ปาฏิหาริย์ของ การเป็นคนในพันธสัญญา
จากคำปราศรัยการประชุมใหญ่สตรีมหาวิทยาลัยบริคัมยังก์เรื่อง “เสริมสร้างกันในพระเจ้า” วันที่ 4 พฤษภาคม ค.ศ. 2018
ความกลมกลืนของพันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทำให้ได้ยินท่วงทำนองไพเราะเสนาะหูขณะการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดช่วยให้เราทำตามพันธสัญญาของเราในวิธีใหม่ที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
ในโรงเรียนแห่งชีวิตมรรตัย พระเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เราเรียนรู้และเติบโตชั่วชีวิตและชั่วนิรันดร์โดยรักพระองค์ก่อนแล้วเสริมสร้างกันในความรักของพระองค์
การเสริมสร้างกันในพระเจ้าและในความรักของพระองค์แสดงให้เห็นในพระบัญญัติสำคัญข้อแรกกับข้อที่สอง ดังที่จดหมายจากฝ่ายประธานสูงสุดสอนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “การปฏิบัติศาสนกิจของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นแบบอย่างของพระบัญญัติข้อสำคัญสองข้อคือ ‘จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน’ และ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ (มัทธิว 22:37, 39)” จดหมายจากฝ่ายประธานสูงสุดสอนต่อไปว่า “ด้วยเจตนานี้ พระเยซูจึงทรงสอนว่า ‘เจ้าคือผู้ที่เราเลือกไว้ปฏิบัติต่อคนเหล่านี้’ (3 นีไฟ 13:25)”1
บทเพลงแห่งความรักที่ไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอดผู้ฟื้นคืนพระชนม์ประกาศความกลมกลืนของพันธสัญญา ซึ่งเชื่อมโยงเรากับพระผู้เป็นเจ้าและเชื่อมโยงกัน และการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ซึ่งช่วยให้เราทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชนและยอมให้ “การชักจูงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” ชำระเราให้บริสุทธิ์ (โมไซยาห์ 3:19)
ความกลมกลืนแสดงให้เห็นในแผนแห่งความสุขซึ่งเราเรียนรู้และเติบโตตามการใช้สิทธิ์เสรีทางศีลธรรมของเราแต่ละคนและเราไม่ถูกปล่อยให้เดินทางโดยไร้จุดหมายแต่ได้รับเส้นทางพันธสัญญาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ อัลฟาและโอเมกา (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 61:1) พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงอยู่กับเราตั้งแต่ต้น และพระองค์ทรงอยู่กับเราจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เมื่อ “พระ [ผู้เป็น] เจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตา [ของเราทั้งหลาย]” (วิวรณ์ 7:17) ยกเว้นน้ำตาแห่งปีติของเรา
พันธสัญญาของเราเชื่อมโยงเรากับพระผู้เป็นเจ้าและเชื่อมโยงกัน พันธสัญญาของเราจะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์รวมอยู่ด้วย พันธสัญญานิรันดร์จะทำให้เกิดพลังแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้า—ให้ความหวังและเพิ่มความรัก ยกระดับและเปลี่ยนแปลง จรรโลงใจและชำระให้บริสุทธิ์ ไถ่และยกให้สูงส่ง
ในการเปิดเผยเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงและสูงส่งของเราผ่านพันธสัญญาของเรากับพระผู้เป็นเจ้า เราเรียนรู้ว่าต้องยอมรับและรักพี่น้องชายหญิงของเราดังที่พระองค์ทรงรัก ความรักและความรู้อันลึกซึ้งนี้เชื้อเชิญ ให้พลัง และชำระเราให้บริสุทธิ์เพื่อรู้จักและเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นในวิธีของเราเอง
พันธสัญญาและการชดใช้ของพระเจ้า
ความกลมกลืนของพันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ทำให้ได้ยินท่วงทำนองไพเราะเสนาะหูขณะการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดช่วยให้เราทำตามพันธสัญญาของเราในวิธีใหม่ที่ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น พันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดจะช่วยกันหล่อหลอมสิ่งที่เราปรารถนา รับรู้ และประสบในความเป็นมรรตัยแต่ละวันและเตรียมเราให้พร้อมรับความเป็นสังคมของสวรรค์ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:2)
โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราพบศรัทธา ความเข้มแข็ง และความไว้วางใจเพื่อจะมาหาพระคริสต์ โดยรู้ว่าความดีพร้อมอยู่ในพระองค์ ความรู้ดังกล่าวให้ทางหนีจากลู่วิ่งของความสมบูรณ์แบบที่ทำให้เกิดความกังวลตลอดเวลา อาจมีความจริงบางประการในเพลง “Let it Go (ช่างปะไร)”2 ถ้า “ช่างปะไร” หมายถึง “ปล่อย” วางความคาดหวังทางโลกที่เรายัดเยียดให้ตนเองซึ่งไม่มีวันสมหวังและถ้าหมายถึง “ยึดมั่น” ความหวังที่พระผู้เป็นเจ้าประทานและสัญญาที่พระเจ้าทรงมอบให้
ท่านเคยสังเกตไหมว่าศาสนพิธีแต่ละอย่างเรียกชื่อเราและเชื่อมโยงชื่อเรากับพระนามของพระเยซูคริสต์
ศาสนพิธีเป็นสากลและเป็นปัจเจกในคราวเดียวกัน หลายปีก่อน เมื่อสมาชิกสภาสูงรับผิดชอบบัพติศมาของสเตค ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าถ้ามองภายนอกศาสนพิธีบัพติศมาเหมือนกันสำหรับแต่ละคนทว่าแตกต่างกันในแต่ละคนที่รับบัพติศมาเพราะเรียกชื่อพวกเขาทีละคน และชื่อพวกเขาเชื่อมโยงโดยพันธสัญญากับ “พระนามของพระบิดา, และของพระบุตร, และของพระวิญญาณบริสุทธิ์” (3 นีไฟ 11:25)
พระคุณอันน่าพิศวงเป็นสากลและหาใดเทียบได้เฉกเช่นพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ในฐานะพระเมษโปดกที่ไร้ตำหนิ พระองค์ทรงวางรูปแบบโดยทรงรับบัพติศมาเพื่อทำให้ความชอบธรรมทั้งหมดสมบูรณ์ (ดู 2 นีไฟ 31:6) พระคัมภีร์เรียกสิ่งนี้ว่า “หลักคำสอนของพระคริสต์” (2 นีไฟ 31:21; ดู 3 นีไฟ 11:38–40ด้วย) และผู้สอนศาสนาของเราสอนสิ่งนี้ หลักคำสอนของพระคริสต์รวมถึง “[การ] ทำตามตัวอย่างของพระเยซูคริสต์โดยรับบัพติศมาจากผู้ดำรงอำนาจฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้า”3
เราเข้าทางประตูแห่งการกลับใจและบัพติศมาโดยน้ำ “และเมื่อนั้นการปลดบาปของท่านจะมาถึงโดยไฟและโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์” (2 นีไฟ 31:17) ทางคับแคบและแคบ—เส้นทางพันธสัญญา—นำไปสู่ชีวิตนิรันดร์ (ดู 2 นีไฟ 31:18) นั่นเป็นส่วนหนึ่งของวิธีที่เราเสริมสร้างกันในความรักของพระองค์
พันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เชื่อมโยงกันในหลายๆ ด้านด้วย
การเป็นคนในพันธสัญญา
เราเป็นพวกเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าและเป็นพวกเดียวกันตามพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ การเป็นคนในพันธสัญญาคือปาฏิหาริย์ ไม่เกี่ยวกับการครอบครอง เฉกเช่นจิตกุศล คนในพันธสัญญา “อดทนนานและมีใจปรานี” และ “ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง” (1 โครินธ์ 13:4; ดู โมโรไน 7:45ด้วย) การเป็นคนในพันธสัญญาให้รากและปีก ปลดปล่อยผ่านคำมั่นสัญญา ขยายผ่านความรัก
เราเสริมสร้างกันในความรักของพระผู้ช่วยให้รอดเมื่อเราเป็นคนในพันธสัญญา ด้วยเหตุนี้จึงทำให้เรารักพระผู้เป็นเจ้าและรักกันมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นเพราะคนในพันธสัญญา “ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด” (1 โครินธ์ 13:5) คนในพันธสัญญา “ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรมแต่ชื่นชมยินดีในความจริง” (1 โครินธ์ 13:6) การเป็นคนในพันธสัญญาคือมาดูหน้ากัน โดยรู้จักกันแม้ดังพระองค์ทรงรู้จักเรา (ดู 1 โครินธ์ 13:12) ความซื่อสัตย์ในพันธสัญญาของเราแน่วแน่และไม่หวั่นไหว (ดู โมไซยาห์ 5:15; แอลมา 1:25)
การเป็นคนในพันธสัญญาคือหวังทุกสิ่ง ยืนหยัดหลายสิ่งและ “หวังว่าจะสามารถยืนหยัดได้ทุกสิ่ง” (ดู หลักแห่งความเชื่อ 1:13; ดู 1 โครินธ์ 13:7; โมโรไน 7:45ด้วย) การเป็นคนในพันธสัญญาคือมีศรัทธาอยู่เสมอ ไม่หมดหวังในตัวเรา ในกันและกัน หรือในพระผู้เป็นเจ้า
การเป็นคนในพันธสัญญาคือดีใจกับคนที่ดีใจ และชื่นชมยินดีกับคนที่มีเหตุให้ชื่นชมยินดี ยืนเป็นพยานถึงพระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระผู้เป็นเจ้าและปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นทุกวัน “ทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่ง” (ดู โมไซยาห์ 18:8–9)
การเป็นพวกเดียวกับพระผู้เป็นเจ้าและเป็นพวกเดียวกันในพันธสัญญาคือยิ้มในสถานการณ์ที่คาดไม่ถึงขณะที่เรามองเห็นด้วยตาและได้ยินกับหู พระองค์ทรงเปลี่ยนเราและความสัมพันธ์ของเรา—รวมถึงการแต่งงานในพันธสัญญาของเรา—เพื่อให้เราบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น
ในชั้นเรียนสัมพันธภาพการแต่งงานชั้นเรียนหนึ่ง นักศึกษาที่แต่งงานแล้วยกมือและพูดกับครูว่า “ขอโทษค่ะ คุณพูดเสมอว่าการแต่งงานนั้นยาก การแต่งงานไม่ยากค่ะ แต่ ชีวิต ยาก และการแต่งงานที่ลุ่มๆ ดอนๆ จะเป็นพรได้เมื่อเราเผชิญหน้ากับปีติและความท้าทายของชีวิตไปด้วยกัน”
ขณะที่การแต่งงานนิรันดร์เป็นอุดมคติของเรา ความไม่ซื่อสัตย์ การกระทำทารุณกรรมทุกรูปแบบ และความเข้ากันไม่ได้อาจทำให้ต้องดำเนินการป้องกันทันทีหรือแยกกันอยู่และอาจต้องหย่าร้าง เรารู้ว่าพันธสัญญามีผลผูกมัดและดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ต่อเมื่อทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นพ้องต้องกันและเมื่อได้รับการยืนยันโดยการแสดงความเมตตาจากสวรรค์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระคัมภีร์เรียกว่า “พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:3)
มีการปลอบโยน สันติสุข และความหวังในคำรับรองของพระเจ้าที่ว่าผู้มีค่าควรจะได้รับพรทั้งหมดที่สัญญาไว้4 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในคำสัญญาของพระองค์ว่าจะเสริมสร้างเราแต่ละคนในความรักของพระองค์ ในวิธีของพระองค์ และในเวลาของพระองค์ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:68)
“วิธีที่การรับใช้บังเกิดผล”
สมัยข้าพเจ้าเป็นอธิการวัยหนุ่ม ประสบการณ์ในวอร์ดของเราสอนข้าพเจ้าเกี่ยวกับการเป็นคนในพันธสัญญาตามที่แสดงให้เห็นในการเสริมสร้างกันในความรักของพระผู้ช่วยให้รอด ครอบครัวฮันส์กับเฟย์ ริทเทอร์และครอบครัวลาร์รีย์กับทีนา โอคอนเนอร์ในวอร์ดข้าพเจ้า กับครอบครัวที่ยอดเยี่ยมอีกหลายครอบครัว ปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่นเสมอและเป็นที่รักของทุกคน
วันหนึ่งประธานสเตคของเราถามว่าข้าพเจ้าจะไปดูครอบครัวริทเทอร์ให้หน่อยได้ไหม เมื่อข้าพเจ้ามาถึงบ้านของพวกเขา ข้าพเจ้าสังเกตเห็นรอยยุบบนพื้นและกาต้มน้ำเก่าๆ
“อธิการครับ คืออย่างนี้ครับ” บราเดอร์ริทเทอร์กล่าว “เครื่องทำน้ำอุ่นรั่ว และน้ำอุ่นไหลซึมไปทั่วพื้น ปลวกก็มา พื้นก็เลยยุบไปหน่อยครับ เราต้องปิดเครื่องทำน้ำอุ่น และนั่นคือสาเหตุที่เราใช้กาต้มน้ำ”
ครอบครัวริทเทอร์ยอมให้ข้าพเจ้าเล่าสถานการณ์ของพวกเขากับสภาวอร์ด สภาวอร์ดของเราดีมาก สมาชิกรู้จักคนที่สามารถช่วยซ่อมพื้นหรือผนังหรือพรมหรือข้าวของเครื่องใช้ในบ้านหรือทาสี อาสาสมัครมาช่วยงานหลายอย่างนับไม่ถ้วน หนึ่งในนั้นคือลาร์รีย์ โอคอนเนอร์ช่างก่อสร้างฝีมือดีที่มาช่วยครอบครัวริทเทอร์บ่อยๆ
ทีนาภรรยาของลาร์รีย์จำได้ว่าบางครั้งลาร์รีย์กับสมาชิกโควรัมคนอื่นๆ จะไปบ้านของริทเทอร์วันศุกร์และอยู่ตลอดคืน “เช้าวันเสาร์วันหนึ่ง ดิฉันนำอาหารเช้าไปให้พวกเขา” เธอเล่า “ลาร์รีย์เดินถือเครื่องมือทำท่อประปาออกมาจากห้องน้ำ”
ทีนาเสริมว่า “สามีของดิฉันเรียนรู้การเป็นสุภาพบุรุษ—มีน้ำใจ เอื้ออาทร อ่อนโยน [จากผู้ชายอย่างฮันส์ ริทเทอร์และคนอื่นๆ] เมื่อลาร์รีย์รับใช้กับชายที่ดีเหล่านี้ รวมทั้งในบริบาล เขากลายเป็นสามีและบิดาที่ดีขึ้น”
เมื่อบ้านเสร็จ เราทุกคนดีใจ
ฮันส์กับเฟย์ ริทเทอร์จากพวกเราไปแล้ว แต่เมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าพูดกับเบ็นและสตีเฟนลูกชายสองคนของพวกเขา พวกเขาจำได้ว่าการรับใช้เงียบๆ ของผู้อื่นมีค่าต่อบิดาของพวกเขาผู้ทำงานอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเพื่อดูแลครอบครัว
ขณะอยู่ที่กิจกรรมวอร์ดครั้งหนึ่งหลังจากบ้านของครอบครัวริทเทอร์เสร็จเรียบร้อยไม่นาน ลาร์รีย์กับทีนา โอคอนเนอร์ได้รับข่าวฉุกเฉินแจ้งว่าไฟกำลังไหม้บ้านของพวกเขา พวกเขารีบกลับบ้านและเห็นหน้าต่างแตกทุกบ้าน (เพื่อระบายควัน) และผนังถูกเจาะ (เพื่อตรวจหาเปลวไฟที่ซ่อนอยู่)
“เราสิ้นหวัง” ทีนากล่าว แต่แล้ววอร์ดก็มา
“ทุกคนช่วยกัน” ทีนากับลาร์รีย์เล่า “ทั้งวอร์ดมาด้วยความรัก เราอยู่ที่นั่นเป็นครอบครัว”
ใครมาถึงคนแรกและกลับเป็นคนสุดท้ายเมื่อสร้างบ้านให้โอคอนเนอร์ใหม่ ใช่ ครอบครัวฮันส์กับเฟย์ ริทเทอร์
เบ็นกับสตีเฟนไม่โอ้อวดแต่จำได้ว่าครอบครัวของพวกเขามาช่วยครอบครัวโอคอนเนอร์ “เราทุกคนอยู่ที่นั่นด้วยกัน” พวกเขากล่าว “นั่นเป็นวิธีที่การรับใช้บังเกิดผล เราทุกคนดูแลกัน บางครั้งช่วยคนอื่นและบางครั้งก็ให้คนอื่นช่วยเรา”
สำหรับข้าพเจ้าแวดวงของคนที่ยอดเยี่ยม มีคุณธรรม และกลมเกลียวกันเกิดขึ้นได้เมื่อเราเสริมสร้างกันในความรักของพระผู้ช่วยให้รอด ครอบครัวโอคอนเนอร์ช่วยเหลือครอบครัวริทเทอร์ ครอบครัวริทเทอร์ช่วยเหลือครอบครัวโอคอนเนอร์ จนกระทั่งสร้างชุมชนของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายขึ้นมา เราแต่ละคนต้องการให้และสามารถให้ได้ทุกวันในหลายๆ ด้าน โดยปฏิบัติศาสนกิจด้วยความรักและสนับสนุนกันในวิธีเล็กๆ น้อยๆ เรียบง่าย มีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนชีวิต
ด้วยเหตุนี้ เราจึงประสบปาฏิหาริย์คล้ายกับปาฏิหาริย์เรื่องขนมปังกับปลาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า อันดับแรกชุมชนวิสุทธิชนสามารถรวมพลด้วยความเป็นหนึ่งเดียวโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนเพื่อตอบรับความต้องการในขณะนั้น และสอง ในขณะเดียวกัน ความเป็นมิตรของวิสุทธิชนสามารถถักทอเข้าด้วยกันในความรักผ่านการปฏิบัติศาสนกิจด้วยความรักทุกวันในสภาวการณ์เงียบๆ มากมาย—เช่นในครอบครัว สาขา วอร์ด หรือชุมชนตลอดหลายปี—ขึ้นอยู่กับความต้องการในขณะนั้น
รับการเสริมสร้างในความรักของพระผู้ช่วยให้รอด
ทั้งหมดนี้นำเรากลับไปยังจุดที่เราเริ่มไว้—พระบัญญัติข้อสำคัญข้อแรกและข้อที่สอง พร้อมทั้งคำเชื้อเชิญให้รับการเสริมสร้างและเสริมสร้างกันในความรักของพระเจ้า
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกล่าวอย่างมีพลังดังนี้ “ข่าวสารของเราต่อโลกเรียบง่ายและจริงใจ นั่นคือ เราเชื้อเชิญให้บุตรธิดาทั้งปวงของพระผู้เป็นเจ้าทั้งสองด้านของม่านมาหาพระผู้ช่วยให้รอด รับพรของพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ มีปีติที่ยั่งยืน และคู่ควรแก่การรับชีวิตนิรันดร์”5
ขณะที่เราดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ (ดู 2 นีไฟ 32:3) และให้พระผู้เป็นเจ้ามาเป็นอันดับแรก (ดู มัทธิว 6:33) พระเจ้าจะทรงเสริมสร้างและทรงอวยพรชีวิตทุกด้านของเรา มีความกลมกลืนและความก้องกังวานในการเป็นคนในพันธสัญญาเมื่อเรารับการเสริมสร้างในความรักของพระเจ้าและเมื่อเราเสริมสร้างกันในพระองค์
ถ้อยคำของอัครสาวกเปาโลสะท้อนความกลมกลืนของพันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์
“ใครจะให้เราทั้งหลายขาดจากความรักของพระคริสต์ได้เล่า จะเป็นความทุกข์ หรือความยากลำบาก หรือการเคี่ยวเข็ญ หรือการกันดารอาหาร หรือการเปลือยกาย หรือการถูกโพยภัย หรือการถูกคมดาบหรือ …
“เพราะข้าพเจ้าแน่ใจว่า แม้ความตาย หรือชีวิต หรือบรรดาทูตสวรรค์ หรือเทพเจ้า หรือสิ่งซึ่งมีอยู่ในปัจจุบันนี้ และสิ่งซึ่งจะมีในภายหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย
“หรือซึ่งสูง หรือซึ่งลึก หรือสิ่งใดๆ อื่นที่ได้ทรงสร้างแล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้เราขาดจากความรักของพระเจ้า ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราได้” (โรม 8:35, 38–39)
นั่นเป็นประจักษ์พยานที่จริงจังของข้าพเจ้าเช่นกัน
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรู้จักเราดีกว่าเรารู้จักตัวเราเองและทรงรักเรามากกว่าเรารักตัวเราเอง เราสามารถวางใจในพระเจ้าด้วยสุดใจของเราและไม่พึ่งพาความเข้าใจของเราเอง (ดู สุภาษิต 3:5–6)
ในพระนิเวศน์ 159 แห่งของพระเจ้าใน 43 ประเทศ เราสามารถรับการเสริมสร้างในพระเจ้าผ่านพันธสัญญาของเราและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์
เราได้รับพรโดยอำนาจฐานะปุโรหิตและการเปิดเผยต่อเนื่องตั้งแต่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธจนถึงประธานเนลสันที่รักของเราในปัจจุบัน เหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจมากขึ้น และเจียมตนมากขึ้น ถึงความเป็นจริงของหลักคำสอนที่ได้รับการฟื้นฟู กุญแจ ศาสนพิธี และพันธสัญญาในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย “อาณาจักรของพระเจ้าซึ่งได้รับการสถาปนาขึ้นอีกบนแผ่นดินโลก, เพื่อเตรียมรับการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเมสสิยาห์”6
พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ และพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า
ขอให้เราแต่ละคนได้รู้จักพระผู้ช่วยให้รอดของเรามากขึ้นและเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นเมื่อเรารับการเสริมสร้างในพระเจ้าและเมื่อเราเสริมสร้างกันในพระองค์และความรักของพระองค์