จงมีความอ่อนโยนและใจนอบน้อม
การเป็นคนอ่อนโยนไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ แต่หมายถึงความประพฤติที่ประกอบด้วยความดีและความกรุณา
มอรมอนสอนว่า มนุษย์ “จะมีความหวังและศรัทธาไม่ได้, นอกจากเขาจะมีความอ่อนโยน, และใจนอบน้อม”1 ท่านเสริมว่าปราศจากคุณลักษณะเช่นนั้น “ศรัทธาและความหวังของเขาเปล่าประโยชน์, เพราะไม่มีใครจะเป็นที่ยอมรับต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า, นอกจากผู้ที่มีความอ่อนโยนและใจนอบน้อม”2
ความอ่อนโยนเป็นคุณสมบัติของผู้ที่ “เกรงกลัวพระเจ้า, ชอบธรรม, ถ่อมตน, สอนได้, และอดทนภายใต้ความทุกข์ทรมาน”3 ผู้ที่มีคุณลักษณะนี้ยินดีทำตามพระเยซูคริสต์และพวกเขามีอารมณ์สงบ เชื่อฟัง อดทน และว่าง่าย
อัครสาวกเปาโลสอนว่าความอ่อนโยนเป็นผลของพระวิญญาณ4 ดังนั้นเราจะมีคุณสมบัตินี้ได้ง่ายที่สุดถ้าเรา “มีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ”5 และการมีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณนั้น ชีวิตเราต้องสะท้อนความชอบธรรมต่อพระพักตร์พระเจ้า
เมื่อเรารับพระนามของพระคริสต์ เราต้องพยายามสุดความสามารถที่จะเลียนแบบพระคุณลักษณะของพระองค์และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเราให้เป็นเหมือนพระองค์มากขึ้นในแต่ละวัน พระผู้ช่วยให้รอดทรงเตือนสานุศิษย์ของพระองค์ดังนี้ “เพราะฉะนั้นพวกท่านจงเป็นคนดีพร้อม เหมือนอย่างที่พระบิดาของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ทรงดีพร้อม”6 ถ้าเรา “มาหาพระคริสต์…ปฏิเสธ (ตัวเรา) จากความไม่เป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าทุกอย่าง; …และรักพระผู้เป็นเจ้า,” โดยพระคุณของพระคริสต์ วันนั้นจะมาถึงเมื่อเราจะดีพร้อมในพระองค์7
“คุณลักษณะเหมือนอย่างพระคริสต์เป็นของประทานจากพระผู้เป็นเจ้า [คุณลักษณะเหล่านี้] เกิดขึ้นเมื่อ [เรา] ใช้สิทธิ์เสรี [ของเรา] อย่างชอบธรรม … [เราต้อง] ยอมรับความอ่อนแอ [ของเรา] เต็มใจและเร่งปรับปรุงเพื่อให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัย”8
ความอ่อนโยนสำคัญยิ่งต่อการเป็นเหมือนพระคริสต์ ปราศจากความอ่อนโยนเราไม่สามารถพัฒนาคุณธรรมสำคัญอื่นๆ ได้ ความอ่อนโยนไม่ได้หมายความว่าอ่อนแอ แต่หมายถึงความประพฤติที่ประกอบด้วยความดีและความกรุณา แสดงถึงพลัง ความสงบเยือกเย็น เห็นคุณค่าตนเอง และควบคุมตนเองได้
ความอ่อนโยนเป็นพระคุณลักษณะที่สมบูรณ์ที่สุดข้อหนึ่งในพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอด ทรงสอนสานุศิษย์ด้วยพระองค์เองว่า “จง … เรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม”9
เราได้รับพรที่เกิดมาพร้อมเมล็ดแห่งความอ่อนโยนในใจเรา เราต้องเข้าใจว่า เป็นไปไม่ได้ที่เมล็ดนั้นจะเติบโตและพัฒนาในชั่วพริบตาแต่ต้องผ่านขั้นตอนที่ใช้เวลา พระคริสต์ทรงขอให้เรา “รับกางเขนของ [เรา] แบกทุกวัน”10 ซึ่งหมายความว่าต้องมุ่งเน้นและปรารถนาอยู่เป็นประจำ
ประธานลอเรนโซ สโนว์ ศาสดาพยากรณ์คนที่ห้าในสมัยการประทานของเราสอนว่า “หน้าที่ของเราคือต้องพยายามเป็นคนดีพร้อม … พัฒนาทุกวัน และพิจารณาสิ่งที่เราทำเมื่อสัปดาห์ก่อนแล้วทำสิ่งต่างๆ ในสัปดาห์นี้ให้ดีขึ้น สิ่งที่เราทำวันนี้ต้องดีกว่าที่ทำไว้เมื่อวานนี้ ”11 ดังนั้นขั้นแรกที่จะมีความอ่อนโยนคือปรับปรุงวันแล้ววันเล่า แต่ละวันเราต้องพยายามทำดีขึ้นกว่าครั้งก่อนขณะเรารุดหน้าไปตามขั้นตอนนี้
ประธานสโนว์เสริมว่า
“เรามีความโง่เขลาและความอ่อนแอเล็กน้อย เราควรพยายามเอาชนะให้เร็วที่สุด … เราควร [ใส่] ความรู้สึกนี้ไว้ในใจลูกหลานของเรา … เพื่อพวกเขาจะเรียนรู้ที่จะ [ประพฤติตน] อย่างเหมาะสมต่อพระพักตร์พระองค์ภายใต้สภาวการณ์ทุกอย่าง
“ถ้าสามีอยู่กับภรรยาหนึ่งวันได้โดยไม่ทะเลาะกันหรือไม่ปฏิบัติต่อกันอย่างไร้เมตตาหรือไม่ทำให้พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าเศร้าโศกเลย … เท่ากับว่าวันนั้นเขาดีพร้อม ต่อจากนั้นให้เขาพยายามเป็นเหมือนเดิมในวันถัดไป แต่สมมติว่าเขาล้มเหลวในเรื่องนี้ขณะพยายามในวันถัดไป นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขาจะไม่ประสบความสำเร็จขณะทำเช่นนั้นในวันที่สาม”12
โดยทรงรับรู้ถึงการอุทิศตนและความมานะบากบั่นของเรา พระเจ้าจะประทานสิ่งที่เราไม่สามารถมีได้เพราะความไม่ดีพร้อมและความอ่อนแออย่างมนุษย์ของเรา
อีกขั้นตอนหนึ่งที่สำคัญสำหรับการเป็นคนอ่อนโยนคือการเรียนรู้วิธีควบคุมอารมณ์ของเรา เพราะความเป็นมนุษย์ปุถุชนที่มีอยู่ในเราแต่ละคนและเพราะเราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน การควบคุมอารมณ์อาจเป็นการท้าทายอย่างหนึ่งในชีวิตเรา ฉุกคิดสักสองสามวินาทีว่าเราจะทำอย่างไรเมื่อมีคนไม่ทำตามสิ่งที่เราปรารถนาเมื่อเราต้องการให้เขาทำเช่นนั้น หรือเมื่อมีคนไม่เห็นด้วยกับความคิดเรา แม้ท่านจะแน่ใจที่สุดว่าความคิดนั้นจะแก้ปัญหาได้ ท่านจะตอบรับอย่างไรเมื่อมีคนทำผิดต่อท่าน วิพากษ์วิจารณ์ผลงานของท่าน หรือใจร้ายต่อท่านเพียงเพราะเขาหรือเธออารมณ์เสีย ในช่วงเวลาเช่นนี้และในสถานการณ์ที่ยากลำบากอื่นๆ เราต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์และแสดงความรู้สึกของเราด้วยความอดทนและการชักชวนที่สุภาพ สิ่งนี้สำคัญที่สุดภายในบ้านและในความสัมพันธ์กับคู่ชีวิตนิรันดร์ของเรา ในช่วงเวลา 31 ปีหลังแต่งงานกับสุดที่รักของข้าพเจ้า เธอมักจะเตือนข้าพเจ้าอย่างสุภาพในเรื่องนี้เมื่อเราเผชิญกับความยากลำบากเพราะชีวิตไม่ลงตัว
ในบรรดาคำแนะนำที่พบในสาส์นถึงทิโมธีฉบับที่สอง อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า
“ส่วนผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องไม่เป็นคนที่ชอบทะเลาะ แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นอาจารย์เหมาะสมและมีความอดทน
“แก้ไขความคิดเห็นของฝ่ายตรงข้ามด้วยความสุภาพอ่อนโยน เพราะพระเจ้าอาจโปรดให้พวกเขากลับใจ และมาถึงความรู้ในความจริง
“และหลุดพ้นจากบ่วงของมาร”13
โดยการควบคุมปฏิกิริยาของเรา สงบ ควบคุมอารมณ์ และหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง เราจะเริ่มมีคุณสมบัติคู่ควรกับของประทานแห่งความอ่อนโยน ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์กล่าวว่า “เมื่อใดที่เราใช้ศรัทธาควบคุมความฉุนเฉียวและกำราบความจองหองของเรา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานความเห็นชอบ จากนั้นสัญญาและพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ย่อมเกิดผล”14
อีกขั้นตอนหนึ่งที่จะมีความอ่อนโยนคือต้องอ่อนน้อมถ่อมตน พระเจ้าทรงสอนโธมัส บี. มาร์ชผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ โดยตรัสว่า “เจ้าจงอ่อนน้อมถ่อมตน; และพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้าจะทรงจูงมือนำเจ้าไป, และให้คำตอบคำสวดอ้อนวอนของเจ้าแก่เจ้า.”15
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีเพียงคนอ่อนน้อมถ่อมตนเท่านั้นที่จะรับรู้และเข้าใจการตอบคำสวดอ้อนวอนจากพระเจ้า คนอ่อนน้อมคือคนที่สอนได้ พวกเขายอมรับว่าพวกเขาต้องพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและปรารถนาจะยอมรับพระประสงค์ของพระองค์ คนอ่อนน้อมถ่อมตนและอ่อนโยนเป็นแรงจูงใจให้ผู้อื่นทำอย่างเดียวกันได้ พระผู้เป็นเจ้าประทานสัญญาแก่คนอ่อนน้อมถ่อมตนว่าจะทรงจูงมือนำพวกเขา ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราจะหลีกเลี่ยงทางวกวนและความเศร้าในชีวิตเราได้เสมอตราบที่เราเดินจูงมือกับพระเจ้า
แบบอย่างของความอ่อนโยนซึ่งสวยงามที่สุดในยุคปัจจุบันเท่าที่ข้าพเจ้ารู้จักคือเรื่องของบราเดอร์โมเสส มาห์ลังกู การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเขาเริ่มในปี 1964 เมื่อเขาได้รับพระคัมภีร์มอรมอน เขาพอใจมากเมื่อได้อ่านหนังสือเล่มนี้ แต่จนกระทั่งต้นทศวรรษ 70 ขณะเดินไปตามถนนเขาจึงเห็นป้ายศาสนจักรแอลดีเอสที่อาคารแห่งหนึ่งในโจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ บราเดอร์มาห์ลังกูดีใจมากและเข้าไปในอาคารเพื่อเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนจักร มีคนบอกเขาอย่างสุภาพว่าเขาจะเข้าประชุมหรือรับบัพติศมาไม่ได้เพราะในเวลานั้นกฎหมายของประเทศยังไม่อนุญาต
บราเดอร์มาห์ลังกูยอมรับกฎระเบียบนั้นอย่างอ่อนโยน อ่อนน้อมถ่อมตนโดยปราศจากความขุ่นเคือง แต่เขายังคงมีความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนจักร เขาขอให้ผู้นำศาสนจักรเปิดหน้าต่างอาคารประชุมไว้ขณะมีการประชุมวันอาทิตย์เพื่อที่เขาจะนั่งฟังการประชุมอยู่นอกอาคารได้ หลายปีทีเดียวที่ครอบครัวและเพื่อนๆ ของบราเดอร์มาห์ลังกูเข้าโบสถ์ “ทางหน้าต่าง” เป็นประจำ วันหนึ่งในปี 1980 พวกเขาทราบว่าสามารถเข้าโบสถ์และรับบัพติศมาได้แล้ว ช่างเป็นวันที่สดใสอะไรเช่นนั้นสำหรับบราเดอร์มาห์ลังกู
ต่อมาศาสนจักรจัดตั้งสาขาในละแวกบ้านของเขาที่โซวีโต เรื่องนี้เกิดขึ้นได้ เพียง เพราะมีผู้คนที่มุ่งมั่น กล้าหาญและซื่อสัตย์อย่างบราเดอร์มาห์ลังกูผู้คงความซื่อสัตย์ไว้ได้หลายปีแม้จะอยู่ในสภาวการณ์ที่ยากลำบากเช่นนั้น
เพื่อนคนหนึ่งของบราเดอร์มาห์ลังกูซึ่งเป็นสมาชิกศาสนจักรพร้อมเขาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมสเตคโซวีโต เมื่อจบการสนทนา เขากอดข้าพเจ้า พี่น้องทั้งหลาย ในช่วงเวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่าอยู่ในอ้อมพระพาหุแห่งความรักของพระผู้ช่วยให้รอด นัยน์ตาของบราเดอร์ผู้ประเสริฐท่านนี้ฉายแววอ่อนโยน ด้วยใจที่เปี่ยมคุณความดีและความสำนึกคุณ เขาขอเพียงให้ข้าพเจ้าบอกประธานโธมัน เอส. มอนสันว่าเขากับอีกหลายคนซาบซึ้งและได้รับพรอย่างไรสำหรับการมีพระกิตติคุณที่แท้จริงในชีวิต แบบอย่างความอ่อนโยนของบราเดอร์มาห์ลังกูและเพื่อนๆ มีอิทธิพลอย่างแท้จริงต่อหลายชีวิตให้ทำดี—โดยเฉพาะชีวิตข้าพเจ้า
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อว่าพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์คือแบบอย่างสูงสุดของความอ่อนโยน แม้ในช่วงสุดท้ายของพระชนม์ชีพมรรตัย ทรงถูกกล่าวหาและกล่าวโทษโดยอยุติธรรม ต้องทรงแบกกางเขนขึ้นสู่กลโกธาด้วยความเจ็บปวด ถูกศัตรูเยาะเย้ยสาปแช่ง หลายคนที่รู้จักและเห็นการอัศจรรย์ของพระองค์ด้วยตาตนเองก็ทอดทิ้งพระองค์ไป พระองค์ถูกตรึงกางเขน
แม้หลังจากการทนทุกข์แสนสาหัสทางพระวรกาย พระเจ้าทรงเงยพระพักตร์หาพระบิดาและทูลจากส่วนลึกของพระทัยที่อ่อนโยนและอ่อนน้อมว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร”16 พระคริสต์ทรงเผชิญความทุกข์ทางพระวรกายและพระวิญญาณเพื่อประทานโอกาสให้เราเปลี่ยนอุปนิสัยทางวิญญาณและอ่อนโยนเช่นเดียวกับพระองค์
ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานว่าพระเยซูคริสต์คือพระผู้ช่วยให้รอด ข้าพเจ้าน้อมขอบพระทัยและเป็นพยานต่อท่านว่า การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ เราละทิ้งความอ่อนแอของเราได้ เราปฏิเสธอิทธิพลร้ายในชีวิตเราได้ ควบคุมความโกรธของเรา อ่อนโยน และพัฒนาคุณลักษณะของพระผู้ช่วยให้รอดของเราได้ พระองค์ทรงแสดงทางแก่เรา ประทานแบบอย่างที่ดีพร้อมและทรงบัญชาเราให้เป็นเหมือนพระองค์ ทรงเชื้อเชิญให้เราติดตามพระองค์ ทำตามแบบอย่างและเป็นเหมือนพระองค์ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความจริงเหล่านี้ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ แม้พระเยซูคริสต์ เอเมน