบในพระคัมภีร์ไบเบิล3 และคนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น แต่ประเพณีมากมายทางศาสนาและปรัชญาปฏิเสธความคิดดังกล่าวโดยเห็นด้วยว่าพระผู้เป็นเจ้า “ปราศจากร่างกาย อวัยวะ หรืออารมณ์ความรู้สึก”4 ด้วยเหตุนี้ในทรรศนะดังกล่าวร่างกาย (และสสารโดยทั่วไป) จึงชั่วร้ายหรือไม่จริง ส่วนวิญญาณ จิตใจ หรือความคิดคือเนื้อแท้ของการดำรงอยู่หรือการเป็นอยู่

การเปิดเผยเกี่ยวกับธรรมชาติของพระผู้เป็นเจ้าผ่านพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์จึงเป็นการเปิดเผยที่เรียบง่ายและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่ายินดียิ่ง

ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ตรัสว่า “คนที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระบิดา” (ยอห์น 14:9) นี่เป็นจริงยิ่งขึ้นหลังจากการฟื้นคืนพระชนม์โดยมีพระวรกายอมตะที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “พระบิดาทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก, สัมผัสได้ดังของมนุษย์; พระบุตรก็เช่นกัน” (คพ. 130:22)

ลักษณะทางกายของพระบิดาบนสวรรค์จึงได้รับการเปิดเผยด้วยเหตุนี้ ดังที่โจเซฟ สมิธอธิบายในเวลาต่อมาว่า “สิ่งซึ่งปราศจากร่างกายหรืออวัยวะต่างๆ ย่อมไม่เป็นอะไรเลย ไม่มีพระผู้เป็นเจ้าอื่นใดในสวรรค์นอกจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมีเนื้อหนังและกระดูก”5

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวทำนองนี้ “หากการมีร่างกายไม่เพียงไม่จำเป็นแต่ไม่เป็นที่ต้องการของพระผู้เป็นเจ้าแล้ว เหตุใดพระผู้ไถ่ของมนุษยชาติจึงไถ่พระวรกาย ของพระองค์ จากเงื้อมมือแห่งความตายและหลุมศพโดยทรงรับประกันว่าจะไม่มีวันแยกจากกันอีกจากพระวิญญาณของพระองค์ในกาลเวลาหรือนิรันดรเล่า ผู้ใดก็ตามที่ปฏิเสธแนวคิดเรื่องพระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระวรกายก็ปฏิเสธทั้งพระคริสต์ผู้ทรงเป็นมรรตัยและผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์6

พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งมวล ทรงรู้ทุกเรื่อง และทรงรักทุกคน

คุณลักษณะขั้นสูงสุดแห่งอุปนิสัยของพระบิดาบนสวรรค์เปิดเผยไว้เช่นกันในข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ดังที่เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าว “เพราะความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ ข้อสงสัยเรื่องเดชานุภาพอันสมบูรณ์ ปรีชาญาณรอบรู้ และความเมตตาปรานีของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา—ผู้ประทานพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์เพื่อไถ่โลก—จึงไร้เหตุผลทั้งสิ้น”7

เดชานุภาพ ความรู้ และความเมตตาปราณีของพระผู้เป็นเจ้าพิสูจน์ให้เห็นในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ ซึ่งให้หลักฐานถึงพระปรีชาญาณและความรักในแผนของพระบิดาบนสวรรค์และความสามารถของพระองค์ (และของพระบุตร) ในการทำให้แผนนั้นลุล่วง

เราเป็นบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า

ตามที่พระคัมภีร์ไบเบิลสอนเรา พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างเรา “ตามพระฉายาของพระองค์ … ชายและหญิง” (ปฐมกาล 1:27) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์เสริมความจริงนี้ อันที่จริง ในโมงแห่งการฟื้นคืนพระชนม์นั้นเอง พระเยซูคริสต์ทรงเน้นความสัมพันธ์ของเรากับพระบิดาบนสวรรค์โดยตรัสว่า “เรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเรา และพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” (ยอห์น 20:17; เน้นตัวเอน)

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเปิดเผยว่าพระผู้เป็นเจ้าและมนุษยชาติใช่ว่าไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงในการดำรงอยู่ที่จำเป็นของพวกเขา รูปแบบพื้นฐานของร่างกายเราคล้ายกับร่างวิญญาณของเรา8 และวิญญาณเราสร้างตามรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้าเพราะนั่นเป็นธรรมชาติของความสัมพันธ์ฉันพ่อแม่ลูก

ร่างกายเป็นของประทานอันสูงส่งและสง่างาม

ภาพ
sleeping infant

ถ่ายภาพโดย เดวิด สโตเคอร์

โดยผ่านการฟื้นคืนพระชนม์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงแสดงให้เราเห็นว่าการดำรงอยู่ทางกายเป็นส่วนจำเป็นของการเป็นอยู่ชั่วนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้าและบุตรธิดาของพระองค์ ดังที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธ “ธาตุต่างๆ เป็นนิรันดร์, และวิญญาณกับธาตุสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก, จะได้รับความสมบูรณ์แห่งปีติ” (คพ. 93:33) ความเชื่อมโยงที่แยกไม่ออกนี้รวมวิญญาณและสสารทางกายเข้าด้วยกันทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายเป็นอมตะ ไม่เน่าเปื่อย มีรัศมีภาพ และสมบูรณ์แบบ—ร่างกายแบบนี้เท่านั้นที่สามารถรับความบริบูรณ์แห่งปีติที่พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครอง

ตรงกันข้าม หลังจากมีร่างกายและจากนั้นถูกแยกจากร่างกายเข้าสู่โลกวิญญาณ “คนตายมองว่าการที่วิญญาณของพวกเขาละจากร่างกาย … เป็นพันธนาการ” (คพ. 138:50; ดู คพ. 45:17 ด้วย)

แม้แต่ร่างกายมรรตัยของเราก็ยังเป็นส่วนจำเป็นในแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์และเป็นของประทานอันสูงค่า เมื่อวิญญาณก่อนมรรตัยของเรามาโลกนี้ วิญญาณเหล่านั้นได้รับร่างกาย “เพิ่มเติม” (อับราฮัม 3:26) ดังที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอน “เรามายังโลกนี้เพื่อเราจะมีร่างกายและปรากฏกายอันบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าในอาณาจักรชั้นสูง หลักธรรมอันยิ่งใหญ่ของความสุขประกอบด้วยการมีร่างกาย มารไม่มีร่างกาย และการไม่มีร่างกายคือบทลงโทษสำหรับเขา”9

ดังที่เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอน “ร่างกายของเราสร้างขึ้นมาให้สามารถรองรับประสบการณ์อันกว้างใหญ่ ล้ำลึกและลึกซึ้งซึ่งไม่สามารถรับได้จากการดำรงอยู่ก่อนเกิดของเรา ดังนั้น ความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น ความสามารถในการจดจำและกระทำตามความจริง ความสามารถในการเชื่อฟังหลักธรรมและศาสนพิธีแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์จึงขยายผ่านร่างกายของเรา ในโรงเรียนของความเป็นมรรตัย เราประสบความอ่อนโยน ความรัก ความเมตตา ความสุข ความทุกข์ ความผิดหวัง ความเจ็บปวด และแม้กระทั่งปัญหาท้าทายของข้อจำกัดทางกายในด้านต่างๆ ที่เตรียมเราให้พร้อมรับนิรันดร กล่าวให้เข้าใจง่ายคือมีบทเรียนที่เราต้องเรียนรู้และประสบการณ์ที่เราต้องมี ดังที่พระคัมภีร์เรียกว่า ‘ตามเนื้อหนัง’ (1 นีไฟ 19:6; แอลมา 7:12–13)”10

นอกจากนี้ ดังที่โจเซฟ สมิธสอนว่า “ทุกสัตภาวะที่มีร่างกายมีอำนาจเหนือสัตภาวะที่ไม่มีร่างกาย”11 ซาตานล่อลวงเราได้ แต่เขาจะบังคับไม่ได้ “มารไม่มีอำนาจเหนือเราเว้นแต่เราจะยอมเขา”12

สุดท้ายแล้ว ของประทานแห่งร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิตและสมบูรณ์แบบวางเราให้อยู่เหนืออำนาจของซาตานตลอดไป หากไม่มีการฟื้นคืนชีวิต “วิญญาณของเราย่อมต้องมาขึ้นกับ … มาร, เพื่อจะไม่ลุกขึ้นอีกต่อไป. และวิญญาณของเราต้องกลายเป็นเหมือนกับเขา, และเรากลายเป็นเหล่ามาร, เหล่าเทพของมาร, ซึ่งจะถูกกันไว้จากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าของเรา, และจะคงอยู่กับบิดาแห่งความเท็จ, ในความเศร้าหมอง, เหมือนกับตัวเขา” (2 นีไฟ 9:8–9)

วิญญาณและร่างกายไม่ใช่ศัตรูกัน

แม้จะต่างกันแต่วิญญาณและร่างกายไม่ได้เป็นความจริงสองส่วนที่ต่างกันและเข้ากันไม่ได้ ดังที่โจเซฟ สมิธเรียนรู้ “ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าสสารอันเป็นอรูป. วิญญาณทั้งปวงเป็นสสาร, แต่ละเอียดหรือบริสุทธิ์กว่า, และจะมองเห็นได้โดยดวงตาที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าเท่านั้น; เราไม่สามารถมองเห็นวิญญาณ; แต่เมื่อร่างกายของเราบริสุทธิ์แล้ว เราจะเห็นว่าวิญญาณเป็นสสารทั้งหมด” (คพ. 131:7–8)

ภาพ
Christ appears to the Nephites

ส่วนหนึ่งจากภาพ พระคริสต์ทรงปรากฏในซีกโลกตะวันตก โดย อาร์โนลด์ ไฟร์บูร์ก

ในสภาพที่ฟื้นคืนพระชนม์และมีรัศมีภาพ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นตัวแทนของการรวมกันโดยสมบูรณ์ของวิญญาณและร่างกาย โดยแสดงให้เราเห็นว่า “วิญญาณกับร่างกายเป็นจิตวิญญาณของมนุษย์” (คพ. 88:15) ในชีวิตนี้เราพยายามมี “จิตฝักใฝ่ฝ่ายวิญญาณ” แทนที่จะมี “จิตฝักใฝ่ในเนื้อหนัง” (2 นีไฟ 9:39) “[ทิ้ง] ความเป็นมนุษย์ปุถุชน” (โมไซยาห์ 3:19) และ “หักห้ามความลุ่มหลงทั้งปวง [ของเรา]” (แอลมา 38:12) แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าวิญญาณและร่างกายเป็นศัตรูกัน ดังที่พระเยซูคริสต์ทรงแสดงให้เราเห็น พระองค์ไม่ทรงดูถูกและอยู่เหนือร่างกายแต่ทรงควบคุมและเปลี่ยนแปลง

ชีวิตในร่างกายมรรตัยมีจุดประสงค์ที่เต็มไปด้วยความหมาย

ความคิดที่ว่าชีวิตนี้เป็นการทดสอบมีเหตุมีผลมากขึ้นเมื่อเราพิจารณาสิ่งที่เรารู้เกี่ยวกับชีวิตเราทั้งก่อนและหลัง เรามีชีวิตเป็นวิญญาณก่อนเรามาแผ่นดินโลก พระบิดาบนสวรรค์ทรงประสงค์ให้เราเป็นเหมือนพระองค์และมีชีวิตตลอดกาลกับร่างกายอมตะ ความจริงเหล่านี้หมายความว่าเวลาของเราในการทดสอบร่างกายมรรตัยเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างไร้เหตุผลหากแต่มีความหมายและจุดประสงค์จริงๆ

ดังที่เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันอธิบายไว้ “โดยการเลือกของเรา เราแสดงให้พระผู้เป็นเจ้า (และตัวเราเอง) เห็นคำมั่นสัญญาและวิสัยที่เราจะดำเนินชีวิตตามกฎซีเลสเชียลขณะอยู่นอกที่ประทับของพระองค์และในร่างกายทางโลกพร้อมกับพลังอำนาจ ความหิวกระหาย และความลุ่มหลงของร่างกาย เราควบคุมเนื้อหนังให้เป็นเครื่องมือแทนที่จะเป็นนายของวิญญาณได้ไหม เราจะได้รับความไว้วางใจทั้งในกาลเวลาและนิรันดรให้ดูแลพลังอำนาจอย่างพระผู้เป็นเจ้า รวมถึงพลังอำนาจในการสร้างชีวิตหรือไม่ เราแต่ละคนจะเอาชนะความชั่วร้ายได้ไหม ผู้ที่ทำได้จะ ‘มีรัศมีภาพเพิ่มเติมมาบนศีรษะพวกเขาตลอดกาลและตลอดไป’ [อับราฮัม 3:26]—ส่วนที่สำคัญมากของรัศมีภาพนั้นคือร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิต เป็นอมตะ และรุ่งโรจน์”13

ประสบการณ์ของเราในร่างกายปัจจุบัน รวมถึงความสัมพันธ์ต่อกัน มีความหมายเพราะเป็นเหมือนกับประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้น ดังที่โจเซฟ สมิธเรียนรู้ “ความเป็นสังคมอย่างเดียวกันนั้นซึ่งมีอยู่ท่ามกลางพวกเราที่นี่จะมีอยู่ท่ามกลางพวกเราที่นั่น, เพียงแต่จะควบคู่ไปกับรัศมีภาพนิรันดร์, ซึ่งรัศมีภาพนั้นเราไม่ได้ชื่นชมขณะนี้” (คพ. 130:2)

เรามีความหวังในพระเยซูคริสต์

ภาพ
women at the tomb

มารีย์สามคนที่อุโมงค์, โดย William-Adolphe Bouguereau, Superstock.com

นับตั้งแต่ภาพอุโมงค์ว่างเปล่า การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ทำให้เกิดความหวังเพราะเราเห็นภาพอนาคตของเราเองในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ซึ่ง “การสูญเสียทั้งหมด [ของเรา] จะได้รับชดเชย [ให้เรา] … หาก [เรา] ซื่อสัตย์ต่อไป”14

อัครสาวกรุ่นแรกของพระผู้ช่วยให้รอดสามารถเป็นพยานได้อย่างองอาจถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เพราะพวกท่านเห็นและได้สัมผัสพระวรกายของพระองค์ แต่มีมากยิ่งกว่านั้น เฉกเช่นพระเยซูคริสต์ทรงรักษาความทุพพลภาพทางกายเพื่อแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีเดชานุภาพในการให้อภัยบาป (ดู ลูกา 5:23–25) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์—หลักฐานที่เป็นรูปธรรมยืนยันเดชานุภาพของพระองค์ในการเอาชนะความตายทางร่างกาย—กลายเป็นความเชื่อมั่นของผู้ติดตามพระองค์ว่าเดชานุภาพของพระองค์เอาชนะความตายทางวิญญาณ คำสัญญาที่พระองค์ประทานไว้ในคำสอนของพระองค์—การให้อภัยบาป สันติสุขในชีวิตนี้ ชีวิตนิรันดร์ในอาณาจักรของพระบิดา—กลายเป็นจริงและศรัทธาของพวกเขาไม่สั่นคลอน

“ถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา [ศรัทธาของเรา] ก็ไร้ประโยชน์” (1 โครินธ์ 15:17) แต่เพราะพระองค์ ทรง ลุกขึ้นจากบรรดาคนตาย เราจึงสามารถ “มีความหวังโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์และเดชานุภาพแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์, เพื่อยกท่านขึ้นสู่นิรันดรแห่งชีวิต, และนี่เพราะศรัทธาของท่านในพระองค์ตามสัญญา” (โมโรไน 7:41)

ระหว่างพระชนม์ชีพมรรตัย พระเยซูคริสต์ทรงเชื้อเชิญผู้คนให้ติดตามพระองค์ หลังจากการสิ้นพระชนม์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ จุดหมายชัดเจนขึ้น หากเรา โดยการเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีของพระกิตติคุณ ปลูกฝัง “วิญญาณซีเลสเชียล” ไว้ในตัวเรา เราย่อมสามารถ “ได้รับร่างกายเดียวกันซึ่งเคยเป็นร่างกายฝ่ายธรรมชาติ” และ “ได้รับการชุบชีวิตโดยส่วนหนึ่งของรัศมีภาพซีเลสเชียล [และ] เมื่อนั้นจะได้รับอย่างเดียวกัน, แม้ความสมบูรณ์” (คพ. 88:28–29) พระองค์ทรงแสดงให้เห็นทางนั้น พระองค์ทรงเป็นทางนั้น โดยเดชานุภาพของพระองค์—ผ่านการชดใช้และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์—ความสมบูรณ์ซีเลสเชียลเป็นไปได้ ซึ่งรวมถึงความบริบูรณ์แห่งปีติในร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิต

อ้างอิง

  1. เมื่อพระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อผู้คนในโลกใหม่ พระองค์ทรงขอให้พวกเขา—หลายพันคน—มา “ทีละคน” และสัมผัสพระหัตถ์ พระบาท และพระปรัศว์ของพระองค์เพื่อพวกเขาจะเป็นพยานได้ว่าได้สัมผัสและเห็นพระเจ้าที่ฟื้นคืนพระชนม์ (ดู 3 นีไฟ 11:14–15; 18:25)

  2. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007), 52.

  3. ดู ปฐมกาล 1:27; อพยพ 33:11; กิจการของอัครทูต 7:56.

  4. แม้แนวคิดคล้ายกันบรรจุไว้ในข้อบัญญัติทางศาสนาคริสต์ก่อนหน้านี้ แต่การบัญญัติเรื่องนี้มาจากบทความสามสิบเก้าตอนของนิกายแองกลิคัน (1563).

  5. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 53.

  6. เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์, “พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2007, 51.

  7. ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สัน, “การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2014, 113.

  8. แม้แต่การเปิดเผยเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ก่อนมรรตัยก็ยังเป็นประจักษ์พยานยืนยันข้อเท็จจริงนี้ เพราะแสดงให้เห็นว่าร่างวิญญาณของพระองค์อยู่ในรูปมนุษย์ (ดู อีเธอร์ 3:16)

  9. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 226.

  10. เดวิด เอ. เบดนาร์, “เราเชื่อในการเป็นคนบริสุทธิ์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 41.

  11. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 226.

  12. คำสอน: โจเซฟ สมิธ 229.

  13. ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สัน, “เหตุผลที่แต่งงาน เหตุผลที่มีครอบครัว,” เลียโฮนา, พ.ค. 2015, 51.

  14. คำสอน: โจเซฟ สมิธ 54.

พิมพ์