พลังอำนาจ ปีติ และความรักจากการรักษาพันธสัญญา
ดิฉันเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนประเมินว่าเรารักพระผู้ช่วยให้รอดเพียงใด โดยวัดจากว่าเรามีความสุขเพียงใดในการรักษาพันธสัญญา
ดิฉันจะเริ่มต้นด้วยการเล่าเรื่องราวที่ประทับใจดิฉัน
ค่ำวันหนึ่งชายคนหนึ่งเรียกแกะห้าตัวของเขาให้เข้าคอกในเวลากลางคืน ครอบครัวของเขามองด้วยความสนใจยิ่งขณะที่เขาเพียงพูดว่า “มานี่” และในทันใดแกะทั้งห้าตัวเงยหน้าหันมาทางเขา แกะสี่ตัวรีบวิ่งมาหาเขา ด้วยความรักความเมตตา เขาลูบหัวแกะสี่ตัวอย่างนุ่มนวล แกะรู้จักเสียงของเขาและรักเขา
แต่แกะตัวที่ห้าไม่ได้วิ่งมาหา แกะตัวนี้เป็นแกะเพศเมียตัวใหญ่ เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้เจ้าของเอามาให้เขาบอกว่ามันไม่เชื่อง ดื้อและมักพาให้แกะตัวอื่นออกนอกทาง เจ้าของใหม่รับแกะเข้ามาและผูกมันไว้ในทุ่งของเขาเองสองสามวันเพื่อจะเรียนรู้ไม่หนีไปที่อื่น เขาสอนมันอย่างอดทนให้รักเขาและรักแกะตัวอื่นจนในที่สุดเหลือแต่เชือกสั้นๆ ผูกรอบคอเท่านั้น ไม่ต้องผูกติดไว้กับหลัก
ค่ำวันนั้นขณะที่ครอบครัวของเขาเฝ้าดู ชายคนนั้นเดินเข้าไปหาแกะเพศเมียตัวนั้น ซึ่งยืนอยู่ชายทุ่ง เขาพูดอย่างนุ่มนวลอีกครั้งว่า “มานี่สิ เจ้าไม่ถูกล่ามแล้วนะ เจ้าป็นอิสระแล้ว” จากนั้นเขาเอื้อมมือออกไปด้วยความรักและวางมือบนหัวมัน และเดินกลับมากับมัน พร้อมกับแกะตัวอื่นไปที่คอก1
ด้วยเจตนารมณ์ของเรื่องราวนั้น ดิฉันสวดอ้อนวอนขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้เราเรียนรู้ด้วยกันในค่ำคืนนี้เกี่ยวกับการรักษาพันธสัญญา การทำและรักษาพันธสัญญาหมายถึงการเลือกที่จะผูกมัดตนเองกับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ เป็นการให้คำมั่นว่าจะติดตามพระผู้ช่วยให้รอด เป็นการวางใจในพระองค์และปรารถนาที่จะแสดงความสำนึกคุณสำหรับราคาที่พระองค์ทรงชำระเพื่อปลดปล่อยให้เราเป็นอิสระผ่านของประทานอันเป็นนิจแห่งการชดใช้
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์อธิบายว่า “พันธสัญญาคือข้อตกลงที่ผูกมัดทางวิญญาณ สัญญาอันศักดิ์สิทธิ์กับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราว่าเราจะดำเนินชีวิต คิด และกระทำตามวิธีที่กำหนด—วิธีที่พระบุตรของพระองค์ พระเจ้าพระเยซูคริสต์ พระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัญญาจะประทานสง่าราศีของชีวิตนิรันดร์เป็นการตอบแทน”2 ในสัญญาที่ผูกมัดนั้น พระเจ้าทรงกำหนดเงื่อนไขและเราตกลงที่จะรักษาเงื่อนไข การทำและรักษาพันธสัญญาของเราเป็นการแสดงออกถึงคำมั่นของเราที่จะเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด3 แนวคิดคือพยายามที่จะมีเจตคติที่กล่าวไว้เป็นอย่างดีในสามวลีต่อไปนี้ในเพลงสวดอันเป็นที่ชื่นชอบ “ข้าจะไปที่ พระองค์ บัญชา … ข้าจะพูดสิ่ง พระองค์ บัญชา … ข้าจะเป็นดัง พระองค์ บัญชา”4
เหตุใดจึงต้องทำและรักษาพันธสัญญา
1. การรักษาพันธสัญญาเสริมสร้างความเข้มแข็ง ทำให้มีพลังอำนาจ และให้ความคุ้มครอง
นีไฟเห็นในนิมิตถึงพรสำคัญที่พระเจ้าประทานแก่ผู้รักษาพันธสัญญา “และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือข้าพเจ้า, นีไฟ, เห็นเดชานุภาพของพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ว่าลง…บนผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า, … และพวกเขามีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่.”5
เมื่อเร็วๆ นี้ดิฉันพบกับเพื่อนใหม่คนหนึ่ง เธอเป็นพยานว่าหลังจากที่เธอได้รับเอ็นดาวเม้นท์พระวิหาร เธอรู้สึกถึงความเข้มแข็งด้วยพลังอำนาจที่จะต่อต้านการล่อลวงที่เธอเคยมีปัญหามาก่อน
เมื่อเรารักษาพันธสัญญาของเรา เราได้รับความกล้าหาญและความเข้มแข็งด้วยเพื่อช่วยให้เราแบกภาระของกันและกัน ซิสเตอร์ที่ใจแตกสลายคนหนึ่งมีลูกชายที่กำลังประสบกับการท้าทายทางศีลธรรมที่หนักหน่วง เนื่องจากศรัทธาของเธอที่มีต่อพี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์ในฐานะผู้รักษาพันธสัญญา เธอรวบรวมความกล้าเชื้อเชิญพวกเธออดอาหารและสวดอ้อนวอนให้ลูกชายของเธอ สตรีคนหนึ่งกล่าวว่าเธอน่าจะขอคำสวดอ้อนวอนเช่นเดียวกันจากพี่น้องสตรีของเธอ หลายปีก่อน ลูกชายของเธอเองมีปัญหา เสียดายที่เธอไม่ได้เชื้อเชิญให้พี่น้องสตรีช่วยครอบครัวเธอแบกภาระนี้ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา”6
โอ พี่น้องสตรี เราทุกคนมีภาระที่ต้องแบกและภาระที่ต้องแบ่งปัน คำเชื้อเชิญให้แบกภาระของกันและกันคือคำเชื้อเชิญให้รักษาพันธสัญญาของเรา คำแนะนำของลูซี แม็ค สมิธถึงพี่น้องสตรีสมาคมสงเคราะห์กลุ่มแรกตรงกับยุคสมัยนี้มากกว่ายุคสมัยใด “เราจะต้องทะนุถนอมกัน ดูแลกัน ปลอบโยนกัน และได้รับคำสั่งสอน เพื่อเราทุกคนจะนั่งอยู่ในฟ้าสวรรค์ด้วยกัน”7 นี่คือการรักษาพันธสัญญาและการเยี่ยมสอนในรูปแบบที่ดีที่สุด
พระคัมภีร์มอรมอนเตือนเราว่าแม้กระทั่งศาสดาพยากรณ์แอลมาก็ต้องแบกภาระของการมีบุตรชายที่ดื้อรั้น แต่แอลมาได้รับพรที่พี่น้องในพระกิตติคุณรักษาพันธสัญญาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างลึกซึ้งสู่พระเจ้าและเรียนรู้ถึงความหมายของการแบกภาระของกันและกัน เราคุ้นเคยกับข้อพระคัมภีร์ที่โมไซยาห์พูดถึงศรัทธาอันยิ่งใหญ่แห่งคำสวดอ้อนวอนของแอลมาในนามของบุตรของท่าน แต่บันทึกได้กล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนจากผู้คน ของพระองค์, และคำสวดอ้อนวอนจากแอลมา, ผู้รับใช้ของพระองค์ด้วย,”8
เรารู้ว่าพระเจ้าทรงเบิกบาน “ในจิตวิญญาณที่กลับใจ”9 แต่เราปรารถนาเหนือสิ่งอื่นใดคือให้ลูกหลานของเราทำตามคำแนะนำของประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ให้ “เริ่มต้นแต่เนิ่นๆ และมุ่งมั่น” ในการทำและรักษาพันธสัญญา10 เมื่อไม่นานมานี้ มีคำถามที่จริงใจและกระตุ้นความคิดในสภาฐานะปุโรหิตและผู้นำองค์การช่วย “เราคาดหวังจริง ๆ ไหมที่จะให้เด็กอายุแปดขวบรักษาพันธสัญญาของพวกเขา” ขณะที่เราปรึกษากัน มีคำแนะนำว่าวิธีหนึ่งที่จะเตรียมเด็กให้ทำและรักษาพันธสัญญาบัพติศมาอันศักดิ์สิทธิ์คือช่วยให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะทำและรักษาคำสัญญาที่เรียบง่าย
บิดามารดาที่ซื่อสัตย์มีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าพวกเขาจะตอบสนองความต้องการของลูกๆ ได้ดีที่สุดอย่างไร ขณะที่บิดามารดาแสวงหาและกระทำตามการเปิดเผยส่วนตัว ปรึกษาด้วยกัน ดูแลและสอนหลักธรรมเรียบง่ายของพระกิตติคุณ พวกเขาจะมีพลังอำนาจที่จะเสริมสร้างความเข้มแข็งและคุ้มครองครอบครัวของพวกเขา สมาชิกครอบครัวคนอื่นๆ สามารถช่วยได้ด้วย คุณปู่ที่น่ารักของดิฉันสอนถึงความสำคัญของการรักษาสัญญาผ่านเพลงธรรมดาเพลงหนึ่งที่ร้องอย่างนี้ “ก่อนที่จะทำสัญญา นึกถึงความสำคัญเสียก่อน จากนั้นเมื่อทำไปแล้ว สลักมันไว้ในใจ สลักมันไว้ในใจ” เพลงสั้นๆ นี้สอนด้วยความรัก ความเชื่อมั่น และพลังอำนาจ เพราะคุณปู่สลักคำสัญญาของท่านไว้ในใจท่าน
มารดาที่ฉลาดคนหนึ่งที่ดิฉันรู้จักตั้งใจให้ลูกๆ พยายามพร้อมกับเธอในการรักษาพันธสัญญาของเธอ เธอแบกรับภาระของเพื่อนบ้าน มิตรสหาย และสมาชิกในวอร์ดอย่างมีความสุข—และปลอบโยนผู้ที่ต้องการคำปลอบโยน ไม่แปลกใจเลยที่ไม่นานมานี้ลูกสาวที่อายุน้อยของเธอมาขอความช่วยเหลือเพื่อจะรู้วิธีปลอบโยนเพื่อนของเธอที่คุณพ่อเพิ่งจะเสียชีวิต นั่นเป็นสถานการณ์ดียิ่งที่จะสอนว่าความปรารถนาและการกระทำของเธอที่จะปลอบโยนเพื่อนเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาพันธสัญญาบัพติศมาของเธอ เราจะคาดหวังให้เด็กทำและรักษาพันธสัญญาพระวิหารได้อย่างไรถ้าเราไม่คาดหวังให้พวกเขารักษาพันธสัญญาแรก—พันธสัญญาบัพติศมา
เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ให้ข้อสังเกตว่า “พรยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่เราจะให้โลกได้คือพลังของบ้านที่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง บ้านที่สอนพระกิตติคุณ รักษาพันธสัญญา และอบอวลด้วยความรัก”11 มีวิธีใดบ้างที่เราสามารถสร้างบ้านที่เตรียมลูกๆ ของเราให้ทำและรักษาพันธสัญญาพระวิหาร
-
เราสามารถค้นพบด้วยกันถึงความหมายของการมีค่าควรต่อใบรับรองพระวิหาร
-
เราสามารถค้นพบด้วยกันถึงวิธีที่จะฟังพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากเรารับเอ็นดาวเม้นท์พระวิหารโดยการเปิดเผย เราจึงต้องเรียนรู้ทักษะอันสำคัญนั้น
-
เราสามารถค้นพบด้วยกันถึงวิธีเรียนรู้ว่าผ่านทางการใช้สัญลักษณ์ โดยเริ่มด้วยสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของบัพติศมาและศีลระลึก
-
เราสามารถค้นพบด้วยกันว่าทำไมร่างกายจึงศักดิ์สิทธิ์ ทำไมบางครั้งจึงกล่าวว่าเป็นพระวิหาร เสื้อผ้าและการแต่งกายสุภาพเรียบร้อยเกี่ยวข้องกับธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์ของเสื้อผ้าพระวิหารอย่างไร
-
เราสามารถค้นพบแผนแห่งความสุขในพระคัมภีร์ ยิ่งเราคุ้นเคยกับแผนของพระบิดาบนสวรรค์กับการชดใช้ในพระคัมภีร์มากเท่าไร การนมัสการที่พระวิหารจะยิ่งมีความหมายมากขึ้นเท่านั้น
-
เราสามารถเรียนรู้เรื่องราวของบรรพชนเราด้วยกัน ค้นคว้าประวัติครอบครัว ทำดัชนี และทำงานพระวิหารแทนคนตายให้คนที่เรารักซึ่งล่วงลับไปแล้ว
-
เราสามารถค้นพบด้วยกันถึงความหมายของคำต่างๆ เช่น เอ็นดาวเม้นท์ ศาสนพิธี การผนึก ฐานะปุโรหิต กุญแจ และ คำอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการนมัสการในพระวิหาร
-
เราสามารถสอนว่าเราไปพระวิหารเพื่อทำพันธสัญญากับพระบิดาบนสวรรค์—เรากลับบ้านเพื่อรักษาพันธสัญญาเหล่านั้น12
ขอให้เราระลึกถึงแนวคิดเรื่อง “ดี ดีกว่า และดีที่สุด” ขณะที่เราสอน13 เป็นเรื่องดีที่จะสอนลูกๆ ของเราเกี่ยวกับพระวิหาร เป็นการดีกว่าที่จะเตรียมและคาดหวังให้พวกเขาทำและรักษาพันธสัญญา เป็นการดีที่สุดที่จะแสดงให้พวกเขาเห็นโดยการเป็นแบบอย่างว่าเราแนบสนิทกับพันธสัญญาบัพติศมาและพันธสัญญาพระวิหารของเราอย่างชื่นบาน พี่น้องสตรี เราตระหนักถึงบทบาทอันสำคัญในงานแห่งความรอดขณะที่เราบำรุงเลี้ยง สอน และเตรียมลูกๆ ให้ก้าวหน้าไปตามเส้นทางแห่งพันธสัญญาไหม พลังอำนาจที่จะทำเช่นนี้จะเกิดขึ้นเมื่อเรายกย่องและรักษาพันธสัญญาของเรา
2. การรักษาพันธสัญญาจำเป็นต่อความสุขที่แท้จริง
ประธานโธมัส เอส. มอนสันสอนว่า “พันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์มีไว้ให้เรายกย่อง และความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาเหล่านี้เป็นข้อเรียกร้องสำหรับความสุข”14 ใน 2 นีไฟกล่าวไว้ว่า “และเหตุการณ์ได้บังเกิดขึ้นคือเรามีชีวิตอยู่ตามทางแห่งความสุข”15 ในตอนต้นของบทเดียวกันนี้เราเรียนรู้ว่านีไฟและผู้คนของเขาเพิ่งสร้างพระวิหาร แน่นอนว่าพวกเขาเป็นผู้รักษาพันธสัญญาที่มีความสุข และในแอลมาเราอ่านว่า “แต่ดูเถิดนับแต่วันเวลาของนีไฟแล้ว, ไม่เคยมีเวลาใดเลยในบรรดาผู้คนของนีไฟที่เป็นสุข, ยิ่งไปกว่าในวันเวลาของโมโรไน”16 ทำไม เราเรียนรู้ในข้อก่อนหน้านั้นว่าพวกเขา “ซื่อสัตย์ในการรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า”17 ผู้รักษาพันธสัญญาคือผู้รักษาพระบัญญัติ
ดิฉันชอบพระคัมภีร์ที่อ่านว่า “และบัดนี้เมื่อผู้คนได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ [หมายถึงถ้อยคำที่อธิบายถึงพันธสัญญาบัพติศมา], พวกเขาปรบมือด้วยปีติ, และร้องว่า: นี่คือความปรารถนาของใจเรา.”18 ดิฉันชอบความปรารถนาของใจพวกเขา พวกเขาปรารถนาอย่างมีความสุขที่จะทำและรักษาพันธสัญญาของพวกเขา
วันอาทิตย์วันหนึ่งสตรีสาวคนหนึ่งเปล่งเสียงร้องอย่างรื่นเริงว่า “วันนี้ฉันรับศีลระลึก” ท่านชื่นชมยินดีในสิทธิพิเศษนี้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อไร และเราจะแสดงออกถึงสิ่งนี้ได้อย่างไร เราทำสิ่งนี้โดยระลึกถึงพระผู้ช่วยให้รอด เสมอ และรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เสมอ ซึ่งรวมถึงการรักษาวันสะบาโตของพระองค์ให้ศักดิ์สิทธิ์ เราทำสิ่งนี้โดยระลึกถึงพระองค์ เสมอ เมื่อเราสวดอ้อนวอนส่วนตัวและเป็นครอบครัว ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน และจัดสังสรรค์ในครอบครัวทุกสัปดาห์ เสมอ เมื่อเราสับสนหรือไม่จริงจังกับสิ่งที่สำคัญเหล่านี้ เรากลับใจและเริ่มต้นอีก
การทำและรักษาพันธสัญญาของเราอย่างเบิกบานให้เหตุผลและความหมายแก่ศาสนพิธีแห่งความรอดอันศักดิ์สิทธิ์และสำคัญที่เราต้องได้รับเพื่อจะได้ “ทุกสิ่งที่พระบิดามี”19 ศาสนพิธีและพันธสัญญาเป็น “หลักชัยทางวิญญาณ” ที่ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์กล่าวถึงเมื่อท่านสอน “วิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นผู้คนแห่งพันธสัญญา นับจากวันที่ได้รับบัพติศมาผ่านประสบการณ์ทางวิญญาณเรื่อยมา เราทำสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าและพระองค์ทรงทำสัญญากับเรา พระองค์ทรงรักษาสัญญาของพระองค์ เสมอ ผ่านทางผู้รับใช้ที่มีอำนาจของพระองค์เสมอ แต่สิ่งนี้เป็นการทดสอบที่สำคัญยิ่งของชีวิตเราเพื่อดูว่า เรา จะทำและรักษาพันธสัญญากับพระองค์หรือไม่”20
3. การรักษาพันธสัญญาของเราแสดงให้เห็นถึงความรักของเราที่มีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและพระบิดาในสวรรค์ของเรา
จากเหตุผลทั้งปวงที่เราควรจะพากเพียรยิ่งขึ้นในการรักษาพันธสัญญาของเรา เหตุผลข้อนี้มีความน่าสนใจมากกว่าทุกข้อ—ความรัก ข้อหนึ่งในพันธสัญญาเดิมเป็นข้อที่ประทับใจดิฉันเมื่อเราไตร่ตรองถึงหลักธรรมแห่งความรัก มีใครบ้างในบรรดาพวกเราที่ไม่ประทับใจกับความรักของยาโคบและราเชลของเรื่องความรักในไบเบิลดังที่เราอ่าน “ยาโคบก็รับใช้อยู่เจ็ดปีเพื่อได้ราเชล เห็นเป็นเหมือนน้อยวันเพราะเขารักเธอ”21 พี่น้องสตรี เรารักษาพันธสัญญาของเราด้วยความรักที่ล้ำลึกและอุทิศตนเช่นนี้หรือไม่
เหตุใดพระผู้ช่วยให้รอดทรงเต็มพระทัยรักษาพันธสัญญาของพระองค์กับพระบิดาและทรงทำพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้เกิดสัมฤทธิผลเพื่อชดใช้บาปของโลก นั่นคือความรักของพระองค์ต่อพระบิดาของพระองค์และความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อเรา เหตุใดพระบิดาจึงเต็มพระทัยที่จะยอมให้พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดและพระบุตรที่ดีพร้อมของพระองค์ทนทุกข์ต่อความเจ็บปวดเกินกว่าพรรณาได้เพื่อแบกรับบาป ความปวดร้าวใจ ความป่วยไข้ และความทุพลภาพ ของโลกและทุกสิ่งที่ไม่ยุติธรรมในชีวิตนี้ เราพบคำตอบในถ้อยคำเหล่านี้ “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์”22
“ถ้าเราสำนึกในพระกรุณาธิคุณต่อพรอันมากมายของเราอย่างเต็มที่ซึ่งเป็นของเราผ่านการไถ่ที่ทำเพื่อเรา ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงขอจากเราแล้วเราจะไม่กระตือรือร้นและเต็มใจทำ”23 จากคำพูดนี้ของประธานโจเซฟ ฟีลดิงก์ สมิธที่กล่าวว่า การรักษาพันธสัญญาเป็นวิธีหนึ่งที่จะแสดงความรักของเราต่อการชดใช้อันเป็นนิจที่เข้าใจไม่ได้ของพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่และความรักอันดีพร้อมของพระบิดาในสวรรค์ของเรา
เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์แนะนำอย่างประทับใจว่า “ข้าพเจ้าไม่แน่ใจว่าประสบการณ์ของเราจะเป็นอย่างไรในวันพิพากษา แต่ข้าพเจ้าจะแปลกใจมากถ้าในการสนทนานั้นพระผู้เป็นเจ้าจะไม่ทรงถามเราอย่างเดียวกับที่พระคริสต์ตรัสถามเปโตร ‘เจ้ารักเราไหม’”24 คืนนี้ดิฉันเชื้อเชิญให้เราแต่ละคนประเมินว่าเรารักพระผู้ช่วยให้รอดเพียงใด โดยวัดจากว่าเรามีความสุขเพียงใดในการรักษาพันธสัญญา พระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ใครที่มีบัญญัติของเราและประพฤติตามบัญญัติเหล่านั้น คนนั้นเป็นคนที่รักเราและคนที่รักเรานั้นพระบิดาจะทรงรักเขาและเราจะรักเขาและจะสำแดงตัวให้ปรากฏแก่เขา”25 เราทุกคนต้องการการมาปรากฏของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นประจำในชีวิตประจำวันของพวกเรามากเพียงไร
ขอให้เราจดจำว่าแม้ผู้ที่เคยออกนอกลู่นอกทางในอดีตหรือผู้ที่ประสบปัญหาที่จะรู้สึกถึงการสัมผัสจากพระหัตถ์ของพระเมษโปดกผู้ประเสริฐบนศีรษะของพวกเขาและได้ยินสุรเสียงของพระองค์กล่าวว่า “มาสิ เจ้าไม่ได้ถูกล่ามอีกต่อไป เจ้าเป็นอิสระแล้ว” พระผู้ช่วยให้รอดผู้ตรัสว่า “เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ”26 พระองค์ทรงพูดเช่นนั้นได้เพราะพระองค์ทรงรักษาพันธสัญญาของพระองค์ด้วยความรัก จากนั้นคำถามของเราคือ เราจะพูดเช่นนั้นได้ไหม ขอให้เรารุดหน้าด้วยศรัทธา จิตใจอันร่าเริง และด้วยความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จะเป็นผู้รักษาพันธสัญญา นี่จะเป็นวิธีที่เราแสดงความรักของเราที่มีต่อพระบิดาในสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดของเรา ทั้งสองพระองค์ที่ดิฉันเป็นพยานด้วยความรักยิ่ง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน