การเรียกในคณะเผยแผ่
บทที่ 3: บทเรียน 1—ข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์


“บทที่ 3: บทเรียน 1—ข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์” สั่งสอนกิตติคุณของเรา: คู่มือแนะแนวการแบ่งปันพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ (2023)

“บทที่ 3: บทเรียน 1” สั่งสอนกิตติคุณของเรา

บทที่ 3: บทเรียน 1

ข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

นิมิตแรก

ผู้คนอาจสงสัย

  • พระผู้เป็นเจ้ามีจริงหรือ?

  • ฉันจะรู้สึกใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นได้อย่างไร?

  • ฉันจะเรียนรู้ความจริงในโลกที่สับสนอย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร?

  • ศาสนาจะช่วยฉันอย่างไร?

  • ทำไมมีหลายศาสนา?

  • ทำไมฉันมีความท้าทายมากนัก?

  • ฉันจะพบสันติสุขในช่วงเวลาวุ่นวายได้อย่างไร?

  • ฉันจะมีความสุขมากขึ้นได้อย่างไร?

  • ศาสดาพยากรณ์จะช่วยโลกทุกวันนี้อย่างไร?

ตั้งแต่โลกเริ่มต้น พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยพระกิตติคุณต่อลูกๆ ของพระองค์ผ่านศาสดาพยากรณ์ พระองค์ทรงทำเช่นนี้ผ่านพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ สมัยโบราณพระเยซูทรงเปิดเผยพระกิตติคุณต่อศาสดาพยากรณ์ เช่น อาดัม โนอาห์ อับราฮัม และโมเสส แต่คนมากมายปฏิเสธ

สองพันปีที่แล้วพระเยซูคริสต์ทรงสอนพระกิตติคุณและทรงสถาปนาศาสนจักรด้วยพระองค์เอง แต่ผู้คนก็ยังปฏิเสธพระเยซู หลังจากการสิ้นพระชนม์ไม่นาน มีการละทิ้งความจริงและศาสนจักรของพระเจ้าอย่างกว้างขวาง ความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณและสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตไม่อยู่บนแผ่นดินโลกอีก

หลายศตวรรษต่อมาพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์อีกท่านหนึ่งชื่อโจเซฟ สมิธ พระองค์ทรงฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณผ่านท่านและทรงมอบสิทธิอำนาจให้ท่านจัดตั้งศาสนจักรของพระเยซูคริสต์อีกครั้ง

การมีความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์บนแผ่นดินโลกเป็นพรสำคัญยิ่งประการหนึ่งในยุคสมัยของเรา พระกิตติคุณช่วยเราตอบคำถามที่ค้นหาคำตอบกันมากที่สุดของชีวิต ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่นำทางเราผ่านช่วงเวลาท้าทาย สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตของพระผู้เป็นเจ้าอยู่บนแผ่นดินโลกอีกครั้งเพื่อเป็นพรแก่ลูกๆ ของพระองค์

ผู้สอนศาสนาสอนครอบครัว

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หมวดนี้ให้โครงร่างตัวอย่างที่จะช่วยท่านเตรียมสอน นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างคำถามและคำเชื้อเชิญให้ท่านใช้ด้วย

ขณะที่ท่านเตรียมสอน จงพิจารณาสถานการณ์และความต้องการทางวิญญาณของแต่ละคนร่วมกับการสวดอ้อนวอน ตัดสินใจว่าจะสอนอะไรที่เป็นประโยชน์มากที่สุด เตรียมนิยามคำศัพท์ที่ผู้คนอาจจะไม่เข้าใจ วางแผนตามเวลามากน้อยที่ท่านจะมีโดยจำไว้ว่าบทเรียนต้องกระชับ

เลือกข้อพระคัมภีร์ที่ท่านจะใช้สอน หมวด “พื้นฐานหลักคำสอน” ของบทเรียนจะมีพระคัมภีร์หลายข้อที่เป็นประโยชน์

พิจารณาว่าจะถามคำถามใดขณะสอน วางแผนให้คำเชื้อเชิญที่จะกระตุ้นแต่ละคนให้ลงมือปฏิบัติ

เน้นพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาไว้ และแบ่งปันประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับสิ่งที่ท่านสอน

สิ่งที่ท่านอาจจะสอนใน 15–25 นาที

เลือกสอนหลักธรรมต่อไปนี้หนึ่งข้อหรือมากกว่านั้น พื้นฐานหลักคำสอนของแต่ละหลักธรรมจะอยู่หลังจากโครงร่างนี้

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเราและเราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างเราตามรูปลักษณ์ของพระองค์

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเราเป็นส่วนตัวและทรงรักเรา

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกที่สมบูรณ์แบบและมีรัศมีภาพ

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการอวยพรเราให้มีสันติสุขและความสมบูรณ์ของปีติที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร

  • เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงรักเรา พระองค์จึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์มาไถ่เราจากบาปและความตาย

พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยพระกิตติคุณผ่านศาสดาพยากรณ์ในทุกสมัยการประทาน

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนแผ่นดินโลก

  • ในสมัยโบราณพระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ เช่น อาดัม โนอาห์ อับราฮัม และโมเสส

  • ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ได้รับการเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้าให้สอนและนำเราในปัจจุบัน

การปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

  • พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า

  • ในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก พระเยซูทรงสอนพระกิตติคุณและสถาปนาศาสนจักรของพระองค์

  • พระเยซูทรงเรียกอัครสาวกสิบสองและประทานสิทธิอำนาจให้พวกท่านนำศาสนจักรของพระองค์

  • ในบั้นปลายพระชนม์ชีพของพระเยซู พระองค์ทรงชดใช้บาปของเราโดยทรงทนทุกข์ในสวนเกทเสมนีและระหว่างตรึงกางเขน หลังจากสิ้นพระชนม์ พระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์

  • เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเยซู เราจะได้รับการอภัยและสะอาดจากบาปเมื่อเรากลับใจ นี่ทำให้เรามีสันติสุขและสามารถกลับไปที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าได้และรับความสมบูรณ์แห่งปีติ

  • เพราะการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เราทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตหลังจากเราตาย หมายความว่าวิญญาณและร่างกายของแต่ละคนจะรวมกันใหม่และมีชีวิตตลอดไป

การละทิ้ง

  • หลังจากอัครสาวกของพระเยซูสิ้นชีวิต มีการละทิ้งพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์อย่างกว้างขวาง

  • ในช่วงเวลานี้ผู้คนเปลี่ยนคำสอนหลายอย่างของพระกิตติคุณ เปลี่ยนศาสนพิธีฐานะปุโรหิตด้วย เช่น บัพติศมา สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตและศาสนจักรที่พระเยซูทรงสถาปนาไม่อยู่บนแผ่นดินโลกอีก

การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ผ่านโจเซฟ สมิธ

  • โจเซฟ สมิธต้องการทราบว่าศาสนจักรใดเป็นศาสนจักรที่แท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเขาจะเข้าร่วมได้ พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อท่านในปี 1820 เหตุการณ์นี้เรียกว่านิมิตแรก

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์เฉกเช่นทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ในสมัยก่อน

  • พระองค์ทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ผ่านโจเซฟ สมิธ

  • ทูตสวรรค์องค์อื่นฟื้นฟูฐานะปุโรหิต และโจเซฟได้รับมอบอำนาจให้จัดตั้งศาสนจักรของพระเยซูคริสต์

  • พระเยซูคริสต์ทรงนำศาสนจักรต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ผ่านศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิตอยู่

พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์

  • พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคัมภีร์เล่มหนึ่งที่ศาสดาพยากรณ์ในสมัยโบราณในทวีปอเมริกาเขียนไว้ โจเซฟ สมิธแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

  • พระคัมภีร์มอรมอนให้พยานร่วมกับพระคัมภีร์ไบเบิลเรื่องการปฏิบัติศาสนกิจ คำสอน และพระพันธกิจของพระเยซูในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด

  • เราสามารถเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นได้ด้วยการอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและยึดมั่นหลักการของพระคัมภีร์เล่มนี้

  • เรารู้ได้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการอ่าน ไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์เล่มนี้ กระบวนการนี้จะช่วยให้เรารู้เช่นกันว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์

สวดอ้อนวอนเพื่อรู้ความจริงผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์

  • การสวดอ้อนวอนเป็นการสื่อสารสองทางระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับลูกๆ ของพระองค์

  • โดยผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจเราสามารถรู้ได้ว่าข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นความจริง

  • เมื่อเราสวดอ้อนวอนพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนและยืนยันความจริงกับเรา

ผู้สอนศาสนาสอนเยาวชนชาย

คำถามที่ท่านอาจจะถามผู้คน

คำถามต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ท่านอาจจะถามผู้คน คำถามเหล่านี้จะช่วยให้ท่านมีการสนทนาที่มีความหมาย เข้าใจความต้องการและมุมมองของผู้คน

  • คุณเชื่ออะไรเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า?

  • การรู้สึกใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นจะช่วยคุณอย่างไร?

  • คุณทราบอะไรเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์บ้าง? พระชนม์ชีพและคำสอนของพระองค์มีอิทธิพลต่อคุณอย่างไร?

  • คุณหาคำตอบที่เชื่อถือได้ในโลกที่สับสนอย่างทุกวันนี้อย่างไร?

  • จะช่วยให้คุณรู้ได้อย่างไรว่ามีศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกทุกวันนี้?

  • คุณเคยได้ยินเรื่องพระคัมภีร์มอรมอนไหม? เราขอแบ่งปันได้ไหมว่าทำไมพระคัมภีร์มอรมอนจึงสำคัญ?

  • คุณจะแบ่งปันความเชื่อของคุณเกี่ยวกับการสวดอ้อนวอนไหม? เราขอแบ่งปันความเชื่อของเราเกี่ยวกับการสวดอ้อนวอนได้ไหม?

คำเชื้อเชิญที่ท่านอาจจะให้

  • คุณจะสวดอ้อนวอนทูลขอให้พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยให้คุณรู้ว่าสิ่งที่เราสอนเป็นความจริงไหม? (ดู “ข้อคิดในการสอน: การสวดอ้อนวอน” ในหมวดสุดท้ายของบทเรียนนี้)

  • คุณจะไปโบสถ์วันอาทิตย์นี้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสิ่งที่เราสอนไหม?

  • คุณจะอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนเพื่อรู้ว่าเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าไหม? (ท่านอาจจะแนะให้อ่านบทหรือข้อที่กำหนด)

  • คุณจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูและรับบัพติศมาไหม? (ดู “การเชื้อเชิญให้รับบัพติศมาและการยืนยัน” ซึ่งอยู่ก่อนบทเรียนนี้)

  • เราขอกำหนดเวลาเยี่ยมครั้งต่อไปได้ไหม?

พื้นฐานหลักคำสอน

หมวดนี้จัดเตรียมหลักคำสอนและข้อพระคัมภีร์ให้ท่านศึกษาเพื่อเสริมความรู้และประจักษ์พยานของท่านในพระกิตติคุณและช่วยท่านสอน

ครอบครัว

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเราและเราเป็นลูกของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างเราตามรูปลักษณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงมี “พระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกสัมผัสได้ดังของมนุษย์” (หลักคําสอนและพันธสัญญา 130:22)

พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักเราเป็นส่วนตัว และทรงรักเรามากเกินกว่าเราจะเข้าใจได้ พระองค์เข้าพระทัยการทดลอง ความเศร้าโศก และความอ่อนแอของเรา และทรงประคับประคองเราให้ผ่านพ้นไปได้ พระองค์ทรงชื่นชมยินดีในความก้าวหน้าของเรา และจะทรงช่วยให้เราเลือกถูกต้อง พระองค์ทรงต้องการสื่อสารกับเรา และเราสามารถสื่อสารกับพระองค์ผ่านการสวดอ้อนวอน

พระผู้เป็นเจ้าประทานประสบการณ์บนโลกนี้ให้เราเพื่อเราจะเรียนรู้ เติบโต และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น ด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบพระองค์ทรงต้องการให้เรากลับไปหาพระองค์หลังจากเราตาย แต่เราจะกลับไปเองไม่ได้ เพราะทรงรักเราพระผู้เป็นเจ้าจึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์มาไถ่เรา “พระ‍เจ้าทรงรักโลกดัง‍นี้ คือได้ประ‌ทานพระ‍บุตรองค์เดียวของพระ‍องค์ … เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น” (ยอห์น 3:16–17)

พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการอวยพรเราให้มีสันติสุขและความสมบูรณ์ของปีติที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร พระองค์ทรงจัดเตรียมแผนที่เปิดโอกาสให้เราได้รับพรเหล่านี้ แผนนี้เรียกว่าแผนแห่งความรอด (ดู บทเรียน 2)

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

โมเสสและแผ่นหิน โดย เจอร์รีย์ ฮาร์สตัน

พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยพระกิตติคุณผ่านศาสดาพยากรณ์ในทุกสมัยการประทาน

ศาสดาพยากรณ์เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก

วิธีสำคัญวิธีหนึ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงความรักต่อเราคือทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ ประทานสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตให้พวกท่าน และทรงดลใจพวกท่านให้พูดแทนพระองค์ ศาสดาพยากรณ์เป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก อาโมสศาสดาพยากรณ์ในพันธสัญญาเดิมบันทึกว่า “แท้จริงแล้วพระยาห์เวห์องค์เจ้านายไม่ทรงทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดโดยไม่เปิดเผยความลี้ลับให้แก่ผู้รับใช้ของพระองค์คือผู้เผยพระวจนะ” (อาโมส 3:7) พรบางประการที่เราได้รับจากศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่สรุปไว้ดังนี้

พยานของพระเยซูคริสต์ ศาสดาพยากรณ์เป็นพยานพิเศษของพระเยซูคริสต์ โดยเป็นพยานว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา

คำสอน ศาสดาพยากรณ์ได้รับการทรงนำจากพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเราแยกแยะความจริงจากความเท็จ พวกท่านสอนเราให้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและกลับใจเมื่อเราทำผิดพลาด พวกท่านประณามบาปและเตือนเรื่องผลของบาป

คำสอนของศาสดาพยากรณ์ยกเราขึ้นไปหาพระผู้เป็นเจ้าและช่วยให้เราได้รับพรที่ทรงปรารถนาจะประทานแก่เรา ความปลอดภัยสูงสุดของเราอยู่ในการทำตามพระวจนะของพระเจ้าที่ประทานผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์

สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต ศาสดาพยากรณ์คนปัจจุบันเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตควบคุมบนแผ่นดินโลก ฐานะปุโรหิตคือสิทธิอำนาจและพลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ศาสดาพยากรณ์มีสิทธิอำนาจที่จะพูดและทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความรอดของลูกๆ พระองค์

การกำกับดูแลศาสนจักร ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์สร้างบนรากฐานของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก (ดู เอเฟซัส 2:19–20; 4:11–14)

ศาสดาพยากรณ์ในสมัยโบราณ

อาดัมเป็นศาสดาพยากรณ์คนแรกบนแผ่นดินโลก พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ต่อท่านและประทานสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตแก่ท่าน อาดัมกับเอวาสอนลูกๆ ให้รู้ความจริงเหล่านี้และกระตุ้นพวกเขาให้พัฒนาศรัทธาและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ

ลูกหลานของอาดัมกับเอวากบฏในที่สุดและหันหลังให้พระกิตติคุณ ซึ่งนำไปสู่สภาพหนึ่งเรียกว่าการละทิ้งความเชื่อหรือการละทิ้ง เมื่อเกิดการละทิ้งความเชื่ออย่างกว้างขวาง พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงถอนสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตซึ่งจำเป็นต้องใช้สอนและปฏิบัติศาสนพิธีของฐานะปุโรหิต

พันธสัญญาเดิมบันทึกหลายตัวอย่างของการละทิ้งความเชื่ออย่างกว้างขวาง เพื่อสิ้นสุดช่วงเวลาเหล่านี้ พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงยื่นพระหัตถ์ช่วยเหลือลูกๆ ของพระองค์โดยทรงเรียกศาสดาพยากรณ์อีกท่านหนึ่ง พระองค์ทรงเปิดเผยความจริงของพระกิตติคุณอีกครั้งต่อศาสดาพยากรณ์เหล่านี้และประทานสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตแก่พวกท่าน ศาสดาพยากรณ์บางท่านเหล่านี้ ได้แก่ โนอาห์ อับราฮัม และโมเสส น่าเศร้าที่วนกลับมาแบบเดิมคือผู้คนปฏิเสธศาสดาพยากรณ์และละทิ้งไปในที่สุด

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

โอ้ พระบิดา โดย ไซมอน ดิวอีย์

การปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลกและการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูและการชดใช้ของพระองค์เป็นศูนย์กลางในแผนของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับเรา การชดใช้ของพระองค์รวมถึงการทนทุกข์ในสวนเกทเสมนี การทนทุกข์และการสิ้นพระชนม์บนกางเขน และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์

นับจากสมัยของอาดัมกับเอวา ผู้คนตั้งตารอการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของพวกเขา พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งพระเยซูมาแผ่นดินโลก 2,000 กว่าปีที่แล้ว

พระเยซูทรงดำเนินพระชนม์ชีพดีพร้อมปราศจากบาป ทรงสอนพระกิตติคุณและสถาปนาศาสนจักรของพระองค์ ทรงเรียกอัครสาวกสิบสอง ประทานสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตให้พวกท่านสอนและทำศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ เช่น บัพติศมา พระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้พวกท่านนำศาสนจักรเช่นกัน

ในบั้นปลายพระชนม์ชีพ พระเยซูทรงชดใช้บาปของเราโดยทรงทนทุกข์ในเกทเสมนีและระหว่างการตรึงกางเขน เพราะการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระเยซู เราจึงสะอาดจากบาปเมื่อเรากลับใจ นี่ทำให้เราได้กลับไปที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าและได้รับความสมบูรณ์แห่งปีติ

หลังจากพระเยซูถูกตรึงกางเขน พระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ ได้รับชัยชนะเหนือความตายโดยเดชานุภาพของพระบิดาบนสวรรค์ เพราะการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เราทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตหลังจากเราตาย นี่หมายความว่าวิญญาณกับร่างกายของแต่ละคนจะรวมกันใหม่ และเราแต่ละคนจะมีชีวิตตลอดไปในร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วและสมบูรณ์แบบ (ดู “การชดใช้ของพระเยซูคริสต์” ในบทเรียน 2)

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่า “หลักธรรมพื้นฐานของศาสนาเราคือประจักษ์พยานของอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ว่าพระองค์สิ้นพระชนม์ ทรงถูกฝัง ทรงคืนพระชนม์อีกครั้งในวันที่สาม และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เรื่องอื่นทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับศาสนาเราล้วนเป็นเพียงส่วนประกอบของเรื่องดังกล่าว” (คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 52)

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

การละทิ้ง

หลังจากพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ อัครสาวกของพระองค์พยายามรักษาหลักคำสอนของพระคริสต์ให้บริสุทธิ์และรักษาความเป็นระเบียบในศาสนจักร แต่สมาชิกศาสนจักรจำนวนมากหันหลังให้อัครสาวกและหลักคำสอนที่พระเยซูทรงสอนไว้

หลังจากอัครสาวกถูกสังหาร มีการละทิ้งพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์อย่างกว้างขวาง การละทิ้งนี้บางครั้งเรียกว่าการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ เพราะเหตุนี้พระผู้เป็นเจ้าจึงทรงถอนสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตไปจากแผ่นดินโลก การสูญเสียครั้งนี้รวมถึงสิทธิอำนาจที่ต้องใช้กำกับดูแลศาสนจักรด้วย ส่งผลให้ศาสนจักรที่พระเยซูทรงสถาปนาไม่อยู่บนแผ่นดินโลกอีก

ในช่วงเวลานี้ผู้คนเปลี่ยนคำสอนมากมายของพระกิตติคุณ ความรู้ส่วนใหญ่เกี่ยวกับธรรมชาติแท้จริงของพระบิดาบนสวรรค์ พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกบิดเบือนหรือไม่ก็สูญหาย ผู้คนเปลี่ยนศาสนพิธีฐานะปุโรหิตด้วย เช่น บัพติศมา

หลายศตวรรษต่อมาชายหญิงที่แสวงหาความจริงพยายามปฏิรูปคำสอนและวิธีปฏิบัติที่เปลี่ยนไป พวกเขาเสาะหาแสงสว่างทางวิญญาณมากขึ้น และบางคนพูดถึงความจำเป็นของการฟื้นฟูความจริง ความพยายามของพวกเขานำไปสู่การจัดตั้งนิกายต่างๆ มากมาย

ช่วงเวลานี้ส่งผลให้มีการเน้นเรื่องเสรีภาพทางศาสนามากขึ้น ซึ่งเปิดทางให้กับการฟื้นฟูความจริงและสิทธิอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้า

ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกทำนายเรื่องการละทิ้งนี้ไว้แล้ว (ดู 2 เธสะโลนิกา 2:1–3) พวกเขาทำนายด้วยว่าพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์จะได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลก (ดู กิจการ 3:20–21) หากไม่มีการละทิ้งคงไม่จำเป็นต้องมีการฟื้นฟู

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ผ่านโจเซฟ สมิธ

นิมิตแรกและการเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์

ในช่วงหลายศตวรรษที่ความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ไม่อยู่บนแผ่นดินโลก พระบิดาบนสวรรค์ยังทรงเอื้อมพระหัตถ์มาหาลูกๆ ของพระองค์ พระองค์ทรงค่อยๆ เตรียมทางให้พวกเขาได้รับพรอีกครั้งด้วยความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณของพระองค์ เมื่อสภาวการณ์เหมาะสม พระองค์ทรงเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์และทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ผ่านท่าน

โจเซฟ สมิธอาศัยอยู่ทางภาคตะวันออกของสหรัฐในช่วงที่มีความระส่ำระสายอย่างมากทางศาสนา สมาชิกครอบครัวของท่านภักดีต่อพระผู้เป็นเจ้าและแสวงหาความจริง หลายนิกายอ้างว่าตนมีความจริง และโจเซฟปรารถนาจะรู้ว่านิกายใดถูกต้อง (ดู โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:18) พระคัมภีร์ไบเบิลสอนว่ามี “องค์พระผู้เป็นเจ้าเดียว ความเชื่อเดียว บัพติศมาเดียว” (เอเฟซัส 4:5) เมื่อโจเซฟเข้าร่วมการประชุมของนิกายต่างๆ ท่านสับสนไม่ทราบจะนับถือนิกายใด ท่านกล่าวในเวลาต่อมาว่า:

“ความสับสนและความขัดแย้งในบรรดากลุ่มที่แตกต่างนั้นมีมากยิ่งนัก, จนสุดวิสัยที่ผู้อ่อนวัยอย่างข้าพเจ้า … จะสรุปได้แน่ชัดว่าใครถูกและใครผิด …

“ท่ามกลางสงครามคารมและความแตกตื่นอันเกิดจากความคิดเห็นทั้งหลายนี้, ข้าพเจ้ามักกล่าวแก่ตนเอง: จะให้ทำอย่างไรเล่า? จากกลุ่มทั้งหมดนี้ใครเล่าถูก; หรือ, ผิดด้วยกันทั้งหมด? หากมีกลุ่มหนึ่งในนั้นถูกต้อง, แล้วจะเป็นกลุ่มใดเล่า, และข้าพเจ้าจะรู้ได้อย่างไรเล่า?” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1: 8, 10)

เหมือนคนจำนวนมาก โจเซฟ สมิธมีคำถามเกี่ยวกับความรอดของจิตวิญญาณท่านเช่นกัน ท่านต้องการให้ทรงอภัยบาปของท่านและสะอาดต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า ขณะแสวงหาความจริงในบรรดานิกายต่างๆ ท่านอ่านในพระคัมภีร์ไบเบิล “ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ” (ยากอบ 1:5)

เพราะข้อความนี้โจเซฟจึงตัดสินใจทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าควรทำอย่างไร ในฤดูใบไม้ผลิปี 1820 ท่านเข้าไปในป่าใกล้บ้านและคุกเข่าสวดอ้อนวอน มีเรื่องราวสี่เรื่องของนิมิตตามมา ซึ่งโจเซฟ สมิธหรือเจ้าหน้าที่คัดลอกบันทึกไว้ภายใต้การกำกับดูแลของท่าน (ดู Gospel Topics Essays, “First Vision Accounts”) ในเรื่องราวที่บันทึกเป็นพระคัมภีร์ ท่านบรรยายประสบการณ์ของท่านดังนี้:

นิมิตแรก โดย ลินดา คริสเต็นเซ็น และไมเคิล มาล์ม

“ข้าพเจ้าเห็นลำแสงอยู่เหนือศีรษะข้าพเจ้าพอดี, เหนือความเจิดจ้าของดวงอาทิตย์, ซึ่งค่อยๆ เลื่อนลงมาจนตกต้องข้าพเจ้า … เมื่อแสงนั้นส่องมายังข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นพระอติรูปสองพระองค์, ซึ่งความเจิดจ้าและรัศมีภาพของทั้งสองพระองค์เกินกว่าจะพรรณนาได้, พระองค์ทรงยืนอยู่เหนือข้าพเจ้าในอากาศ. องค์หนึ่งรับสั่งกับข้าพเจ้า, โดยทรงเรียกชื่อข้าพเจ้าและตรัส, พลางชี้พระหัตถ์ไปที่อีกองค์หนึ่ง—นี่คือบุตรที่รักของเรา. จงฟังท่าน!” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:16–17)

ในนิมิตนี้พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อโจเซฟ สมิธ พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับสั่งไม่ให้ท่านนับถือนิกายใด

อีกเรื่องราวหนึ่งของนิมิตนี้โจเซฟเล่าว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงรับสั่งกับท่านเช่นกันว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัย … ดูเถิด เราคือพระเจ้าแห่งรัศมีภาพ เราถูกตรึงกางเขนแทนโลกเพื่อทุกคนที่เชื่อในนามของเราจะมีชีวิตนิรันดร์”

หลังจากนิมิตนั้น โจเซฟใคร่ครวญ “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความรัก ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีด้วยความปีติยินดียิ่งเป็นเวลาหลายวัน และพระเจ้าทรงอยู่กับข้าพเจ้า” (Joseph Smith History, circa Summer 1832, 3, josephsmithpapers.org; ปรับตัวสะกดและเครื่องหมายวรรคตอนให้ทันสมัย)

โดยผ่านนิมิตนี้ โจเซฟ สมิธกลายเป็นพยานของพระเยซูคริสต์และเรียนรู้ความจริงสำคัญๆ เกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ ตัวอย่างเช่น ท่านเรียนรู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นสัตภาวะแยกจากกัน เมื่อทั้งสองพระองค์ทรงเรียกชื่อท่าน ท่านเรียนรู้ว่าพระองค์ทรงรู้จักท่านเป็นส่วนตัว เมื่อโจเซฟทราบว่าท่านได้รับการอภัย ท่านเรียนรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงเมตตา ประสบการณ์นี้ทำให้ท่านเปี่ยมด้วยปีติ

ดังที่พระผู้เป็นเจ้าทรงทำกับศาสดาพยากรณ์หลายท่านก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้ฟื้นฟูความสมบูรณ์แห่งพระกิตติคุณบนแผ่นดินโลกผ่านท่าน การฟื้นฟูนี้จะช่วยให้ลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้าพบปีติในโลกนี้และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง—ทั้งหมดผ่านพระเยซูคริสต์

การฟื้นฟูฐานะปุโรหิตและกุญแจฐานะปุโรหิต

แก่ท่านเพื่อนผู้ร่วมรับใช้ทั้งหลายของข้าพเจ้า โดย ลินดา เคอร์ลีย์ คริสเต็นเซ็น และไมเคิล มาล์ม

หลังจากการปรากฏพระบิดาและพระบุตร พระองค์ทรงส่งทูตสวรรค์ท่านอื่นมาหาโจเซฟ สมิธกับออลิเวอร์ คาวเดอรีเพื่อนร่วมงานของท่าน ยอห์นผู้ถวายบัพติศมาปรากฏในร่างฟื้นคืนชีวิตแล้วและประสาทฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนพร้อมกุญแจฐานะปุโรหิตให้ท่านทั้งสอง ฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนรวมถึงสิทธิอำนาจในการให้บัพติศมาด้วย

เสียงของเปโตร ยากอบ และยอห์น โดย เวลเด็น ซี. แอนเดอร์เซ็น

ไม่นานหลังจากนั้น เปโตร ยากอบ และยอห์น—อัครสาวกดั้งเดิมสามคนของพระคริสต์—ปรากฏในร่างที่ฟื้นคืนชีวิตแล้วและประสาทฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคพร้อมกุญแจฐานะปุโรหิตนั้นให้โจเซฟ สมิธกับออลิเวอร์ คาวเดอรี ฐานะปุโรหิตนี้เป็นสิทธิอำนาจเดียวกับที่พระคริสต์ประทานแก่อัครสาวกสมัยโบราณ

Image of Moses Elias and Elijah descending into the Kirtland temple and appearing to Joseph Smith.

ในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ โมเสส เอลีอัส และเอลียาห์ปรากฏต่อโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรี มอบสิทธิอำนาจเพิ่มเติมและกุญแจฐานะปุโรหิตให้ท่านทั้งสองอันจำเป็นต่อการทำงานของพระผู้เป็นเจ้าให้สำเร็จในยุคสุดท้าย โมเสสมอบหมายกุญแจทั้งหลายของการรวบรวมอิสราเอล เอลีอัสมอบหมายการประทานพระกิตติคุณสมัยอับราฮัม เอลียาห์มอบหมายกุญแจทั้งหลายของอำนาจการผนึก (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 110:11–16; ดู คู่มือทั่วไป, 3.1 ด้วย)

การจัดตั้งศาสนจักร

โจเซฟ สมิธได้รับบัญชาให้จัดตั้งศาสนจักรของพระเยซูคริสต์อีกครั้งบนแผ่นดินโลก พระเยซูคริสต์ทรงเรียกอัครสาวกสิบสองผ่านท่าน

ศาสดาพยากรณ์ในสมัยพระคัมภีร์ไบเบิลเรียกช่วงเวลาที่เราอยู่ว่าวันเวลาสุดท้ายหรือยุคสุดท้าย เป็นเวลาก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ไม่นาน นั่นคือสาเหตุที่ตั้งชื่อศาสนจักรว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 115:3–4; ดู 3 นีไฟ 27:3–8 ด้วย)

ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน

เฉกเช่นพระเยซูทรงเรียกอัครสาวกระหว่างทรงปฏิบัติศาสนกิจในพระชนม์ชีพมรรตัยให้นำศาสนจักร พระองค์ทรงเรียกอัครสาวกให้นำศาสนจักรในปัจจุบันเช่นกัน ฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองเป็นศาสดาพยากรณ์ ผู้หยั่งรู้ และผู้เปิดเผย

เฉพาะอัครสาวกอาวุโสเท่านั้นได้รับเรียกเป็นศาสดาพยากรณ์ เพราะท่านเป็นประธานดูแลทั้งศาสนจักรและได้รับมอบอำนาจหนึ่งเดียวให้พูดแทนพระเจ้า ท่านเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากโจเซฟ สมิธ ท่านและอัครสาวกคนปัจจุบันสืบสายสิทธิอำนาจไปถึงโจเซฟ สมิธในห่วงโซ่ที่ไม่ขาดตอนของการแต่งตั้งซึ่งเริ่มต้นเมื่อโจเซฟ สมิธได้รับแต่งตั้งภายใต้มือของทูตสวรรค์

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์

พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สมัยโบราณเล่มหนึ่งเหมือนพระคัมภีร์ไบเบิล พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพยานเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ และพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานเล่มที่สองของการปฏิบัติศาสนกิจ คำสอน และพระพันธกิจของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของโลก

ทูตสวรรค์ชื่อโมโรไนบัญชาโจเซฟ สมิธให้ไปยังเนินเขาที่ฝังบันทึกโบราณไว้นานหลายศตวรรษแล้ว บันทึกนี้ซึ่งจารึกลงบนแผ่นทองคำ (โลหะแผ่นบางๆ) ประกอบด้วยข้อเขียนของศาสดาพยากรณ์หลายท่านเกี่ยวกับการปฏิบัติของพระผู้เป็นเจ้ากับผู้อยู่อาศัยในทวีปอเมริกาสมัยโบราณ โจเซฟ สมิธแปลบันทึกนี้โดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

ศาสดาพยากรณ์ในพระคัมภีร์มอรมอนรู้เรื่องพระพันธกิจของพระเยซูคริสต์และสอนพระกิตติคุณของพระองค์ หลังจากพระเยซูฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ทรงปรากฏต่อคนเหล่านี้และปฏิบัติศาสนกิจต่อพวกเขาเป็นส่วนตัว ทรงสอนพวกเขาและสถาปนาศาสนจักร

พระคัมภีร์มอรมอนช่วยให้เราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเมื่อเราเรียนรู้ เข้าใจ และประยุกต์ใช้คำสอนในนั้น ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “มนุษย์ [ชายหรือหญิง] จะเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นโดยการยึดมั่นกับหลักการของหนังสือเล่มนี้, ยิ่งกว่าหนังสือเล่มอื่นใด” (Teachings: Joseph Smith64)

ผู้ชายอ่านหนังสือ

เพื่อรู้ว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า เราต้องอ่าน ไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์เล่มนี้ ศาสดาพยากรณ์ท่านหนึ่งในพระคัมภีร์มอรมอนสัญญาว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดเผยความจริงของหนังสือเล่มนี้ต่อเราเมื่อเราสวดอ้อนวอนด้วยใจจริง ด้วยเจตนาแท้จริง และด้วยศรัทธาในพระคริสต์” (ดู โมโรไน 10:3–5) การศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนจำเป็นต่อการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอันยั่งยืน

เมื่อเราอ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน เราจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ซึ่งจะเป็นพรแก่ชีวิตเรา เราจะรู้เช่นกันว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ว่าพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ได้รับการฟื้นฟูผ่านท่าน

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน

“ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนร่วมกับการสวดอ้อนวอน ทุกวัน ท่านจะตัดสินใจได้ดีขึ้น—ทุกวัน ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านไตร่ตรองสิ่งที่ศึกษา หน้าต่างฟ้าสวรรค์จะเปิด และท่านจะได้รับคำตอบให้คำถามของท่านและการนำทางในชีวิตท่าน ข้าพเจ้าสัญญาว่าเมื่อท่านใฝ่ใจศึกษาพระคัมภีร์มอรมอน ท่านจะมีภูมิคุ้มกันความชั่วของยุคสมัย รวมไปถึงโรคระบาดของสื่อลามกและการเสพติดอื่นๆ ที่ทำให้ความคิดด้านชา” (รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “พระคัมภีร์มอรมอน: ชีวิตท่านจะเป็นอย่างไรหากปราศจากพระคัมภีร์เล่มนี้?เลียโฮนา, พ.ย. 2017, 62–63)

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

ผู้หญิงสวดอ้อนวอน

สวดอ้อนวอนเพื่อรู้ความจริงผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์

เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา พระองค์จึงทรงช่วยให้เรารับรู้ความจริง เราจะรู้ได้ว่าข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นความจริงเมื่อเราอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาและเจตนาแท้จริง พระองค์จะทรงตอบคำถามของเราและทรงนำทางชีวิตเรา

โดยปกติพระผู้เป็นเจ้าทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเราผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อเราสวดอ้อนวอน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงสอนและยืนยันความจริง การสื่อสารจากพระวิญญาณบริสุทธิ์มีพลังอย่างยิ่ง โดยปกติจะมาในรูปของความมั่นใจเงียบๆ ผ่านความรู้สึก ความนึกคิด และความประทับใจ (ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 19:11–12; ฮีลามัน 5:30; หลักคำสอนและพันธสัญญา 8:2)

การศึกษาพระคัมภีร์สม่ำเสมอ (โดยเฉพาะพระคัมภีร์มอรมอน) การเข้าร่วมการประชุมศีลระลึกทุกสัปดาห์ และการสวดอ้อนวอนที่จริงใจจะช่วยให้เรารู้สึกถึงอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และค้นพบความจริง

การศึกษาพระคัมภีร์

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักธรรมนี้

โครงร่างบทเรียนขนาดสั้นถึงขนาดกลาง

โครงร่างต่อไปนี้เป็นตัวอย่างที่ท่านอาจจะสอนบางคนถ้าท่านมีเวลาเพียงช่วงสั้นๆ เมื่อใช้โครงร่างนี้ ให้เลือกสอนหนึ่งหลักธรรมหรือมากกว่านั้น พื้นฐานหลักคำสอนของแต่ละหลักธรรมจะอยู่ต้นบทเรียน

ขณะสอน ท่านจะถามคำถามและฟัง ให้คำเชื้อเชิญที่จะช่วยให้ผู้คนเรียนรู้วิธีเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้น คำเชื้อเชิญสำคัญเรื่องหนึ่งคือเชิญบุคคลพบกับท่านอีกครั้ง ความยาวของบทเรียนจะขึ้นอยู่กับคำถามที่ท่านถามและการฟังของท่าน

ผู้สอนศาสนาพูดคุยกับชายคนหนึ่ง

สิ่งที่ท่านอาจจะสอนใน 3–10 นาที

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา และทรงสร้างเราตามรูปลักษณ์ของพระองค์ ทรงรู้จักเราเป็นส่วนตัวและทรงรักเรา ทรงต้องการอวยพรให้มีสันติและความสมบูรณ์แห่งปีติที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร

  • พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระพันธกิจของพระองค์คือทำให้เราสะอาดจากบาป เอาชนะความตาย และได้รับชีวิตนิรันดร์

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ให้เป็นตัวแทนของพระองค์บนแผ่นดินโลก สมัยโบราณพระองค์ทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ เช่น อาดัม โนอาห์ อับราฮัม และโมเสส ศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ได้รับการเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้าให้สอนและนำเราในปัจจุบัน

  • ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัย พระเยซูทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์ หลังจากอัครสาวกของพระเยซูสิ้นชีวิต มีการละทิ้งพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์อย่างกว้างขวาง ผู้คนเปลี่ยนคำสอนมากมายของพระกิตติคุณและศาสนพิธีฐานะปุโรหิต เช่น บัพติศมา

  • พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์เฉกเช่นทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ในสมัยก่อน พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูทรงปรากฏต่อโจเซฟ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้รับการฟื้นฟูผ่านท่าน

  • พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพระคัมภีร์เล่มหนึ่ง เป็นพยานหลักฐานถึงพระเยซูคริสต์เหมือนพระคัมภีร์ไบเบิล และช่วยให้เราเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นเมื่อเราอ่านและประยุกต์ใช้หลักการในนั้น โจเซฟ สมิธแปลพระคัมภีร์มอรมอนโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า

  • เราสามารถสื่อสารกับพระผู้เป็นเจ้าผ่านการสวดอ้อนวอนที่จริงใจ เราสามารถรู้ได้ว่าข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เป็นความจริง