โอกาสให้ทำดี
วิธีของพระเจ้าในการช่วยคนตกทุกข์ได้ยากทางโลกมักเรียกร้องให้ผู้คนอุทิศถวายตนเองและสิ่งที่มีด้วยความรักแด่พระผู้เป็นเจ้าและงานของพระองค์
พี่น้องที่รักทั้งหลาย จุดประสงค์ของข่าวสารนี้คือเพื่อเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลองสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไว้และทรงทำอยู่เพื่อรับใช้คนยากจนและคนขัดสนท่ามกลางลูกๆ ของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงรักลูกๆ ที่ตกทุกข์ได้ยากเช่นเดียวกับลูกๆ ที่ต้องการช่วย พระองค์ทรงสร้างสรรค์วิธีเพื่อเป็นพรทั้งแก่ผู้ต้องการความช่วยเหลือและผู้จะให้ความช่วยเหลือ
พระบิดาบนสวรรค์ของเราทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของลูกๆ พระองค์ทั่วโลกผู้กำลังทูลขออาหารรับประทาน ขอเครื่องนุ่งห่มคลุมกาย และขอศักดิ์ศรีที่จะมาจากการสามารถหาเลี้ยงตนเองได้ คำวิงวอนเหล่านั้นขึ้นถึงพระองค์ตั้งแต่พระองค์ทรงวางชายหญิงไว้บนแผ่นดินโลก
ท่านทราบความต้องการเหล่านั้นในที่ซึ่งท่านอยู่และจากทั่วโลก ใจท่านมักหวั่นไหวด้วยความรู้สึกเห็นอกเห็นใจ เมื่อท่านพบคนที่กำลังดิ้นรนหางานทำท่านรู้สึกปรารถนาจะช่วย ท่านรู้สึกอย่างนั้นเมื่อท่านเข้าไปในบ้านของหญิงม่ายและเห็นว่าเธอว่าไม่มีอาหาร ท่านรู้สึกอย่างนั้นเมื่อท่านเห็นรูปเด็กกำลังร้องไห้นั่งอยู่ท่ามกลางซากบ้านที่พังทลายจากแผ่นดินไหวหรืออัคคีภัย
เพราะพระเจ้าทรงได้ยินเสียงร้องของพวกเขาและทรงรู้สึกว่าท่านสงสารพวกเขามาก พระองค์จึงทรงจัดหาวิธีตั้งแต่กาลเริ่มต้นให้สานุศิษย์ของพระองค์ได้ช่วยเหลือ พระองค์ทรงเชื้อเชิญลูกๆ ของพระองค์ให้อุทิศถวายเวลา ทรัพย์สินเงินทอง และตนเองเพื่อมีส่วนกับพระองค์ในการรับใช้ผู้อื่น
วิธีช่วยของพระองค์บางครั้งเรียกว่าการดำเนินชีวิตตามกฎแห่งการอุทิศถวาย บางช่วงวิธีของพระองค์เรียกว่า ระเบียบเอกภาพ ในสมัยของเราเรียกว่าโครงการสวัสดิการของศาสนจักร
ชื่อและรายละเอียดการดำเนินงานเปลี่ยนไปตามความจำเป็นและสภาพของผู้คน แต่วิธีของพระเจ้าในการช่วยคนตกทุกข์ได้ยากทางโลกมักเรียกร้องให้ผู้คนอุทิศถวายตนเองและสิ่งที่มีด้วยความรักแด่พระผู้เป็นเจ้าและงานของพระองค์
พระองค์ทรงเชื้อเชิญและทรงบัญชาเราให้มีส่วนในงานของพระองค์เพื่อจุนเจือคนตกทุกข์ได้ยาก เราทำพันธสัญญาว่าจะทำเช่นนั้นในน้ำบัพติศมาและในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า เราต่อพันธสัญญาในวันอาทิตย์เมื่อเรารับส่วนศีลระลึก
จุดประสงค์ของข้าพเจ้าวันนี้คือเพื่ออธิบายโอกาสบางอย่างที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้เราช่วยคนตกทุกข์ได้ยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดทั้งหมดได้ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ แต่หวังว่าจะช่วยสร้างและเสริมความตั้งใจของท่านให้ลงมือทำมากขึ้น
มีเพลงสวดเพลงหนึ่งเกี่ยวกับพระดำรัสเชื้อเชิญให้ทำงานนี้ที่ข้าพเจ้าร้องตั้งแต่เป็นเด็กตัวเล็กๆ ในวัยเด็กข้าพเจ้าสนใจทำนองสนุก ๆ มากกว่าพลังของเนื้อเพลง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ท่านซาบซึ้งกับเนื้อร้องในใจท่านวันนี้ เราจะฟังเนื้อเพลงนั้นอีกครั้ง:
ฉันทำความดีบ้างหรือไม่ในโลกวันนี้?
ฉันปรานีคนขัดสนบ้างไหม?
ฉันได้ปลอบคนหมองหม่นช่วยคนให้เบิกบานไหม?
หากไม่ฉันล้มเหลวแน่นา
มีภาระใครถูกแบ่งไปไหมวันนี้
เพราะว่าฉันยินดีที่จะช่วย?
คนเจ็บป่วยระทวยแรงล้าถูกรักษาหรือเปล่า?
เมื่อเขาอยากให้ช่วยฉันอยู่นั่นไหม?
แล้วรีบตื่นทำมากขึ้นอีกหน่อย
อย่าคอยฝันแต่สวรรค์เลิศล้ำ
การทำดีเป็นความเพลิดเพลินสุขสันต์เกินจะเปรียบปาน
เป็นพรแห่งงานหน้าที่และรัก1
พระเจ้าทรงปลุกเราทุกคนเป็นประจำให้รีบตื่น บางครั้งอาจเป็นความรู้สึกเห็นใจคนตกทุกข์ได้ยากที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บิดาอาจรู้สึกอย่างนั้นเมื่อเขาเห็นลูกหกล้มหัวเข่าถลอก มารดาอาจรู้สึกอย่างนั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงลูกร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวตอนกลางคืน ลูกชายหรือลูกสาวอาจรู้สึกเห็นใจคนที่ดูเศร้าสร้อยหรือหวาดกลัวที่โรงเรียน
เราทุกคนเคยเกิดความรู้สึกเห็นใจคนที่เราไม่รู้จัก ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านได้ยินข่าวเรื่องคลื่นถาโถมจากแปซิฟิกหลังเกิดแผ่นดินไหวในญี่ปุ่น ท่านรู้สึกเป็นห่วงคนที่อาจเป็นอันตราย
ความรู้สึกเห็นใจเกิดกับท่านหลายพันคนผู้ทราบข่าวอุทกภัยในควีนส์แลนด์ ออสเตรเลีย รายงานข่าวส่วนใหญ่จะประมาณการจำนวนผู้ประสบภัย แต่หลายท่านรู้สึกถึงความเจ็บปวดของผู้คน สมาชิกศาสนจักรในออสเตรเลียกว่า 1,500 คนตอบรับเสียงปลุกให้ตื่นโดยอาสาไปช่วยและปลอบขวัญ
พวกเขาเปลี่ยนความรู้สึกเห็นใจเป็นการตัดสินใจลงมือทำตามพันธสัญญา ข้าพเจ้าเห็นพรที่มาถึงคนตกทุกข์ได้ยากผู้ได้รับความช่วยเหลือและมาถึงคนที่คว้าโอกาสให้ช่วย
บิดามารดาที่ฉลาดเห็นความต้องการต่างๆ ของผู้อื่นเป็นวิธีที่นำพรมาสู่ชีวิตบุตรธิดาของตน เมื่อเร็วๆ นี้เด็กสามคนถือภาชนะใส่อาหารหอมกรุ่นมาหน้าประตูบ้านของเรา พ่อแม่รู้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือ จึงเปิดโอกาสให้ลูกๆ ได้รับใช้เรา
บิดามารดาเป็นพรแก่ครอบครัวเราด้วยการยินดีรับใช้เรา การเลือกให้ลูกๆ มีส่วนในการให้เท่ากับพวกเขาขยายพรไปถึงหลานๆ ในอนาคต รอยยิ้มของเด็กๆ ขณะพวกเขาออกจากบ้านเราทำให้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพรนั้นจะเกิดขึ้น พวกเขาจะเล่าให้ลูกๆ ฟังถึงปีติที่พวกเขารู้สึกขณะรับใช้พระเจ้าด้วยใจยินดี ข้าพเจ้าจำความรู้สึกพอใจในวัยเด็กได้ขณะถอนวัชพืชให้เพื่อนบ้านคนหนึ่งตามคำชวนของคุณพ่อ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้เป็นผู้ให้ข้าพเจ้าจะนึกถึงและเชื่อเนื้อเพลงสวด “แสนหวานงานเลิศขอเทิดราชัน”2
ข้าพเจ้าทราบว่าเนื้อร้องของเพลงนี้เขียนขึ้นเพื่อพรรณนาถึงปีติอันเกิดจากการนมัสการพระเจ้าในวันสะบาโต แต่เด็กๆ ที่ถืออาหารอยู่ประตูบ้านของเรารู้สึกถึงปีติจากการทำงานของพระเจ้าในวันธรรมดา และพ่อแม่ของพวกเขาเห็นโอกาสให้ทำดีและขยายปีติไปถึงคนหลายรุ่น
วิธีของพระเจ้าในการดูแลคนขัดสนเปิดอีกโอกาสหนึ่งให้พ่อแม่ได้เป็นพรแก่ลูกๆ ข้าพเจ้าเห็นเช่นนั้นในห้องนมัสการวันอาทิตย์วันหนึ่ง เด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งยื่นซองบริจาคของครอบครัวเขาให้อธิการขณะอธิการเข้ามาในห้องนมัสการก่อนการประชุมศีลระลึก
ข้าพเจ้ารู้จักครอบครัวและเด็กคนนั้น ครอบครัวเพิ่งทราบว่ามีคนในวอร์ดต้องการความช่วยเหลือ พ่อของเด็กพูดทำนองนี้กับลูกขณะใส่เงินบริจาคอดอาหารในซองมากกว่าปกติ “เราอดอาหารวันนี้และสวดอ้อนวอนให้คนตกทุกข์ได้ยาก ให้ซองนี้กับอธิการแทนเรานะลูก พ่อรู้ว่าอธิการจะเอาเงินส่วนนี้ไปช่วยคนที่ลำบากกว่าเรา”
แทนที่จะทรมานเพราะความหิวในวันอาทิตย์ ลูกชายจะจดจำวันนั้นด้วยความอบอุ่นใจ ข้าพเจ้าบอกได้จากรอยยิ้มของเขาและท่าทางที่เขากำซองแน่นมากเพราะรู้สึกเชื่ออย่างที่พ่อพูดว่าอธิการจะนำเงินบริจาคของครอบครัวไปให้คนยากจน เขาจะนึกถึงวันนั้นเมื่อเขาเป็นมัคนายก และอาจจะตลอดไป
ข้าพเจ้าเห็นความสุขเดียวกันนี้ในสีหน้าของผู้คนที่ช่วยแทนพระเจ้าในไอดาโฮเมื่อหลายปีก่อน เขื่อนเททันแตกในวันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน 1976 มีคนเสียชีวิตสิบเอ็ดคน หลายพันคนต้องออกจากบ้านภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง บ้านบางหลังถูกน้ำซัดไป ที่พักอาศัยหลายร้อยหลังที่พอจะอยู่ได้สร้างจากแรงงานและทุนทรัพย์ซึ่งเกินกำลังความสามารถของเจ้าของ
คนที่ทราบข่าวโศกนาฏกรรมครั้งนี้ต่างรู้สึกเห็นใจและบางคนรู้สึกว่าต้องทำความดี เพื่อนบ้าน อธิการ ประธานสมาคมสงเคราะห์ ผู้นำโควรัม ผู้สอนประจำบ้านและผู้เยี่ยมสอนพากันออกจากบ้านและที่ทำงานไปทำความสะอาดบ้านของคนที่ถูกน้ำท่วม
สามีภรรยาคู่หนึ่งกลับจากพักร้อนมาถึงเร็กซ์เบิร์กหลังเกิดอุทกภัยพอดี พวกเขาไม่ไปดูบ้านของตน แต่ไปพบอธิการเพื่อถามว่าจะไปช่วยที่ไหนได้บ้าง อธิการบอกพวกเขาให้ไปช่วยครอบครัวที่เดือดร้อน
หลังจากนั้นไม่กี่วัน พวกเขากลับไปสำรวจบ้านของตน ปรากฏว่าบ้านถูกน้ำซัดไปแล้ว พวกเขาเดินกลับไปหาอธิการและถามว่า “ตอนนี้ คุณอยากให้พวกเราทำอะไร”
ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ท่านคงเห็นปาฏิหาริย์ของความเห็นใจเปลี่ยนเป็นการกระทำอย่างไม่เห็นแก่ตัวมาแล้ว แต่อาจไม่หลังเกิดภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ ข้าพเจ้าเคยเห็นเช่นนั้นในโควรัมฐานะปุโรหิตเมื่อบราเดอร์คนหนึ่งลุกขึ้นพูดถึงความเดือดร้อนของชายหรือหญิงที่หาโอกาสทำงานเพื่อจุนเจือตนเองและครอบครัว ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเห็นใจในห้องนั้น แต่มีบางคนเสนอชื่อผู้ที่อาจจะจ้างคนนั้นทำงาน
สิ่งที่เกิดขึ้นในโควรัมฐานะปุโรหิตและสิ่งที่ญเกิดขึ้นในบ้านที่ถูกน้ำท่วมในไอดาโฮคือรูปแบบการช่วยคนเดือดร้อนอย่างหนักให้พึ่งพาตนเองได้ตามวิธีของพระเจ้า เรารู้สึกสงสารและเรารู้วิธีช่วยตามวิธีของพระเจ้า
เราฉลองครบรอบ 75 ปีโครงการสวัสดิการของศาสนจักรปีนี้ ศาสนจักรริเริ่มโครงการดังกล่าวเพื่อสนองความต้องการของคนตกงาน สูญเสียฟาร์มและบ้านเรือนหลังเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่
ความต้องการรีบด่วนทางโลกของลูกๆ พระบิดาบนสวรรค์เกิดขึ้นอีกครั้งในสมัยของเราดังที่พวกเขามีและจะมีตลอดเวลา หลักธรรมพื้นฐานของโครงการสวัสดิการของศาสนจักรไม่ใช่สำหรับครั้งเดียวหรือที่เดียว แต่สำหรับทุกที่และทุกเวลา
หลักธรรมเหล่านั้นเป็นฝ่ายวิญญาณและอยู่ชั่วนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้ การเข้าใจหลักธรรมและจดจำไว้ในใจเราจะช่วยให้เรามองเห็นและหาโอกาสช่วยไม่ว่าพระเจ้าจะทรงขอให้เราช่วยเมื่อใดและที่ใดก็ตาม
หลักธรรมบางข้อที่ชี้นำข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าต้องการช่วยตามวิธีของพระเจ้าและเมื่อข้าพเจ้าได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น มีดังนี้
หนึ่ง ทุกคนมีความสุขมากขึ้นและรู้สึกเคารพตนเองมากขึ้นเมื่อพวกเขาสามารถหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ จากนั้นก็ยื่นมือออกไปดูแลผู้อื่น ข้าพเจ้าสำนึกคุณของคนที่ช่วยข้าพเจ้าตามความต้องการของข้าพเจ้า และนับวันก็ยิ่งสำนึกคุณมากขึ้นต่อคนที่ช่วยข้าพเจ้าให้พึ่งพาตนเองได้ และข้าพเจ้าสำนึกคุณมากที่สุดต่อคนที่ให้ข้าพเจ้าเห็นวิธีนำส่วนที่เหลือใช้ไปช่วยเหลือผู้อื่น
ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการจะมีเหลือใช้นั้นต้องใช้ให้น้อยกว่าที่หาได้ ส่วนที่เหลือใช้นั้นทำให้ข้าพเจ้าสามารถเรียนรู้ว่าแท้จริงแล้วการให้ดีกว่าการรับ ส่วนหนึ่งก็เพราะเมื่อเราให้ความช่วยเหลือตามวิธีของพระเจ้าพระองค์ทรงให้พรเรา
ประธานมาเรียน จี. รอมนีย์พูดถึงงานสวัสดิการดังนี้ “ในงานนี้ท่านจะให้จนตัวท่านยากจนไม่ได้” และท่านอ้างคำพูดของเมลวิน เจ. บัลลาร์ดประธานคณะเผยแผ่ของท่าน ดังนี้ “เราถวายเศษขนมปังแด่พระเจ้าแต่จะได้ขนมปังก้อนเป็นการตอบแทน”3
ข้าพเจ้าพบว่านี่เป็นความจริงในชีวิตข้าพเจ้า เมื่อข้าพเจ้าเจือจานลูกๆ ที่ขัดสนของพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงเจือจานข้าพเจ้า
หลักธรรมพระกิตติคุณข้อสองที่ชี้นำข้าพเจ้าในงานสวัสดิการคือพลังและพรของความเป็นหนึ่งเดียวกัน เมื่อเราจับมือกันรับใช้ผู้คนที่ขัดสน พระเจ้าทรงรวมใจเรา ประธานเจ. รูเบ็น คลาร์ก จูเนียร์กล่าวดังนี้ “การให้ … ทำให้เกิด…ความรู้สึกผูกพันฉันพี่น้องเมื่อคนจากทุกสาขาอาชีพทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่ในไร่สวัสดิการหรือโครงการอื่น”4
ความรู้สึกผูกพันฉันพี่น้องเกิดขึ้นจริงทั้งสำหรับผู้รับและผู้ให้ จนถึงวันนี้ชายที่ตักโคลนเคียงข้างข้าพเจ้าในบ้านของเขาหลังถูกน้ำท่วมที่เร็กซ์เบิร์กยังคงรู้สึกผูกพันกับข้าพเจ้า เขารู้สึกว่าตนมีศักดิ์ศรีมากขึ้นเพราะได้ทำสุดความสามารถเพื่อตนเองและครอบครัว ถ้าเราทำงานคนเดียว เราทั้งคู่จะสูญเสียพรทางวิญญาณ
นั่นนำไปสู่หลักธรรมข้อสามของการทำงานสวัสดิการสำหรับข้าพเจ้า คือ ดึงครอบครัวท่านมาทำงานด้วยเพื่อพวกเขาจะรู้วิธีดูแลกันขณะพวกเขาดูแลผู้อื่น บุตรธิดาที่ทำงานกับท่านเพื่อรับใช้คนตกทุกข์ได้ยากจะช่วยเหลือกันมากขึ้นยามพวกเขาเดือดร้อน
ข้าพเจ้าเรียนรู้หลักธรรมล้ำค่าข้อสี่ของสวัสดิการศาสนจักรสมัยเป็นอธิการ หลักธรรมนี้มาจากการทำตามบัญชาในพระคัมภีร์ให้ค้นหาคนยากจน อธิการมีหน้าที่หาและให้ความช่วยเหลือคนที่ยังคงต้องการความช่วยเหลือหลังจากพวกเขาและครอบครัวทำสุดความสามารถแล้ว ข้าพเจ้าพบว่าพระเจ้าทรงส่งพระวิญญาณบริสุทธิ์มาช่วย “หาและเจ้าจะพบ” 5 ในการดูแลคนยากจนเฉกเช่นพระองค์ทรงทำในการหาความจริง แต่ข้าพเจ้าเรียนรู้ว่าต้องให้ประธานสมาคมสงเคราะห์มีส่วนในการค้นหาด้วย เธออาจได้รับการเปิดเผยก่อนท่าน
บางท่านจะต้องมีการดลใจนั้นในอีกหลายเดือนข้างหน้า เพื่อฉลองครบรอบ 75 ปีของโครงการสวัสดิการศาสนจักร เราขอเชื้อเชิญสมาชิกทั่วโลกให้มีส่วนร่วมในวันบำเพ็ญประโยชน์ ผู้นำและสมาชิกจะแสวงหาการเปิดเผยขณะพวกเขาวางแผนโครงการ
ข้าพเจ้ามีข้อเสนอสามประการขณะท่านวางแผนโครงการบำเพ็ญประโยชน์
หนึ่ง เตรียมตัวท่านและคนที่ท่านนำทางวิญญาณ ท่านจะเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายของโครงการเป็นพรทั้งฝ่ายวิญญาณและฝ่ายโลกแก่ชีวิตลูกๆ ของพระบิดาบนสวรรค์ก็ต่อเมื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดทำให้ใจอ่อนโยนลงเท่านั้น
ข้อเสนอข้อสองคือ เลือกผู้รับในอาณาจักรหรือในชุมชนที่ความต้องการของพวกเขาจะสัมผัสใจผู้จะให้การรับใช้ คนที่พวกเขารับใช้จะรู้สึกถึงความรักของพวกเขา และนั่นอาจทำให้พวกเขารู้สึกดีมากกว่าจะสนองความต้องการฝ่ายโลกของพวกเขา ตามที่เพลงสัญญาไว้
ข้อเสนอสุดท้ายคือวางแผนดึงพลังความผูกพันของครอบครัว ของโควรัม ขององค์การช่วย และคนที่ท่านรู้จักในชุมชนของท่านออกมาใช้ ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันจะทวีผลดีของการรับใช้ที่ท่านให้ และความรู้สึกเหล่านั้นในครอบครัว ในศาสนจักร และในชุมชนจะเพิ่มขึ้นและจะกลายเป็นมรดกชั่วกาลนานหลังสิ้นสุดโครงการ
นี่เป็นโอกาสที่ข้าพเจ้าจะบอกท่านว่าข้าพเจ้าซาบซึ้งในความกรุณาของพวกท่านมากเพียงใด เพราะการรับใช้ด้วยความรักที่ท่านให้แทนพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้เป็นผู้รับความขอบคุณจากคนที่ท่านช่วยเหลือเมื่อข้าพเจ้าพบพวกเขาทั่วโลก
ท่านพบวิธียกพวกเขาให้สูงขึ้นเมื่อท่านช่วยตามวิธีของพระเจ้า ท่านและสานุศิษย์ที่อ่อนน้อมของพระผู้ช่วยให้รอดเช่นท่านโยนขนมปังลงน้ำในการรับใช้และคนที่ท่านช่วยพยายามตอบแทนข้าพเจ้าด้วยขนมปังก้อนของความขอบคุณ
ข้าพเจ้าได้เห็นการแสดงความปลาบปลื้มยินดีในลักษณะเดียวกันจากคนที่เคยทำงานกับท่าน ข้าพเจ้าจำครึ่งหนึ่งได้ขณะยืนอยู่ใกล้ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน เรากำลังคุยกันเรื่องการรับใช้ด้านสวัสดิการในศาสนจักรของพระเจ้า ท่านทำให้ข้าพเจ้าแปลกใจกับพลังวัยหนุ่มของท่านเมื่อท่านกำมือด้วยความตื่นเต้นพลางพูดว่า “ผมรักงานนี้ งานนี้แหละ!”
ข้าพเจ้าขอบคุณแทนพระอาจารย์สำหรับงานของท่านเพื่อรับใช้ลูกๆ ของพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงรู้จักท่านและทอดพระเนตรเห็นความพยายาม ความขยันหมั่นเพียร และการเสียสละของท่าน ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้ท่านได้รับพรจากการเห็นผลการลงแรงของท่านในความสุขของคนที่ท่านช่วยและคนที่ออกไปช่วยกับท่านแทนพระเจ้า
ข้าพเจ้ารู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงพระชนม์และทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของเรา ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ การรับใช้พระองค์และรักษาพระบัญญัติจะทำให้ท่านและคนที่ท่านรับใช้บริสุทธิ์และเข้มแข็ง ท่านรู้ได้เช่นเดียวกับข้าพเจ้า โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ฟื้นฟูศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่ ซึ่งคือศาสนจักรนี้ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าประธานโธมัส เอส. มอนสันเป็นศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของพระผู้เป็นเจ้า ท่านเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ นั่นคือ ออกไปกระทำคุณประโยชน์ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราคว้าโอกาส “ยกมือที่อ่อนแรง, และให้กำลังเข่าที่อ่อนล้า” 6 ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน