สงครามดำเนินต่อไป
สงครามที่เริ่มต้นในสวรรค์ดำเนินต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริง การสู้รบดุเดือดขึ้นขณะที่วิสุทธิชนเตรียมรับการเสด็จกลับของพระผู้ช่วยให้รอด
ใครที่ติดตามข่าวต่างประเทศจะเห็นพ้องว่าเราอยู่ในเวลาของ “สงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม” (คพ. 45:26) โชคดีที่ทุกคนบนแผ่นดินโลกเป็นทหารผ่านศึก เราสู้รบกับไพร่พลของความชั่วร้ายในสงครามต่อเนื่องที่เริ่มต้นในโลกก่อนมรรตัยก่อนเราเกิด
เพราะเรายังไม่ได้รับร่างกาย เราจึงทำสงครามในสวรรค์โดยไม่มีดาบ ปืน หรือระเบิด แต่การต่อสู้รุนแรงเท่ากับสงครามปัจจุบัน และมีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายพันล้าน
สงครามก่อนมรรตัยต่อสู้ด้วยคำพูด แนวคิด การถกเถียง และการพูดโน้มน้าว (ดู วิวรณ์ 12:7–9, 11) กลยุทธ์ของซาตานคือทำให้ผู้คนหวาดกลัว เขารู้ว่าความกลัวเป็นวิธีทำลายศรัทธาได้ดีที่สุด เขาอาจจะเคยใช้ข้อโต้แย้งอย่างเช่น “มันยากเกินไป” “ทำให้สะอาดเหมือนเดิมไม่ได้หรอก” “มีความเสี่ยงมากเกินไป” “คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณวางใจพระเยซูคริสต์ได้” เขาอิจฉาพระผู้ช่วยให้รอดมาก
ขอบพระทัยที่แผนของพระผู้เป็นเจ้ามีชัยเหนือคำเท็จของซาตาน แผนของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวข้องกับสิทธิ์เสรีทางศีลธรรมสำหรับมนุษยชาติและการพลีพระชนม์ชีพครั้งสำคัญ พระเยโฮวาห์ผู้ที่เรารู้ว่าคือพระเยซูคริสต์ทรงอาสาเป็นเครื่องบูชา—ทนทุกข์เพื่อบาปทั้งหมดของเรา พระองค์เต็มพระทัยพลีพระชนม์ชีพเพื่อพี่น้องชายหญิงของพระองค์ทั้งนี้เพื่อคนที่กลับใจจะได้กลับมาสะอาดอีกครั้งและเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ของพวกเขาในที่สุด (ดู โมเสส 4:1–4; อับราฮัม 3:27)
ข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้พระเยโฮวาห์ชนะใจบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าคือประจักษ์พยานอันทรงพลังจากผู้สนับสนุนพระองค์ นำโดยมิคาเอล เทพาดิเทพ (ดู วิวรณ์ 12:7, 11; คพ. 107:54) ในชีวิตก่อนมรรตัย อาดัมมีชื่อว่ามิคาเอล และซาตานมีชื่อว่าลูซิเฟอร์ ซึ่งหมายถึง “ผู้ส่องสว่าง”1 นั่นอาจดูเหมือนเป็นชื่อแปลกสำหรับเจ้าชายแห่งความมืด (ดู โมเสส 7:26) แต่พระคัมภีร์สอนว่าซาตานเป็น “เทพองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าผู้เคยมีสิทธิอำนาจในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า” ก่อนเขาตก (ดู คพ. 76:25–28)
วิญญาณที่มีความรู้และประสบการณ์มากขนาดนั้นจะตกได้อย่างไร ตกเพราะความจองหองของเขา ลูซิเฟอร์กบฏต่อพระบิดาในสวรรค์เพราะเขาต้องการอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าให้ตนเอง
ในถ้อยคำอมตะของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน (1899–1994) เรื่อง “จงระวังความจองหอง” สอนว่าลูซิเฟอร์ “ประสงค์จะรับเกียรติเหนือคนอื่นทั้งหมด” และ “ความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความจองหองของเขาคือโค่นบัลลังก์ของพระผู้เป็นเจ้า”2 ท่านได้ยินบ่อยมากว่าซาตานต้องการทำลายสิทธิ์เสรีของมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่เขาไม่เป็นที่โปรดปราน เขาถูกขับออกจากสวรรค์เพราะกบฏต่อพระบิดาและพระบุตร (ดู คพ. 76:25; โมเสส 4:3)
เหตุใดท่านและข้าพเจ้าจึงต่อสู้กับมาร เราต่อสู้เพราะความจงรักภักดี เรารักและสนับสนุนพระบิดาในสวรรค์ของเรา เราต้องการเป็นเหมือนพระองค์ ลูซิเฟอร์มีเป้าหมายต่างจากเรา เขาต้องการแทนที่พระบิดา (ดู อิสยาห์ 14:12–14; 2 นีไฟ 24:12–14) ลองนึกดูว่าการทรยศของซาตานทำร้ายพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์ของเราอย่างไร ในพระคัมภีร์ เราอ่านว่า “สวรรค์ร้องไห้เพราะเขา” (คพ. 76:26)
หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือด มิคาเอลกับกองทัพของท่านชนะ สองในสามของไพร่พลสวรรค์เลือกติดตามพระบิดา (ดู คพ. 29:36) ซาตานกับผู้ติดตามเขาถูกขับออกจากสวรรค์แต่พวกเขาไม่ถูกส่งไปสู่ความมืดภายนอกทันที พวกเขาถูกส่งมาโลกนี้ก่อน (ดู วิวรณ์ 12:7–9) ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์ประสูติและทรงดำเนินการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้
เหตุใดจึงยอมให้ไพร่พลของซาตานมาแผ่นดินโลก พวกเขามาเพื่อจัดเตรียมการตรงกันข้ามให้คนเหล่านั้นผู้รับการทดสอบที่นี่ (ดู 2 นีไฟ 2:11) สุดท้ายพวกเขาจะถูกขับไปสู่ความมืดภายนอกหรือไม่ ใช่ หลังจากมิลเลเนียม ซาตานกับไพร่พลของเขาจะถูกขับออกไปตลอดกาล
ซาตานรู้ว่าวันของเขาถูกจำกัดไว้ ที่การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซาตานกับเหล่าเทพของเขาจะถูกมัดเป็นเวลา 1,000 ปี (ดู วิวรณ์ 20:1–3; 1 นีไฟ 22:26; คพ. 101:28) เมื่อใกล้ถึงกำหนด กองกำลังของความชั่วร้ายต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อกุมจิตวิญญาณให้มากที่สุด
ยอห์นผู้เปิดเผยเห็นสงครามในสวรรค์ในนิมิตครั้งใหญ่ เขาเห็นว่าซาตานถูกขับลงมาแผ่นดินโลกเพื่อล่อลวงมนุษย์ นี่คือปฏิกิริยาของยอห์น “วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารได้ลงมาหาเจ้าทั้งหลายด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย” (วิวรณ์ 12:12)
ฉะนั้นซาตานใช้วันเวลาของเขาอย่างไรโดยรู้ว่าเขามีเวลาจำกัด อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “มาร ดุจสิงโตคำรามเดินวนเวียนเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1 เปโตร 5:8)
อะไรผลักดันซาตาน เขาจะไม่มีร่างกาย เขาจะไม่มีภรรยาหรือครอบครัว และเขาจะไม่มีความบริบูรณ์แห่งปีติ เขาจึงต้องการทำให้ชายหญิงทุกคน “เศร้าหมองเหมือนตัวเขา” (2 นีไฟ 2:27)
มารเล็งมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีแนวโน้มมากที่สุดว่าจะมีความสุขนิรันดร์ เขาอิจฉาคนที่อยู่บนเส้นทางสู่ความสูงส่งอย่างออกนอกหน้า พระคัมภีร์สอนว่าซาตาน “ทำสงครามกับวิสุทธิชนของพระผู้เป็นเจ้า, และล้อมพวกเขาไว้รอบด้าน” (คพ. 76:29)
สงครามที่เริ่มต้นในสวรรค์ดำเนินต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริง การสู้รบดุเดือดขึ้นขณะที่วิสุทธิชนเตรียมรับการเสด็จกลับของพระผู้ช่วยให้รอด
ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) พยากรณ์ “ว่าศาสนจักรจะแพร่หลาย รุ่งเรือง เติบโต และแผ่ขยาย และอำนาจของซาตานจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการเผยแพร่พระกิตติคุณในบรรดาประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลก”3
ข้าพเจ้าคิดว่าเราทุกคนคงเห็นพ้องว่าคำพยากรณ์นี้กำลังเกิดสัมฤทธิผลเมื่อเราเห็นความชั่วแทรกซึมเข้าไปในสังคมของโลก ประธานยังก์สอนว่าเราต้องศึกษากลยุทธ์ของศัตรูเพื่อปราบเขา ข้าพเจ้าขอแบ่งปันยุทธวิธีสี่อย่างที่ซาตานใช้ได้ผลและแนวคิดบางประการเกี่ยวกับวิธีต้านยุทธวิธีเหล่านั้น
ยุทธวิธีของซาตาน
1. การล่อลวง มารบ้าบิ่นเมื่อต้องนำแนวคิดที่ชั่วร้ายใส่ไว้ในความนึกคิดของเรา พระคัมภีร์มอรมอนสอนว่าซาตานกระซิบความคิดที่ไม่ดี ไม่สะอาด และหว่านความสงสัยในความคิด เขาเซ้าซี้ให้เราทำตามแรงกระตุ้นให้เสพและแฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวและความละโมบ เขาไม่ต้องการให้เรารับรู้ว่าความคิดเหล่านี้มาจากไหน เขาจึงกระซิบว่า “ข้าพเจ้ามิใช่มาร, เพราะไม่มีมารเลย” (2 นีไฟ 28:22)
เราจะต่อต้านการล่อลวงโดยตรงนี้ได้อย่างไร เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากสุดอย่างหนึ่งคือไล่ซาตานออกไปทันที นั่นคือสิ่งที่พระเยซูจะทรงทำ
เรื่องราวในพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดบนภูเขาแห่งการล่อลวงเป็นเรื่องที่สั่งสอนเรา หลังจากการล่อลวงแต่ละครั้งที่มารนำเสนอ พระเยซูทรงใช้เทคนิคป้องกันตัวสองขั้น ขั้นแรก พระองค์ทรงสั่งให้ซาตานออกไป จากนั้นพระองค์ทรงอ้างพระคัมภีร์
ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” พระเยซูทรงบัญชา “เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (มัทธิว 4:10) ข้อต่อไปบันทึกว่า “แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์” (มัทธิว 4:11) วิธีป้องกันของพระผู้ช่วยให้รอดได้ผลมาก!
ชีวประวัติของประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ (1856–1945) ให้ความเข้าใจอันลึกซึ้งว่าประธานแกรนท์สมัยหนุ่มต่อต้านมารอย่างไร เมื่อประธานแกรนท์รับรู้ว่าซาตานกำลังกระซิบบอกท่าน โดยพยายามหว่านความสงสัยในใจท่าน ท่านพูดออกเสียงทันทีว่า “คุณมาร หุบปาก”4
ท่านมีสิทธิ์บอกซาตานให้ออกไปเมื่อท่านเผชิญกับการล่อลวง พระคัมภีร์สอนว่า “จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป” (ยากอบ 4:7)
วิธีป้องกันอีกส่วนหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอดคืออ้างพระคัมภีร์ มีพลังยิ่งใหญ่ในการท่องจำพระคัมภีร์เฉกเช่นพระเยซูทรงทำ ข้อพระคัมภีร์สามารถเป็นคลังสรรพาวุธของวิธีตอบโต้ทางวิญญาณ
เมื่อท่านถูกล่อลวง ท่านสามารถท่องพระบัญญัติเช่น “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์” “จงรักศัตรูของท่าน” หรือ “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย” (อพยพ 20:8; ลูกา 6:27; คพ. 121:45) พลังพระคัมภีร์ไม่เพียงทำให้ซาตานกลัว แต่นำพระวิญญาณเข้ามาในใจท่าน ขจัดความหวาดระแวง และทำให้ท่านมีพลังต้านการล่อลวงด้วย
2. ความเท็จและการหลอกลวง พระคัมภีร์เปิดเผยว่าซาตานเป็น “บิดาแห่งความเท็จ” (2 นีไฟ 9:9) อย่าเชื่อเขาเมื่อเขากระซิบข่าวสารเช่น “คุณไม่มีวันทำสิ่งถูกต้อง” “คุณทำบาปเกินกว่าจะให้อภัย” “คุณจะไม่มีวันเปลี่ยน” “ไม่มีใครสนใจคุณหรอก” และ “คุณไม่มีพรสวรรค์”
ความเท็จอีกประการหนึ่งที่เขาใช้บ่อยคือ “คุณต้องลองทุกอย่างสักครั้ง—แค่รับประสบการณ์ ครั้งเดียวไม่เสียหายหรอก” ความลับอันไม่น่าพึงใจที่เขาไม่ต้องการให้ท่านรู้คือบาปทำให้ติด
ความเท็จที่ได้ผลอีกอย่างหนึ่งที่ซาตานจะลองใจท่านคือ “ใครๆ เขาก็ทำ ไม่เป็นไรหรอก” เป็นสิ! ฉะนั้นจงบอกมารว่าท่านไม่ต้องการไปอาณาจักรทีเลสเชียล—แม้ทุกคนจะไปที่นั่นก็ตาม
ถึงแม้ซาตานจะโกหกท่าน แต่ท่านพึ่งพระวิญญาณให้บอกความจริงท่านได้ นั่นคือสาเหตุที่ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จำเป็นอย่างยิ่ง
มารได้ชื่อว่าเป็น “นักหลอกลวงตัวยง”5 เขาพยายามปลอมหลักธรรมแท้จริงทุกข้อที่พระเจ้าทรงเสนอ
จำไว้ว่าสิ่งปลอมแปลงของเขาไม่เหมือนสิ่งตรงข้าม สิ่งตรงข้ามกับขาวคือดำ แต่สิ่งปลอมแปลงสำหรับขาวอาจจะเป็นขาวนวลหรือเทา สิ่งปลอมแปลงแสดงตัวคล้ายของจริงเพื่อหลอกคนพาซื่อ สิ่งปลอมแปลงเป็นรูปแบบที่บิดเบือนจากสิ่งดี แค่เหมือนเงินปลอม คือไร้ค่า ข้าพเจ้าขออธิบาย
สิ่งปลอมแปลงศรัทธาอย่างหนึ่งของซาตานคือความเชื่อถือโชคลาง สิ่งปลอมแปลงความรักของเขาคือตัณหา เขาปลอมแปลงฐานะปุโรหิตโดยนำการฉ้อฉลในอำนาจปุโรหิตมาใช้ และเขาเลียนแบบปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยใช้วิทยาคม
การแต่งงานระหว่างชายหญิงได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า แต่การแต่งงานกับเพศเดียวกันเป็นเพียงสิ่งปลอมแปลง ไม่ทำให้เกิดลูกหลานทั้งไม่ได้ความสูงส่ง ถึงแม้การเลียนแบบของเขาหลอกคนได้มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่สามารถทำให้เกิดความสุขอันยั่งยืน
พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนเราเรื่องสิ่งปลอมแปลงในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา พระองค์ตรัสว่า “สิ่งซึ่งไม่จรรโลงใจมิได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า, และเป็นความมืด” (คพ. 50:23)
3. ความขัดแย้ง ซาตานเป็นบิดาของความขัดแย้ง พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “เขายั่วยุใจมนุษย์ให้ขัดแย้งด้วยความโกรธ, ต่อกัน” (3 นีไฟ 11:29)
มารเรียนรู้จากประสบการณ์หลายศตวรรษว่าที่ใดมีความขัดแย้ง พระวิญญาณพระเจ้าจะจากไป ตั้งแต่ซาตานชักจูงคาอินให้ฆ่าอาเบล เขาโน้มน้าวให้พี่น้องทะเลาะกัน เขายั่วยุให้เกิดปัญหาในชีวิตแต่งงาน ในหมู่สมาชิกวอร์ด และระหว่างคู่ผู้สอนศาสนาด้วย เขาดีใจที่เห็นคนดีโต้เถียงกัน เขาพยายามทำให้ครอบครัวโต้เถียงกันก่อนไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ก่อนการสังสรรค์ในครอบครัวคืนวันจันทร์ และเมื่อใดก็ตามที่คู่สามีภรรยาวางแผนเข้าพระวิหาร การเลือกเวลาของเขาพอจะทำนายได้
เมื่อมีความขัดแย้งในบ้านหรือที่ทำงาน จงหยุดทันทีไม่ว่าท่านทำอะไรอยู่และพยายามสร้างสันติ ไม่สำคัญว่าใครเริ่มก่อน
ความขัดแย้งมักเริ่มจากการจับผิด โจเซฟ สมิธสอนว่า “มารป้อยอเราว่าเราเป็นคนชอบธรรมมากเมื่อเรากำลังจ้องจับผิดผู้อื่น”6 เมื่อท่านตรองเรื่องนี้ การคิดว่าตนเองชอบธรรมกว่าคนอื่นเป็นแค่สิ่งปลอมแปลงสำหรับความชอบธรรมจริงๆ
ซาตานชอบแพร่ความขัดแย้งในศาสนจักร เขาเชี่ยวชาญการชี้ความผิดของผู้นำศาสนจักร โจเซฟ สมิธเตือนวิสุทธิชนว่าขั้นแรกของการละทิ้งความเชื่อคือขาดความเชื่อมั่นในผู้นำของศาสนจักร7
วรรณกรรมต่อต้านมอรมอนแทบทั้งหมดมีพื้นฐานบนความเท็จเกี่ยวกับอุปนิสัยของโจเซฟ สมิธ ศัตรูทำงานหนักเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของโจเซฟเพราะข่าวสารแห่งการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับเรื่องราวของท่านศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันมารทำงานหนักมากกว่าแต่ก่อนเพื่อทำให้สมาชิกสงสัยประจักษ์พยานของตนเกี่ยวกับการฟื้นฟู
ในยุคแรกของสมัยการประทานของเรา น่าเสียดายที่พี่น้องชายที่ดำรงฐานะปุโรหิตหลายคนไม่ภักดีต่อท่านศาสดาพยากรณ์ หนึ่งในนั้นคือไลมัน อี. จอห์นสันผู้ถูกขับออกจากศาสนจักรเพราะความประพฤติมิชอบ ต่อมาเขาคร่ำครวญเรื่องการออกจากศาสนจักรว่า “ผมจะยอมให้ตัดมือขวา ถ้าผมได้เชื่ออีกครั้ง ช่วงนั้นผมเปี่ยมด้วยปีติและความยินดี ความฝันของผมน่าพอใจ เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจิตใจผมแช่มชื่น ผมมีความสุขทั้งวันคืน เปี่ยมด้วยสันติสุข ปีติ และความขอบคุณ แต่ตอนนี้เป็นความมืด ความเจ็บปวด โทมนัส ความเศร้าหมองสุดขีด ผมไม่เคยมีความสุขเลยนับแต่นั้น”8
ลองนึกถึงคำพูดเหล่านั้น นั่นเป็นคำเตือนถึงสมาชิกทุกคนของศาสนจักร
ข้าพเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักร ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเมื่อเป็นหนุ่มโสดอายุ 23 ปีกำลังเรียนโรงเรียนแพทย์ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองว่าซาตานทำงานกับผู้สนใจเพื่อทำให้พวกเขาสับสนและท้อแท้เมื่อพวกเขากำลังแสวงหาความจริง
ตลอดช่วงวัยเยาว์ ข้าพเจ้าเฝ้าดูแบบอย่างของเพื่อนวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าประทับใจกับวิธีดำเนินชีวิตของพวกเขา ข้าพเจ้าตัดสินใจจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนจักร แต่ไม่ต้องการบอกใครว่ากำลังศึกษาความเชื่อของชาวมอรมอน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากเพื่อนๆ ข้าพเจ้าตัดสินใจค้นหาด้วยตนเอง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนอินเทอร์เน็ตหลายปี ข้าพเจ้าจึงไปห้องสมุดสาธารณะ ข้าพเจ้าพบหนังสือพระคัมภีร์มอรมอนและหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์ โดยเอ็ลเดอร์เลอร์แกรนด์ ริชาร์ดส์ (1886–1983) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือเหล่านี้ด้วยความปรารถนาแรงกล้า และพบแรงบันดาลใจ
แม้จิตใจข้าพเจ้าปรารถนาจะเรียนรู้มากขึ้น แต่ซาตานเริ่มกระซิบใส่หูข้าพเจ้า เขาบอกว่าเพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียง ข้าพเจ้าต้องอ่านสิ่งที่นักวิจารณ์ศาสนจักรเขียนด้วย ข้าพเจ้ากลับไปห้องสมุดสาธารณะและเริ่มค้นหา ข้าพเจ้าพบเล่มหนึ่งที่ทำลายความน่าเชื่อถือของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ
การอ่านหนังสือต่อต้านมอรมอนทำให้ข้าพเจ้าสับสน ข้าพเจ้าสูญเสียวิญญาณและอิทธิพลอันหอมหวานนั้นที่ชี้นำการค้นหาความจริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มท้อแท้และกำลังจะเลิกแสวงหาความจริง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอคำตอบขณะอ่านวรรณกรรมต่อต้านมอรมอน!
ยังความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนมัธยมปลายที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เธอชวนข้าพเจ้ามาเยี่ยมเธอในยูทาห์โดยสัญญาว่าข้าพเจ้าจะชอบทิวทัศน์ที่นั่น เธอไม่ทราบว่าข้าพเจ้าแอบศึกษาศาสนจักรของเธอ
ข้าพเจ้ายอมรับคำชวน เพื่อนเสนอให้เราไปซอลท์เลคซิตี้เพื่อเยี่ยมชมเทมเปิลสแควร์ เธอประหลาดใจกับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นของข้าพเจ้า เธอไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสนใจจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธและการฟื้นฟู
ซิสเตอร์ผู้สอนศาสนาที่เทมเปิลสแควร์ช่วยได้มาก พวกเธอตอบคำถามหลายข้อของข้าพเจ้าโดยไม่รู้ตัว ประจักษ์พยานของพวกเขาส่งผลให้ข้าพเจ้า “สงสัยความสงสัย [ของตน]”9 และศรัทธาของข้าพเจ้าเริ่มเติบโต เราจะดูแคลนพลังของประจักษ์พยานที่มาจากใจไม่ได้
เพื่อนข้าพเจ้าแบ่งปันประจักษ์พยานของเธอกับข้าพเจ้าและเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าศาสนจักรจริงหรือไม่ ระหว่างขับรถทางไกลกลับมาแอริโซนา ข้าพเจ้าเริ่มสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธา—“ด้วยใจจริง, ด้วยเจตนาแท้จริง” (โมโรไน 10:4) เป็นครั้งแรก ณ จุดหนึ่งระหว่างการเดินทางครั้งนั้น ดูเหมือนรถทั้งคันสว่างไสว ข้าพเจ้าเรียนรู้ด้วยตนเองว่าความสว่างสามารถขับความมืดออกไปได้
หลังจากตัดสินใจรับบัพติศมา มารลงมือครั้งสุดท้าย เขาทำงานกับครอบครัวข้าพเจ้าผู้ทำทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อให้ข้าพเจ้าท้อใจและพวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมพิธีบัพติศมาของข้าพเจ้า
แต่ข้าพเจ้าก็รับบัพติศมา และใจพวกเขาอ่อนลงทีละนิด พวกเขาเริ่มช่วยข้าพเจ้าค้นคว้าประวัติครอบครัว ไม่กี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าให้บัพติศมาน้องชาย เพื่อนที่ชวนข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอในยูทาห์เวลานี้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า
4. ความท้อใจ ซาตานใช้วิธีนี้ได้ผลกับวิสุทธิชนที่ซื่อสัตย์ส่วนใหญ่เมื่อวิธีอื่นล้มเหลว สำหรับข้าพเจ้าแล้วเมื่อข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกท้อใจ นั่นช่วยให้ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าใครกำลังพยายามทำให้ข้าพเจ้าล้ม นี่ทำให้ข้าพเจ้าบ้าพอจะฮึกเหิม—แค่เย้ยมาร
หลายปีก่อน ประธานเบ็นสันกล่าวปราศรัยเรื่อง “อย่าสิ้นหวัง” ในคำพูดที่เต็มไปด้วยข้อคิดนั้น ท่านเตือนว่า “ซาตานพยายามมากขึ้นทุกวันเพื่อเอาชนะวิสุทธิชนด้วยความสิ้นหวัง ความท้อใจ ความหมดหวัง และความหดหู่”10 ประธานเบ็นสันกระตุ้นสมาชิกศาสนจักรให้ระวัง ท่านให้คำแนะนำที่ปฏิบัติได้จริง 12 ข้อไว้สู้กับความท้อใจ
คำแนะนำของท่านได้แก่ รับใช้ผู้อื่น ทำงานขยันขันแข็งและหลีกเลี่ยงความเกียจคร้าน ฝึกนิสัยให้มีสุขภาพดี ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายและกินอาหารในสภาพธรรมชาติ ขอพรฐานะปุโรหิต ฟังเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจ นับพรของท่าน และตั้งเป้าหมาย และเหนือสิ่งอื่นใด ดังที่พระคัมภีร์สอน เราพึงสวดอ้อนวอนเสมอเพื่อเราจะชนะซาตาน (ดู คพ. 10:5).11
ซาตานตัวสั่นเมื่อเขาเห็น
วิสุทธิชนที่อ่อนแอที่สุดคุกเข่า12
สำคัญที่ต้องรู้ว่าอำนาจของมารมีขีดจำกัด พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ทรงกำหนดขีดจำกัดเหล่านั้น และซาตานไม่ได้รับอนุญาตให้ล้ำเส้น ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์รับรองกับเราว่า “มิได้ให้อำนาจซาตานล่อลวงเด็กเล็ก” (คพ. 29:47)
ขีดจำกัดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือซาตานไม่รู้ความคิดของเราเว้นแต่เราจะบอกเขา พระเจ้าทรงอธิบายว่า “ไม่มีใครอีกเลยนอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงรู้ความนึกคิดเจ้าและเจตนาของใจเจ้า” (คพ. 6:16)
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุให้พระเจ้าประทานพระบัญญัติเช่น “อย่าพร่ำบ่น” (คพ. 9:6) และ “เจ้าจะไม่พูดให้ร้ายเพื่อนบ้านเจ้า” (คพ. 42:27) หากท่านสามารถฝึกควบคุมลิ้นได้ (ดู ยากอบ 1:26) ท่านจะไม่จบลงด้วยการให้ข้อมูลแก่มารมากเกินไป เมื่อเขาได้ยินคำพร่ำบ่นและคำวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะจดอย่างละเอียด คำพูดลบๆ ของท่านเผยให้ศัตรูเห็นความอ่อนแอของท่าน
ข้าพเจ้ามีข่าวดีสำหรับท่าน กองทัพของพระผู้เป็นเจ้าใหญ่กว่ากองทัพของลูซิเฟอร์ ท่านอาจมองไปรอบๆ และนึกในใจว่า “โลกชั่วร้ายขึ้นทุกวัน ซาตานต้องชนะสงครามแน่” อย่าถูกหลอก ความจริงคือเรามีจำนวนมากกว่าศัตรู จำไว้ว่าบุตรธิดาสองในสามของพระผู้เป็นเจ้าเลือกแผนของพระบิดา
พี่น้องทั้งหลาย พึงแน่ใจว่าท่านกำลังสู้อยู่ในฝ่ายพระเจ้า พึงแน่ใจว่าท่านกำลังถือดาบแห่งพระวิญญาณ
ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้บั้นปลายชีวิตท่าน ท่านสามารถพูดพร้อมกับอัครสาวกเปาโลได้ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (2 ทิโมธี 4:7)