2010–2019
เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ
เมษายน 2011


2:3

เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ

หากเรามีใจใฝ่เรียนรู้และเต็มใจทำตามแบบอย่างของเด็กๆ คุณลักษณะแห่งสวรรค์ของพวกเขาจะสามารถไขกุญแจการเติบโตทางวิญญาณของเราได้

พระบิดาในสวรรค์ของเรา ในพระปรีชาญาณและความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ทรงส่งบุตรธิดาทางวิญญาณมาเป็นเด็กบนโลกนี้ พวกเขามาสู่ครอบครัวเสมือนหนึ่งของขวัญล้ำค่าพร้อมด้วยธรรมชาติวิสัยและจุดหมายปลายทางอันสูงส่ง พระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้ว่าเด็กเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์ มีสิ่งต่างๆ มากมายให้เราเรียนรู้จากเด็กๆ

ความจริงที่สำคัญดังกล่าวประจักษ์ชัดเมื่อหลายปีก่อนขณะสมาชิกสาวกเจ็ดสิบท่านหนึ่งทำงานมอบหมายในฮ่องกง ท่านไปเยี่ยมวอร์ดเล็กมากวอร์ดหนึ่งที่พยายามอยู่หลายวิธีแต่ก็ไม่สามารถจัดหาให้ตามความต้องการได้ เมื่ออธิการเล่าสถานการณ์ให้ฟัง เจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ท่านนี้รู้สึกว่าต้องให้สมาชิกจ่ายส่วนสิบ โดยรู้สภาพอันน่าพรั่นพรึงของพวกเขา อธิการจึงเป็นห่วงว่าเขาจะดำเนินการตามคำแนะนำนั้นได้อย่างไร เขาตรึกตรองและตัดสินใจว่าจะพูดคุยกับสมาชิกวอร์ดบางคนที่มีศรัทธามากที่สุดและขอให้พวกเขาจ่ายส่วนสิบ วันอาทิตย์ถัดมาเขาไปที่ปฐมวัย เขาสอนเด็กเรื่องกฎส่วนสิบของพระเจ้าและถามว่าเด็กๆ ยินดีจ่ายส่วนสิบจากเงินที่พวกเขาได้รับหรือไม่ เด็กๆ ตอบว่ายินดีและพวกเขาจ่ายส่วนสิบ

ต่อมาอธิการไปหาผู้ใหญ่ในวอร์ดและบอกพวกเขาว่าลูกๆ ที่ซื่อสัตย์ของพวกเขาจ่ายส่วนสิบมาได้หกเดือนแล้ว เขาถามคนเหล่านั้นว่าพวกเขายินดีทำตามแบบอย่างของเด็กเหล่านี้หรือไม่ ผู้ใหญ่รู้สึกซาบซึ้งกับการเสียสละที่เด็กยินดีทำจนพวกเขาทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อจ่ายส่วนสิบของตน หน้าต่างสวรรค์เปิด ด้วยแบบอย่างของเด็กที่เปี่ยมด้วยศรัทธาเหล่านี้ วอร์ดจึงเติบโตในการเชื่อฟังและในประจักษ์พยาน

พระเยซูคริสต์ทรงสอนเราด้วยพระองค์เองให้ดูเด็กเป็นแบบอย่าง พันธสัญญาใหม่บันทึกพระดำรัสตอบของพระองค์เมื่ออัครสาวกเถียงกันว่าใครเป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ พระเยซูทรงตอบคำถามนี้ด้วยบทเรียนอันทรงพลังที่ใช้เด็กสาธิต พระองค์ทรงเรียกเด็กเล็กคนหนึ่งมาหาพระองค์ ทรงวางเขาไว้ท่ามกลางคนเหล่านั้นและตรัสว่า

“ถ้าพวกท่านไม่กลับใจเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย

“เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมจิตใจลงเหมือนเด็กเล็กคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 18:3–4)

เราควรเรียนรู้อะไรจากเด็ก เด็กมีคุณสมบัติอะไรบ้างและพวกเขาแสดงแบบอย่างอะไรบ้างที่สามารถช่วยเราได้ในการพัฒนาทางวิญญาณของเรา

ลูกๆ ที่ล้ำค่าเหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้ามาหาเราด้วยใจที่เชื่อ พวกเขาเปี่ยมด้วยศรัทธาและรับความรู้สึกของพระวิญญาณได้ดี พวกเขาเป็นแบบอย่างของความอ่อนน้อม การเชื่อฟัง และความรัก พวกเขามักจะเป็นฝ่ายหยิบยื่นความรักและให้อภัยก่อนเสมอ

ดิฉันจะขอเล่าประสบการณ์บางอย่างที่แสดงให้เห็นว่าเด็กๆ เป็นพรแก่ชีวิตเราด้วยแบบอย่างอันไร้เดียงสาแต่เปี่ยมด้วยพลังของคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์ได้อย่างไร

เมื่อไม่นานมานี้ ทอดด์ เด็กชายอายุเพียงสองขวบ กับคุณแม่ไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่จัดนิทรรศการพิเศษเกี่ยวกับภาพวาดอันสวยงามของพระผู้ช่วยให้รอด ขณะเดินผ่านภาพศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เธอได้ยินลูกชายเอ่ยพระนาม “พระเยซู” ด้วยความคารวะ เธอก้มลงมองและเห็นเขากำลังกอดอกก้มศีรษะขณะดูภาพวาดเหล่านั้น เราเรียนรู้บางอย่างจากทอดด์หรือไม่เกี่ยวกับเจตคติของความอ่อนน้อม ความคารวะ และความรักพระเจ้า

ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว ดิฉันเห็นแบบอย่างของเด็กชายวัย 10 ขวบในอาร์เมเนีย ขณะที่เรารอการประชุมศีลระลึกเริ่ม เขาสังเกตเห็นสมาชิกสูงอายุที่สุดในสาขามาถึง เขาคือคนที่รีบไปอยู่ข้างเธอๆ ใช้แขนประคองไม่ให้เธอเดินสะดุด เขาพาเธอไปนั่งแถวหน้าเพื่อเธอจะได้ยิน การแสดงน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ของเขาสอนเราหรือไม่ว่าคนที่เป็นใหญ่ที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้าคือคนที่มองหาโอกาสรับใช้ผู้อื่น

เคธี เด็กหญิงปฐมวัย สอนเราขณะที่เราเห็นเธอมีอิทธิพลต่อครอบครัว เธอเข้าร่วมปฐมวัยและชื่นชอบคำสอนในพระกิตติคุณ ศรัทธาและประจักษ์พยานของเธอเพิ่มพูน เธอเขียนข้อความสั้นๆ ไว้บนหมอนของพ่อแม่ว่า ความจริงของพระกิตติคุณพบ “บ้านในใจเธอ” แล้ว เธอบอกว่าเธอปรารถนาจะใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์ เชื่อฟังพระบัญญัติ และให้ครอบครัวได้รับการผนึกในพระวิหาร ประจักษ์พยานอันเรียบง่ายของบุตรสาวที่น่ารักทำให้คุณพ่อคุณแม่ตื้นตันใจอย่างยิ่ง เคธีกับครอบครัวได้รับศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหารที่ผูกมัดครอบครัวพวกเขาไว้ด้วยกันตลอดกาล ใจที่เชื่อและแบบอย่างศรัทธาของเคธีช่วยนำพรนิรันดร์มาสู่ครอบครัวเธอ ประจักษ์พยานที่จริงใจของเธอและความปรารถนาจะดำเนินตามแผนของพระเจ้าทำให้เราเห็นชัดเจนขึ้นหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วอะไรสำคัญที่สุด

ครอบครัวเรากำลังเรียนรู้จากญาติสนิทวัยหกขวบชื่อเลียม ปีที่ผ่านมาเขาต่อสู้กับมะเร็งสมองขั้นลุกลาม หลังจากการผ่าตัดที่ยุ่งยากสองครั้ง เขาจะต้องรับการฉายแสงด้วย ในระหว่างการฉายแสงหลายต่อหลายครั้ง เขาต้องอยู่คนเดียวและนอนนิ่งๆ เลียมไม่ต้องการใช้ยากล่อมประสาทเพราะเขาไม่ชอบความรู้สึกสะลึมสะลือแบบนั้น เขาตั้งใจว่าถ้าเขาเพียงแต่ได้ยินเสียงคุณพ่อผ่านระบบสื่อสารภายใน เขาจะนอนนิ่งๆ โดยไม่ต้องใช้ยากล่อมประสาท

ในช่วงเวลาอันน่าหวั่นวิตกนี้ คุณพ่อพูดกับเขาด้วยคำพูดให้กำลังใจและความรักว่า “เลียม ถึงแม้ลูกจะไม่เห็นพ่อ แต่พ่ออยู่ที่นี่ พ่อรู้ว่าลูกทำได้ พ่อรักลูกนะ” เลียมรับการฉายแสงครบทั้ง 33 ครั้งโดยไม่ขยับเขยื้อน เป็นความสำเร็จที่คณะแพทย์ไม่คิดว่าเด็กอายุน้อยขนาดนี้จะทำได้หากไม่ใช้ยากล่อมประสาท ตลอดหลายเดือนของความเจ็บปวดและความยากลำบาก การมองในแง่ดีที่แผ่ขยายจากตัวเลียมเป็นแบบอย่างอันทรงพลังของการรับมือกับความทุกข์ยากด้วยความหวังและแม้แต่ความสุข คณะแพทย์ พยาบาล และคนอีกนับไม่ถ้วนได้รับแรงบันดาลใจจากความกล้าหาญของเขา

เราต่างเรียนรู้บทเรียนสำคัญจากเลียม—บทเรียนเกี่ยวกับการเลือกศรัทธาและการวางใจในพระเจ้า เช่นเดียวกับเลียมเราไม่เห็นพระบิดาบนสวรรค์ของเรา แต่เราสามารถฟังสุรเสียงของพระองค์ได้เพื่อให้พลังที่เราต้องใช้รับมือกับการท้าทายของชีวิต

แบบอย่างของเลียมช่วยให้เราเข้าใจมากขึ้นถ้อยคำของกษัตริย์เบ็นจามินมากขึ้นหรือไม่ที่บอกให้เราเป็นเหมือนเด็กๆ—ว่าง่าย อ่อนโยน ถ่อมตน อดทน และเปี่ยมด้วยความรัก (ดู โมไซยาห์ 3:19)

เด็กๆ เหล่านี้กำลังเป็นแบบอย่างของคุณสมบัติเหมือนเด็กบางประการที่เราต้องพัฒนาหรือค้นพบในตัวเราอีกครั้งเพื่อเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ พวกเขาเป็นวิญญาณสดใสที่ยังไม่มัวหมองเพราะโลก—ว่านอนสอนง่ายและเปี่ยมด้วยศรัทธา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีความรักและชื่นชมเด็กเล็กๆ เป็นพิเศษ

ในบรรดาเหตุการณ์อันล้ำเลิศเมื่อครั้งพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จเยือนอเมริกานั้น การปฏิบัติศาสนกิจด้วยความอ่อนโยนต่อเด็กๆ นับว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ พระองค์ทรงเอื้อมพระหัตถ์ให้เด็กแต่ละคนด้วยท่าทีที่อ่อนโยน

“และพระองค์ทรงพาเด็กเล็กๆ ของพวกเขามา, ทีละคน, และประทานพรให้พวกเขา, และทรงสวดอ้อนวอนถึงพระบิดาเพื่อพวกเขา.

“และเมื่อพระองค์ทรงทำสิ่งนี้แล้ว พระองค์ทรงกันแสง …

“และพระองค์รับสั่งกับฝูงชน, และตรัสกับพวกเขาว่า: จงดูเด็กเล็กๆ ของเจ้า” (3 นีไฟ 17:21–23)

เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดสอนเราถึงความสำคัญของพระดำรัสเตือนจากพระผู้ช่วยให้รอดให้ “ดูเด็กเล็กๆ ของเจ้า” เมื่อท่านกล่าวว่า “จงสังเกตว่าพระองค์มิได้ตรัสให้ ‘มองพวกเขาผ่านๆ’ หรือ ‘มองแบบไม่ตั้งใจ’ หรือ ‘มองกราดเป็นครั้งคราว’ พระองค์ตรัสให้ ดู พวกเขา สำหรับข้าพเจ้าแล้วนี่หมายความว่าเราควรยอมรับพวกเขาด้วยสายตาและด้วยใจ เราควรมองเห็นและชื่นชมเด็กๆ อย่างที่พวกเขาเป็นจริงๆ พวกเขาเป็นลูกทางวิญญาณของพระบิดาบนสวรรค์ผู้มีคุณลักษณะอันสูงส่ง” (“Behold Your Little Ones,” Tambuli, Oct. 1994, 40; เน้นตัวเอน)

ไม่มีสถานที่ใดเหมาะจะดูเด็กเล็กๆ ของเรามากกว่าในครอบครัวเรา บ้านเป็นที่ที่เราทุกคนเรียนรู้และเติบโตด้วยกันได้ เพลงปฐมวัยที่ไพเราะเพลงหนึ่งสอนความจริงข้อนี้:

พระผู้เป็นเจ้าประทาน

ครอบครัวให้เราตามพระประสงค์ที่ทรงช่วย—

เราทรงแบ่งปันความรักนี้

เพราะครอบครัวมาจากพระองค์

ในครอบครัวเรา ในบรรยากาศของความรักนี่เองที่เรามองเห็นใกล้ตัวมากขึ้นและชื่นชมคุณลักษณะอันสูงส่งของลูกๆ ทางวิญญาณของพระองค์ ในครอบครัวเรานี่เองที่จิตใจเราอ่อนโยนลงและในความอ่อนน้อมนี่เองที่เราปรารถนาจะเปลี่ยน เป็นเหมือนเด็กมากขึ้น นี่คือกระบวนการหนึ่งที่เราสามารถเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

ประสบการณ์ชีวิตบางอย่างได้นำใจที่เชื่อและศรัทธาเหมือนเด็กที่ท่านเคยมีไปจากท่านหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้น จงมองเด็กๆ รอบตัวท่าน แล้วมองดูอีกครั้ง พวกเขาอาจเป็นเด็กในครอบครัวท่าน เด็กบ้านตรงข้าม หรือเด็กปฐมวัยในวอร์ด หากเรามีใจใฝ่เรียนรู้และเต็มใจทำตามแบบอย่างของเด็กๆ คุณลักษณะแห่งสวรรค์ของพวกเขาจะสามารถไขกุญแจการเติบโตทางวิญญาณของเราได้

ดิฉันจะสำนึกคุณตลอดไปสำหรับพรของการมีบุตรของตนเอง แบบอย่างของพวกเขาแต่ละคนสอนบทเรียนที่ดิฉันต้องได้รับ พวกเขาช่วยให้ดิฉันเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น

ดิฉันแสดงประจักษ์ด้วยความอ่อนน้อมแต่มั่นคงว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระองค์ทรงเป็นพระบุตรที่ดีพร้อม—ว่าง่าย อ่อนโยน ถ่อมตน อดทน และเปี่ยมด้วยความรัก ขอให้เราแต่ละคนมีใจปรารถนาจะทำตามแบบอย่างของพระองค์ เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ เพื่อจะได้กลับบ้านบนสวรรค์ของเรา ดิฉันสวดอ้อนวอนในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน