ความปรารถนา
เพื่อบรรลุจุดหมายนิรันดร์ของเรา เราต้องปรารถนาและพยายามมีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการเป็นสัตภาวะนิรันดร์
ข้าพเจ้าเลือกพูดเรื่องความสำคัญของ ความปรารถนา และหวังว่าเราแต่ละคนจะสำรวจใจตนดูว่าจริงๆ แล้วเราปรารถนาสิ่งใดและเราจัดลำดับความปรารถนาที่สำคัญที่สุดของเราอย่างไร
ความปรารถนาบงการลำดับความสำคัญของเรา ลำดับความสำคัญหล่อหลอมการเลือกของเรา และการเลือกกำหนดการกระทำของเรา ความปรารถนาที่เราทำตามเป็นตัวกำหนดการเปลี่ยนแปลงของเรา สิ่งที่เราทำสำเร็จ และสิ่งที่เราจะเป็น
ข้าพจ้าขอพูดถึงความปรารถนาบางประการทั่วไปก่อน ในความเป็นมนุษย์เรามีความต้องการพื้นฐานทางกายบางอย่าง ความปรารถนาที่จะสนองความต้องการเหล่านี้ผลักดันการเลือกของเราและกำหนดการกระทำของเรา สามตัวอย่างต่อไปนี้จะแสดงให้เห็นว่าบางครั้งเราแทนที่ความปรารถนาเหล่านี้ด้วยความปรารถนาอื่นที่เราเห็นว่าสำคัญกว่า
หนึ่ง อาหาร เรามีความต้องการพื้นฐานด้านอาหาร แต่ความปรารถนานั้นแทนที่ได้ชั่วครั้งชั่วคราวด้วยความปรารถนาที่แรงกล้ากว่าซึ่งก็คือการอดอาหาร
สอง ที่หลบภัย สมัยเป็นเด็กอายุ 12 ขวบข้าพเจ้าต้านความปรารถนาจะมีที่หลบภัยเพราะมีความปรารถนาแรงกล้ากว่านั้นคืออยากใช้เวลาค้างคืนในป่าตามข้อกำหนดของลูกเสือ ข้าพเจ้ากลับเป็นหนึ่งในเด็กผู้ชายหลายคนที่ออกจากเต็นท์สุขสบายไปหาวิธีสร้างที่หลบภัยและต่อเตียงแบบง่ายๆ จากวัสดุธรรมชาติที่เราหาได้
สาม การนอนหลับ แม้แต่ความปรารถนาพื้นฐานนี้ก็ยังถูกแทนที่ชั่วคราวได้ด้วยความปรารถนาที่สำคัญกว่า สมัยเป็นทหารหนุ่มในกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิยูทาห์ ข้าพเจ้าเรียนรู้ตัวอย่างเรื่องนี้จากทหารชำนาญศึกนายหนึ่ง
ในช่วงเดือนแรกๆ ของสงครามเกาหลี กองร้อยทหารปืนใหญ่ประจำกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิยูทาห์ริชฟิลด์ถูกเรียกเข้าประจำการ กองร้อยดังกล่าวบัญชาการโดยร้อยเอกเรย์ ค็อกซ์ ประกอบด้วยทหารมอรมอนราว 40 นาย หลังจากฝึกเพิ่มและมีกองหนุนจากที่อื่นมาเสริม พวกเขาถูกส่งไปเกาหลีที่พวกเขาประสบกับการต่อสู้ดุเดือดที่สุดของสงครามคราวนั้น ในการสู้รบครั้งหนึ่งพวกเขาต้องตอบโต้การจู่โจมทันควันของทหารราบฝ่ายตรงข้ามหลายร้อยนาย การโจมตีแบบที่บุกทำลายกองร้อยทหารปืนใหญ่กองอื่น
นี่เกี่ยวอะไรกับการเอาชนะความปรารถนาจะนอนหลับ? ในระหว่างคืนวิกฤติคืนหนึ่งเมื่อทหารราบฝ่ายตรงข้ามเคลื่อนผ่านแนวหน้าเข้ามาในเขตแนวหลังที่มีปืนใหญ่ ร้อยเอกคนนั้นให้ต่อสายโทรศัพท์จากสนามรบเข้ามาในเต็นท์ของเขาและสั่งให้ทหารยามลาดตระเวนจำนวนมากโทรหาเขาโดยตรงทุกชั่วโมงตลอดคืนที่ยาวนานนั้น ทหารยามจึงต้องตื่นตลอดเวลา แต่ก็หมายความว่าร้อยเอกค๊อกซ์ถูกขัดจังหวะการนอนหลายครั้งเช่นกัน “คุณทำได้อย่างไร?” ข้าพเจ้าถามเขา คำตอบของเขาแสดงให้เห็นพลังของความปรารถนาที่เหนือกว่า
“ผมรู้ว่าถ้าเราได้กลับบ้าน ผมจะเจอกับพ่อแม่ของเด็กหนุ่มเหล่านั้นตามท้องถนนในเมืองเล็กๆ ของเรา และผมไม่อยากพบหน้าพวกเขาถ้าลูกชายพวกเขาไม่ได้กลับบ้านเพราะผมไม่ได้ทำตามหน้าที่ในฐานะผู้บังคับบัญชา”1
นี่คือตัวอย่างของพลังความปรารถนาที่เหนือกว่าในด้านลำดับความสำคัญและการกระทำ! นี่คือแบบอย่างอันทรงพลังสำหรับเราทุกคนผู้รับผิดชอบสวัสดิภาพของผู้อื่น—บิดามารดา ผู้นำในศาสนจักร และครูทุกคน!
ตอนจบของเรื่องนี้คือเช้าตรู่หลังจากคืนที่เขาแทบไม่ได้นอน ร้อยเอกค็อกซ์นำทหารของเขาตีโต้ทหารราบฝ่ายตรงข้าม จับเชลยศึกได้ 800 คน และพวกเขาได้รับบาดเจ็บเพียงสองนาย ค็อกซ์ได้เหรียญกล้าหาญและกองร้อยของเขาได้รับ Presidential Unit Citation [บำเหน็จความดีความชอบจากประธานาธิบดี] สำหรับวีรกรรมอันโดดเด่น และเฉกเช่นทหารหนุ่มของฮีลามัน (ดู แอลมา 57:25–26) ทหารทุกนายได้กลับบ้าน2
พระคัมภีร์มอรมอนมีคำสอนมากมายเกี่ยวกับความสำคัญของความปรารถนา
หลังจากอีนัสทูลวิงวอนพระเจ้าหลายชั่วโมง พระองค์รับสั่งว่าบาปของเขาได้รับการอภัย จากนั้นเขา “เริ่มรู้สึกปรารถนาให้ …, พี่น้อง [ของเขา] มีความผาสุก” (อีนัส 1:9) เขาเขียนว่า “และ … หลังจากข้าพเจ้าได้สวดอ้อนวอนและทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสุดความสามารถแล้ว, พระเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้า: เราจะให้เจ้าตามความปรารถนาของเจ้า, เพราะศรัทธาของเจ้า” (ข้อ 12) สังเกตองค์ประกอบสำคัญสามอย่างที่มาก่อนพรที่สัญญาไว้: ความปรารถนา การทำงาน และศรัทธา
ในโอวาทของแอลมาเรื่องศรัทธา เขาสอนว่าศรัทธาสามารถเริ่มต้น “ไม่ได้มากไปกว่า [ความ] ปรารถนาที่จะเชื่อ” ถ้าเราจะ “ให้ความปรารถนานี้เกิดผลในเรา” (แอลมา 32:27)
การสอนครั้งสำคัญอีกครั้งเกี่ยวกับความปรารถนา โดยเฉพาะเกี่ยวกับสิ่งที่ควรเป็นความปรารถนาสูงสุดของเรา เกิดขึ้นในประสบการณ์ของกษัตริย์ชาวเลมันที่ผู้สอนศาสนาชื่อแอรันสอนเขา เมื่อการสอนของแอรันดึงดูดความสนใจของกษัตริย์ กษัตริย์ถามว่า “ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรเพื่อจะเกิดจากพระผู้เป็นเจ้า” และ “มีชีวิตนิรันดร์?” (แอลมา 22:15) แอรันตอบว่า “หากท่านปรารถนาสิ่งนี้, … หากท่านจะกลับใจจากบาปทั้งหมดของท่าน, และจะน้อมกายลง ณ เบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า, และเรียกหาพระนามของพระองค์ด้วยศรัทธา, และเชื่อว่าท่านจะได้รับ, เมื่อนั้นท่านจะได้รับความหวังซึ่งท่านปรารถนา” (ข้อ 16)
กษัตริย์ทำตามและประกาศในการสวดอ้อนวอนอย่างมีพลังว่า “ข้าพระองค์จะทิ้งบาปทั้งหมดของข้าพระองค์เพื่อรู้จักพระองค์, … และได้รับการช่วยให้รอดในวันสุดท้าย” (ข้อ 18) ด้วยการให้คำมั่นและการระบุความปรารถนาสูงสุดของเขา คำสวดอ้อนวอนของเขาได้รับคำตอบอย่างน่าอัศจรรย์
ศาสดาพยากรณ์แอลมามีความปรารถนาแรงกล้าอยากป่าวร้องการกลับใจแก่คนทั้งปวง แต่ท่านเข้าใจว่าท่านไม่ควรปรารถนาจะใช้กำลังบังคับเพราะท่านสรุปว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเที่ยงธรรม, … ประทานให้มนุษย์ตามความปรารถนาของพวกเขา, ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อความตายหรือเพื่อชีวิต” (แอลมา 29:4) ทำนองเดียวกัน ในการเปิดเผยยุคปัจจุบันพระเจ้าทรงประกาศว่าพระองค์ ”จะพิพากษามนุษย์ทั้งปวงตามงานของพวกเขา, ตามความปรารถนาของใจพวกเขา” (ค&พ. 137:9)
เราพร้อมจริงหรือที่จะให้พระผู้พิพากษานิรันดร์ของเราให้ความสำคัญขนาดนี้กับสิ่งที่เราปรารถนาจริงๆ?
พระคัมภีร์หลายข้อพูดถึงสิ่งที่เราปรารถนาในแง่ของสิ่งที่เราแสวงหา “คนที่แสวงหาเราแต่แรกจะพบเรา, และจะไม่ถูกทอดทิ้ง” (ค&พ. 88:83) “เจ้าจงแสวงหาของประทานที่ดีที่สุดอย่างตั้งใจจริง” (ค&พ. 46:8) “เขาผู้ที่แสวงหาอย่างขยันหมั่นเพียรจะพบ” (1 นีไฟ 10:19) “จงมาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า” (ค&พ. 88:63)
การปรับเปลี่ยนความปรารถนาของเราใหม่เพื่อให้ความสำคัญสูงสุดกับเรื่องของนิรันดรไม่ใช่เรื่องง่าย เราทุกคนถูกล่อลวงให้ปรารถนาสิ่งทางโลกสี่อย่าง ได้แก่ ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง ความภาคภูมิใจ และอำนาจ เราอาจจะปรารถนาสิ่งเหล่านี้ แต่เราไม่ควรกำหนดให้สิ่งดังกล่าวมีความสำคัญสูงสุด
คนที่ความปรารถนาสูงสุดของพวกเขาคือการได้ครอบครองสมบัติพัสถานจะตกหลุมพรางของวัตถุนิยม พวกเขาไม่เอาใจใส่คำเตือนที่ว่า “อย่าแสวงหาความมั่งคั่งหรือสิ่งที่ไร้ประโยชน์ของโลกนี้” (แอลมา 39:14; ดู เจคอบ 2:18 ด้วย)
คนที่ปรารถนาชื่อเสียงหรืออำนาจควรทำตามแบบอย่างของแม่ทัพโมโรไนผู้องอาจกล้าหาญ เขาไม่ได้รับใช้เพื่อ “อำนาจ” หรือเพื่อ “เกียรติยศของโลก” (แอลมา 60:36)
เราพัฒนาความปรารถนาอย่างไร? น้อยคนมีวิกฤตแบบที่ผลักดันแอรอน ราลสตัน3 แต่ประสบการณ์ของเขาให้บทเรียนอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับการพัฒนาความปรารถนา ขณะราลสตันเดินเข้าไปในหุบเขาลึกไกลโพ้นทางใต้ของรัฐยูทาห์ ก้อนหินหนัก 800 ปอนด์ (360 กิโลกรัม) หล่นมาทับแขนขวาของเขา เขาพยายามเอาแขนออกจากก้อนหินอยู่คนเดียวห้าวัน เมื่อเกือบจะยอมแพ้และยอมรับความตาย เขาเห็นภาพเด็กผู้ชายวัยสามขวบกำลังวิ่งมาหาและเขาใช้แขนซ้ายช้อนตัวเด็กขึ้นมา ราลสตันเข้าใจว่านี่เป็นภาพของลูกชายในอนาคตและมั่นใจว่าตนจะยังมีชีวิตอยู่ได้ เขาจึงรวบรวมความกล้าและลงมือช่วยชีวิตตนเองอย่างสุดกำลังก่อนหมดแรง เขาหักกระดูกแขนขวาสองท่อนที่ก้อนหินทับอยู่แล้วใช้มีดพับตัดแขนข้างนั้น จากนั้นก็รวบรวมกำลังเดินไปห้าไมล์ (8 กิโลเมตร) เพื่อขอความช่วยเหลือ4 นี่เป็นตัวอย่างของพลังความปรารถนาอันล้นเหลือ! เมื่อเราเห็นภาพว่าเราสามารถเป็นอะไรได้ ความปรารถนาและพลังของเราที่จะกระทำจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
พวกเราส่วนใหญ่ไม่เคยประสบวิกฤติร้ายแรงสุดขีดเช่นนี้ แต่เราทุกคนพบเจอหลุมพรางที่อาจขัดขวางไม่ให้เราก้าวหน้าสู่จุดหมายนิรันดร์ ถ้าความปรารถนาอันชอบธรรมของเราแรงกล้าพอ ความปรารถนาเหล่านั้นจะผลักดันเราให้ตัดและเฉือนตัวเองออกจากการเสพติดและแรงกดดันกับความสำคัญอื่นๆ อันเป็นบาป ซึ่งขัดขวางความก้าวหน้านิรันดร์ของเรา
เราควรจดจำว่าความปรารถนาอันชอบธรรมจะตื้นเขิน ชั่ววูบ หรือชั่วคราวไม่ได้ ความปรารถนานั้นต้องจริงใจ เด็ดเดี่ยว และถาวร เมื่อถูกผลักดัน เราจะแสวงหาสภาพที่ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธอธิบายไว้ สภาพที่เรา “เอาชนะความชั่วร้ายของ [ชีวิตเรา] และหมดความปรารถนาจะทำบาปทุกอย่าง”5 นั่นเป็นการตัดสินใจส่วนตัว ตามที่เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์กล่าว:
“เมื่อบอกว่าผู้คน ‘หมดความปรารถนาจะทำบาป’ พวกเขา และพวกเขาเท่านั้น ที่ตัดสินใจอย่างรอบคอบว่าจะทำให้ตนหมดความปรารถนาผิดๆ เหล่านั้นโดยยินดี ‘ทิ้งบาปของพวกเขา’ เพื่อจะได้รู้จักพระผู้เป็นเจ้า”
“ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่เราปรารถนาอย่างไม่ลดละ เมื่อเวลาผ่านไป เราจะกลายเป็นสิ่งนั้นในท้ายที่สุดและจะได้รับสิ่งนั้นในนิรันดร”6
การหมดสิ้นความปรารถนาจะทำบาปทุกอย่างเป็นเรื่องสำคัญ แต่ชีวิตนิรันดร์เรียกร้องมากกว่านั้น เพื่อบรรลุจุดหมายนิรันดร์ของเรา เราต้องปรารถนาและดำรงตนให้มีคุณสมบัติที่จำเป็นต่อการเป็นสัตภาวะนิรันดร์ ตัวอย่างเช่น สัตภาวะนิรันดร์ให้อภัยทุกคนที่ทำผิดต่อพวกเขา พวกเขาให้สวัสดิภาพของผู้อื่นมาก่อนตนเอง พวกเขารักบุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า ถ้านี่ดูยากเกินไป—และแน่นอนว่าไม่ง่ายสำหรับเราทุกคน—ขอให้เราเริ่มด้วยความปรารถนาจะมีคุณสมบัติเช่นนั้น และร้องทูล พระบิดาบนสวรรค์ที่รักของเราขอให้ทรงช่วยเราจัดการกับความรู้สึกของเรา พระคัมภีร์มอรมอนสอนเราว่าเราควร “สวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, เพื่อ [เรา] จะเปี่ยมด้วยความรักนี้, ซึ่งพระองค์ประทานให้ทุกคนซึ่งเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์”(โมโรไน 7:48)
ข้าพเจ้าทิ้งท้ายด้วยตัวอย่างสุดท้ายของความปรารถนาที่ชายหญิงทุกคนควรให้ความสูงสุด—คนที่ปัจจุบันแต่งงานแล้วและคนที่เป็นโสด ทุกคนควรปรารถนาและจริงจังกับการได้แต่งงานเพื่อนิรันดร คนที่แต่งงานในพระวิหารแล้วควรทำสุดความสามารถเพื่อรักษาการแต่งงานเอาไว้ คนที่เป็นโสดควรปรารถนาจะแต่งงานในพระวิหารและทุ่มเททำสิ่งสำคัญๆ เพื่อให้ได้แต่งงานในพระวิหาร เยาวชนและหนุ่มสาวโสดควรต่อต้านแนวคิดที่ถูกต้องทางการเมืองแต่เป็นเท็จชั่วนิรันดร์ แนวคิดที่ทำลายความสำคัญของการแต่งงานและการมีบุตร7
ชายโสดทั้งหลายได้โปรดพิจารณาคำท้าในจดหมายฉบับนี้ที่เขียนโดยหญิงโสดท่านหนึ่ง เธอวิงวอนแทน “ธิดาที่ชอบธรรมของพระผู้เป็นเจ้าผู้กำลังมองหาคู่ครองที่มีค่าควร แต่ดูเหมือนผู้ชายตาบอดและสับสนว่าการเสาะหาธิดาที่ดีเยี่ยมและยอดเยี่ยมเหล่านี้ของพระบิดาบนสวรรค์ การจีบพวกเธอ และการเต็มใจทำและรักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าเป็นหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาหรือไม่” เธอทิ้งท้ายว่า “ชายโสดแอลดีเอสหลายคนที่นี่มีความสุขกับการไปออกเดทเที่ยวเล่นสนุกสาน แต่ไม่มีความปรารถนาจะทำข้อผูกมัดใดๆ กับผู้หญิง”8
ข้าพเจ้าแน่ใจว่าชายหนุ่มบางคนที่ขวนขวายเสาะแสวงหาคงต้องการให้ข้าพเจ้าเสริมว่ามีหญิงสาวบางคนที่มีความปรารถนาจะแต่งงานอย่างมีค่าควรและมีบุตรน้อยกว่าความปรารถนาต่องานอาชีพหรือเกียรติยศชื่อเสียงของมนุษย์ ทั้งชายและหญิงจำเป็นต้องมีความปรารถนาอันชอบธรรมที่จะนำพวกเขาไปสู่ชีวิตนิรันดร์
ขอให้เราจดจำว่าความปรารถนาบงการลำดับความสำคัญของเรา ลำดับความสำคัญหล่อหลอมการเลือกของเรา และการเลือกกำหนดการกระทำของเรา นอกจากนี้การกระทำและความปรารถนาของเรายังทำให้เรากลายเป็นบางอย่างด้วย ไม่ว่าจะเป็นมิตรแท้ ครูที่มีพรสวรรค์ หรือผู้มีคุณสมบัติคู่ควรรับชีวิตนิรันดร์
ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์ผู้ซึ่งความรัก คำสอน และการชดใช้ของพระองค์ทำให้ทุกสิ่งเป็นไปได้ เหนือสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราปรารถนาจะเป็นเหมือนพระองค์ ทั้งนี้เพื่อสักวันหนึ่งเราจะได้กลับไปรับความบริบูรณ์แห่งปีติในที่ประทับของพระองค์ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน