ได้รับการเรียกจากพระองค์ให้ประกาศพระวจนะของพระองค์
ถ้าท่านนอบน้อมถ่อมตน เชื่อฟัง และฟังสุรเสียงของพระวิญญาณ ท่านจะมีความสุขอันใหญ่ยิ่งในการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนา
เมื่อข้าพเจ้าได้รับการสนับสนุนให้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในอินเดีย ข้าพเจ้าสังเกตเห็นด้วยตนเองถึงสิ่งที่ประธานคณะเผยแผ่คนก่อนบอกกับข้าพเจ้า “ผู้สอนศาสนาของศาสนจักรนี้น่าประทับใจยิ่ง”1
ผู้สอนศาสนาที่โดดเด่นคนหนึ่งที่ข้าพเจ้ากับซิสเตอร์ฟังก์รับใช้ด้วยคือเอ็ลเดอร์โพเครลจากเนปาล หลังจากเป็นสมาชิกของศาสนจักรเพียงสองปี เขาได้รับเรียกให้รับใช้ในคณะเผยแผ่อินเดีย บังกาลอร์ คณะเผยแผ่ที่พูดภาษาอังกฤษ เขาจะบอกท่านว่าเขาไม่ได้รับการเตรียมตัวให้ดีพอ นั่นเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ เขาไม่เคยเห็นผู้สอนศาสนามาก่อนจนกระทั่งเขาได้เป็นผู้สอนศาสนาเพราะว่าไม่มีผู้สอนศาสนาหนุ่มสาวรับใช้ในเนปาล เขาอ่านภาษาอังกฤษได้ไม่ดีพอที่จะเข้าใจคำแนะนำที่อยู่ในการเรียกของเขา เมื่อเขารายงานตัวที่ศูนย์ฝึกอบรมผู้สอนศาสนา แทนที่จะนำกางเกงทรงสุภาพ เสื้อเชิ้ตสีขาว และเน็คไทไปด้วย เขาจัดกระเป๋า นี่คือคำพูดของเขา มี “กางเกงยีนห้าตัว เสื้อยืดสองสามตัว และเจลใส่ผมหลายขวด”2
แม้ว่าเขาได้รับเสื้อผ้าที่เหมาะสม เขากล่าวว่าเขารู้สึกว่าตนเองไม่ดีพอทุกวันระหว่างสองสามสัปดาห์แรก เขาอธิบายถึงช่วงเวลานั้นในคณะเผยแผ่ของเขาว่า “ไม่ใช่ภาษาอังกฤษที่ยากเท่านั้น แต่งานก็ท้าทายด้วย … เหนือสิ่งอื่นใดผมหิว เหนื่อย และคิดถึงบ้าน … ถึงแม้ว่าสถานการณ์จะยาก แต่ผมก็มุ่งมั่น ผมรู้สึกอ่อนแอและไม่ดีพอ ในช่วงเวลาเหล่านั้นผมจะสวดอ้อนวอนให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงช่วยผม โดยไม่ผิดหวัง ทุกครั้งที่ผมสวดอ้อนวอน ผมจะรู้สึกว่าได้รับการปลอบโยน”3
ถึงแม้ว่างานเผยแผ่จะเป็นเรื่องใหม่และท้าทายสำหรับเอ็ลเดอร์โพเครล เขารับใช้ด้วยศรัทธาอันยิ่งใหญ่และซื่อสัตย์ แสวงหาความเข้าใจและทำตามสิ่งที่เขาเรียนรู้จากพระคัมภีร์ สั่งสอนกิตติคุณของเรา และผู้นำคณะเผยแผ่ เขาเป็นครูผู้มีพลังแห่งพระกิตติคุณ—ในภาษาอังกฤษ—และเป็นผู้นำที่ยอดเยี่ยม หลังจากงานเผยแผ่และใช้เวลาอยู่ที่เนปาลสักระยะ เขากลับมาที่อินเดียเพื่อเรียนต่อ ตั้งแต่เดือนมกราคมเขารับใช้เป็นประธานสาขาในนิวเดลี เพราะการเติบโตที่แท้จริงที่เขาประสบขณะเป็นผู้สอนศาสนา เขายังคงมีส่วนช่วยต่อการเติบโตอย่างแท้จริงของศาสนจักรในอินเดีย
ชายหนุ่มคนหนึ่งผู้ที่ไม่เคยเห็นผู้สอนศาสนามาก่อนกลายเป็นคนที่มีความเข้มแข็งทางวิญญาณเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านจะได้รับพลังอำนาจทางวิญญาณในฐานะผู้สอนศาสนาเพื่อเปิดประตู กล่องข้อความ และจิตใจของผู้ที่อยู่ในคณะเผยแผ่ที่ท่านจะรับใช้ได้อย่างไร ตามปกติแล้ว คำตอบมีอยู่ในพระคัมภีร์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่
เมื่อมีการสั่งสอนพระกิตติคุณครั้งแรกในอังกฤษเมื่อเดือนกรกฎาคม 1837 พระเจ้าทรงเปิดเผยว่า “ผู้ใดก็ตามที่เจ้าจะส่งไปในนามของเรา, โดยเสียงของพี่น้องเจ้า, อัครสาวกสิบสอง, ที่เจ้ารับรองและให้สิทธิอำนาจอย่างถูกต้อง, จะมีอำนาจเปิดประตูแห่งอาณาจักรของเราให้ประชาชาติใดก็ได้ไม่ว่าที่ใดก็ตามที่เจ้าจะส่งพวกเขาไป” 4
ไม่ว่าท่านจะถูกส่งไปที่ใด ไปยังคณะเผยแผ่ใดที่ท่านได้รับมอบหมาย จงรู้ว่าสมาชิกคนหนึ่งของโควรัมอัครสาวกสิบสองเสนองานมอบหมายนั้นไว้อย่างเหมาะสมและท่านได้รับเรียกจากศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านได้รับเรียก “โดยการพยากรณ์, และโดยการวางมือ”5
พระเจ้าประทานเงื่อนไขสำหรับการทำให้คำสัญญานี้เกิดสัมฤทธิผล พระองค์ตรัสว่า “ตราบเท่าที่ [ซึ่งหมายถึงคำสัญญาที่จะทำให้เกิดสัมฤทธิผล ถ้า] พวกเขา [หมายถึงผู้สอนศาสนาผู้ที่ส่งไป] จะ [1] นอบน้อมถ่อมตนต่อหน้าเรา, และ [2] ยังอยู่ในคำของเรา, และ [3] สดับฟังเสียงพระวิญญาณของเรา.”6
คำสัญญาของพระเจ้าชัดเจน เพื่อที่จะมีพลังอำนาจทางวิญญาณอันจำเป็นต่อการเปิดประตูแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในประชาชาติที่ส่งท่านไป ท่านจะต้องนอบน้อมถ่อมตน เชื่อฟัง และมีความสามารถที่จะฟังและทำตามพระวิญญาณ
คุณลักษณะทั้งสามอย่างนี้มีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ถ้าท่านอ่อนน้อมถ่อมตน ท่านอยากจะเชื่อฟัง ถ้าท่านเชื่อฟัง ท่านจะรู้สึกถึงพระวิญญาณ พระวิญญาณเป็นส่วนสำคัญ เพราะดังที่ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันสอนไว้ “หากปราศจากพระวิญญาณแล้วท่านจะไม่ประสบความสำเร็จเลย ไม่ว่า ท่านจะมีพรสวรรค์และความสามารถมากเพียงใด”7
ในฐานะประธานคณะเผยแผ่ บางครั้งข้าพเจ้าสัมภาษณ์ผู้สอนศาสนาที่ประสบปัญหาเพราะพวกเขาไม่สะอาดอย่างเต็มที่ พวกเขาดำเนินชีวิตต่ำกว่าศักยภาพทางวิญญาณของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานหนักหรือทำงานดีเพียงใด พวกเขาไม่สามารถรู้สึกสงบและชื่นชมกับการเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์จนกระทั่งพวกเขาได้อ่อนน้อมถ่อมตน กลับใจอย่างหมดจด และรับส่วนของพระเมตตาและพระคุณของพระผู้ช่วยให้รอด
พระเจ้าทรงสอนผู้รับใช้ของพระองค์ให้อ่อนน้อมถ่อมตน เพราะขั้นตอนของการทำให้หายดีทางวิญญาณเริ่มต้นด้วยใจที่ชอกช้ำ ลองนึกถึงสิ่งดีที่มาจากสิ่งที่แตกหัก ดินต้องไถให้แตกก่อนหว่านเมล็ดข้าว ข้าวสาลีต้องนำมาบดเพื่อทำขนมปัง ต้องฉีกขนมปังเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของศีลระลึก เมื่อคนหนึ่งรับส่วนศีลระลึกอย่างกลับใจโดยมีใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด เขาหรือเธอจะได้รับการรักษาให้หาย8 เมื่อเรากลับใจและได้รับการรักษาให้หายผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ เราจะมีอะไรอีกมากที่จะถวายให้พระผู้ช่วยให้รอดขณะที่เรารับใช้พระองค์ “แท้จริงแล้ว จงมาหาพระองค์, และถวายทั้งจิตวิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์” 9
ถ้าท่านแบกรับภาระจากบาปและต้องการกลับใจ โปรดทำในทันที เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงเยียวยาผู้ที่เจ็บป่วย พระองค์มักเชื้อเชิญให้พวกเขาลุกขึ้น พระคัมภีร์บันทึกว่าพวกเขาทำทันทีหรือทันใด10 เพื่อจะได้รับการรักษาจากการเจ็บป่วยทางวิญญาณของท่าน โปรดยอมรับคำเชิญของพระองค์ให้ลุกขึ้น โดยไม่รีรอ จงไปพูดคุยกับอธิการ ประธานสาขา หรือประธานคณะเผยแผ่ของท่านและเริ่มกระบวนการกลับใจเดี๋ยวนี้
อำนาจการเยียวยาของการชดใช้จะนำสันติสุขมาสู่จิตวิญญาณท่านและช่วยให้ท่านรู้สึกถึงพระวิญญาณ การพลีพระชนม์ชีพของพระผู้ช่วยให้รอดเกินกว่าจะวัดได้ แต่บาปของเรา ถึงแม้จะมีมากมายและร้ายแรงเพียงไร จะถูกนับและสารภาพ ละทิ้งและได้รับการให้อภัย “และปีติของพระองค์ในจิตวิญญาณที่กลับใจใหญ่หลวงเพียงใดเล่า !” 11
คำสัญญานี้ที่อยู่ในหลักคำสอนและพันธสัญญานั้นทรงพลัง “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย, เมื่อนั้นความมั่นใจของท่านจะแข็งแกร่งขึ้นในการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า”12 ขณะที่ท่านดำเนินชีวิตอย่างมีคุณธรรม ท่านจะรู้สึกถึงความมั่นใจอย่างสันติสุขในการยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าและท่านจะมีพลังอำนาจของพระวิญญาณอยู่กับท่าน13
บางท่านที่เป็นสมาชิกใหม่ของศาสนจักรหรือผู้ที่เพิ่งกลับมาแข็งขันอย่างเต็มที่อาจกล่าวว่า “ตอนนี้ฉันมีค่าควรและมีความปรารถนาจะรับใช้ แต่ฉันไม่ทราบว่าฉันรู้มากพอไหม” ในเดือนเมษายน ประธานโธมัส เอส. มอนสันสอนเรา “ความรู้เรื่องความจริงและคำตอบของคำถามสำคัญที่สุดมาสู่เราเมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า”14 ช่างเป็นความมั่นใจเสียจริงที่รู้ว่าโดยผ่านการเชื่อฟังเราจะได้รับความรู้
คนอื่นๆ อาจรู้สึกว่าพวกเขามีพรสวรรค์ ความสามารถ หรือประสบการณ์ที่จำกัดที่จะให้ ถ้าท่านมีข้อกังวลเช่นนี้ จงระลึกถึงประสบการณ์ของเอ็ลเดอร์โพเครล จงเตรียมตัวให้ดีเท่าที่ท่านทำได้และรู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์จะทรงขยายความพยายามอันนอบน้อมถ่อมตนและเชื่อฟังของท่าน เอ็ลเดอร์ริชาร์ด จี. สก็อตต์ให้คำแนะนำที่ให้กำลังใจว่า “เมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติพระเจ้าและรับใช้บุตรธิดาของพระองค์โดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน ผลที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติคือพลังอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้า—ที่ให้เราทำได้มากกว่าความสามารถของตน วิจารณญาณ พรสวรรค์และความสามารถของเราขยายเพราะได้รับความเข้มแข็งและพลังอำนาจจากพระเจ้า” 15
ขณะที่ท่านวางใจในพระเจ้าและคุณความดีของพระองค์ พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะประทานพรลูกหลานของพระองค์ผ่านท่าน16 เอ็ลเดอร์โฮลลิงส์จากเนวาดาเรียนรู้สิ่งนั้นในตอนต้นของงานเผยแผ่ของเขา วันที่สองที่เขามาถึงอินเดีย เขาเดินทางไปกับข้าพเจ้าและซิสเตอร์ฟังก์ไปยังราชมนตรี เขตแรกของเขา บ่ายวันนั้นเอ็ลเดอร์โฮลลิงส์และเอ็ลเดอร์กรรณพระรามไปเยี่ยมสมาชิกศาสนจักรคนหนึ่งและคุณแม่ของเธอ คุณแม่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนจักรเพราะเธอเห็นว่าพระกิตติคุณเป็นพรแก่ชีวิตของลูกสาวเธออย่างไร ซิสเตอร์ฟังก์ไปกับพวกเขาเพื่อผูกมิตร เพราะบทเรียนจะต้องสอนในภาษาอังกฤษและคุณแม่พูดภาษาเทลูกู สมาชิกชายในสาขาอยู่ที่นั่นเพื่อแปลสิ่งที่สอน
งานมอบหมายของเอ็ลเดอร์โฮลลิงส์ในการนัดสอนครั้งแรกคือให้สอนนิมิตแรก โดยใช้ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ เมื่อถึงตอนนั้นในบทเรียนเขาหันไปหาซิสเตอร์ฟังก์และถามว่า “ผมควรพูดทุกคำไหม” เพราะรู้ว่าจะมีการแปล
เธอตอบว่า “พูดทุกคำเพื่อพระวิญญาณจะเป็นพยานในสิ่งที่คุณพูด”
เมื่อผู้สอนศาสนาคนใหม่สอนเรื่องนิมิตแรกอย่างจริงใจ โดยใช้ถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ สีหน้าของสตรีผู้เป็นที่รักเปลี่ยนแปลง น้ำตาปรากฏ ขณะที่เอ็ลเดอร์โฮลลิงส์จบข่าวสารอันงดงาม และก่อนที่จะแปลสิ่งที่เขาพูด เธอถามทั้งน้ำตาในภาษาถิ่นของเธอว่า “ขอฉันรับบัพติศมาได้ไหม และคุณจะสอนลูกชายของฉันไหม”
ผู้รับใช้ที่เป็นสหายหนุ่มของข้าพเจ้า ประตูและจิตใจเปิดขึ้นทุกวันต่อข่าวสารพระกิตติคุณ—ข่าวสารที่นำความหวัง สันติสุข และปีติมาสู่บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าทั่วโลก ถ้าท่านนอบน้อมถ่อมตน เชื่อฟัง และฟังสุรเสียงของพระวิญญาณ ท่านจะมีความสุขอันใหญ่ยิ่งในการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนา17 ช่างเป็นช่วงเวลาอันยอดเยี่ยมที่จะเป็นผู้สอนศาสนา—เวลาที่พระเจ้าทรงเร่งงานของพระองค์!
ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์และ “พระบัญชาจากสวรรค์”18 ของพระองค์ ให้ “จงออกไปและนำทุกชนชาติมาเป็นสาวกของเรา”19 นี่คือศาสนจักรของพระองค์ พระองค์ทรงนำผ่านศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกที่ยังมีชีวิตอยู่ ในชั่วโมงถัดไป ฝ่ายประธานสูงสุดจะสอนเรา ขอให้เรา “ช่างสังเกต”20 เหมือนกับมอรมอน เพื่อเมื่อการเรียกมาถึง เราจะมีค่าควรและสามารถประกาศด้วยพลังอำนาจของพระวิญญาณว่า “ดูเถิด, ข้าพเจ้าเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า. ข้าพเจ้าได้รับการเรียกจากพระองค์ให้ประกาศพระวจนะในบรรดาผู้คนของพระองค์, เพื่อพวกเขาจะมีชีวิตอันเป็นนิจ.”21 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน