ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเทพ
พระเจ้าทรงทราบความท้าทายที่ท่านเผชิญ ทรงรู้จักท่าน ทรงรักท่าน และข้าพเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงส่งเหล่าเทพมาช่วยเหลือท่าน
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเทพ และประสงค์จะแบ่งปันประสบการณ์ที่ข้าพเจ้ามีกับเหล่าเทพ ขณะแบ่งปัน ข้าพเจ้าหวังและสวดอ้อนวอนว่าเราจะรับรู้ความสำคัญของเหล่าเทพในชีวิตเรา
นี่เป็นคำพูดของเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์อาร์. ฮอลแลนด์จากการประชุมใหญ่สามัญเมื่อนานมาแล้ว: “เมื่อเราพูดถึงผู้ที่เป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้า เรารับรู้ว่าเทพทั้งปวงไม่ได้มาจากอีกด้านหนึ่งของม่านเท่านั้น เทพบางคนคือคนที่เราเดินด้วยและพูดคุยด้วย—ที่นี่ในปัจจุบันทุกๆ วัน เทพบางคนอาศัยอยู่ในละแวกเดียวกับเรา … แท้จริงแล้ว ดูราวกับว่าสวรรค์มิได้เคยอยู่ใกล้เรามากเท่ากับเวลาที่เราเห็นความรักของพระผู้เป็นเจ้าประจักษ์ชัดในความกรุณาและการอุทิศตนของผู้คนที่แสนดีและแสนบริสุทธิ์จนคำว่า ดุจดังเทพ คือคำๆ เดียวที่นึกขึ้นได้” (“การปฏิบัติของเหล่าเทพ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 38)
ข้าพเจ้าต้องการพูดเกี่ยวกับเหล่าเทพที่อยู่ด้านนี้ของม่าน เหล่าเทพที่เดินท่ามกลางเราในชีวิตประจำวันทำให้เรานึกถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมีต่อเรา
เทพสองคนแรกที่ข้าพเจ้าจะกล่าวถึงคือซิสเตอร์ผู้สอนศาสนาที่สอนพระกิตติคุณให้ข้าพเจ้าสมัยเป็นเยาวชนชาย ซิสเตอร์วิลมา โมลินา กับซิสเตอร์อิโวเนเต ริวิตตี มีคนชวนข้าพเจ้ากับน้องสาวไปร่วมกิจกรรมศาสนจักร เราพบเทพสองคนนี้ที่นั่น ข้าพเจ้าไม่คิดเลยว่ากิจกรรมที่เรียบง่ายนั้นจะเปลี่ยนชีวิตข้าพเจ้ามากเพียงใด
ตอนนั้นคุณพ่อคุณแม่กับน้องๆ ไม่สนใจจะเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับศาสนจักร พวกเขาไม่อยากให้ผู้สอนศาสนาอยู่ในบ้านเราด้วยซ้ำ ข้าพเจ้าจึงเรียนกับผู้สอนศาสนาในอาคารศาสนจักร ห้องเล็กๆ นั้นในโบสถ์กลายเป็น “ป่าศักดิ์สิทธิ์” ของข้าพเจ้า
หนึ่งเดือนหลังจากเทพทั้งสองแนะนำพระกิตติคุณ ข้าพเจ้าก็รับบัพติศมา ตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ 16 ปี น่าเสียดายที่ข้าพเจ้าไม่มีรูปภาพของเหตุการณ์ศักดิ์สิทธิ์นั้น แต่มีรูปน้องสาวกับข้าพเจ้าตอนเข้าร่วมกิจกรรม ข้าพเจ้าอาจต้องอธิบายว่าใครเป็นใครในรูปนี้ ข้าพเจ้าคือคนตัวสูงทางขวา
ท่านคงนึกภาพออก การคงความแข็งขันในศาสนจักรเป็นเรื่องท้าทายสำหรับวัยรุ่นที่เพิ่งเปลี่ยนวิถีชีวิตและครอบครัวไม่ได้เดินเส้นทางเดียวกัน
ขณะพยายามปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่ วัฒนธรรมใหม่ และเพื่อนใหม่ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกแยก ทั้งรู้สึกเหงาและท้อแท้หลายครั้ง ข้าพเจ้ารู้ว่าศาสนจักรนี้จริง แต่เป็นเรื่องยากที่ข้าพเจ้าจะรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง แม้ไม่สบายใจและไม่แน่ใจขณะพยายามปรับตัวเข้ากับศาสนาใหม่ แต่ก็พบความกล้าที่จะเข้าร่วมการประชุมใหญ่เยาวชนสามวัน ซึ่งข้าพเจ้าคิดว่าน่าจะช่วยให้ข้าพเจ้ามีเพื่อนใหม่ ตอนนั้นเองที่ข้าพเจ้าพบเทพอีกคนชื่อโมนิกา บรันดาโอ
เธอเพิ่งย้ายมาอยู่เขตนั้นจากเขตอื่นของบราซิล ข้าพเจ้าสนใจเธอทันทีและโชคดีที่เธอยอมรับข้าพเจ้าเป็นเพื่อน ข้าพเจ้าคิดว่าเธอมองข้าพเจ้าจากข้างในมากกว่าข้างนอก
เพราะเธอเป็นเพื่อนข้าพเจ้า เธอจึงแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนๆ ของเธอที่กลายมาเป็นเพื่อนข้าพเจ้าเมื่อข้าพเจ้าเข้าร่วมกิจกรรมเยาวชนหลายครั้งหลังจากนั้น กิจกรรมเหล่านั้นสำคัญยิ่งต่อการผสานกลมกลืนเข้ากับชีวิตใหม่นี้
เพื่อนดีๆ เหล่านี้ทำให้ชีวิตดีขึ้นมาก แต่การไม่มีพระกิตติคุณสอนในบ้านกับครอบครัวที่สนับสนุนยังคงทำให้กระบวนการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างต่อเนื่องอยู่ในเสี่ยงเหมือนเดิม ปฏิสัมพันธ์ทางพระกิตติคุณของข้าพเจ้าในศาสนจักรสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ต่อการเปลี่่ยนใจเลื่อมใสที่กำลังเติบโตของข้าพเจ้า แล้วก็มีเทพอีกสองคนที่พระเจ้าทรงส่งมาช่วย
คนหนึ่งคือลีดา เวตโตรี ครูเซมินารีช่วงเช้าตรู่ของข้าพเจ้า เธอให้ “พระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า” (โมโรไน 6:4) ทุกวันผ่านความรักที่ให้การยอมรับและชั้นเรียนที่สร้างแรงบันดาลใจซึ่งจำเป็นมากต่อข้าพเจ้าในแต่ละวัน สิ่งนี้ช่วยให้ข้าพเจ้ามีความเข้มแข็งทางวิญญาณในการดำเนินชีวิตต่อไป
เทพอีกคนที่ทรงส่งมาช่วยข้าพเจ้าคือประธานเยาวชนชาย มาร์โก อันโตนิโอ ฟัสโก เขาได้รับมอบหมายให้เป็นคู่สอนประจำบ้านรุ่นพี่ของข้าพเจ้าด้วย แม้ข้าพเจ้าจะขาดประสบการณ์และมีหน้าตาแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็ยังมอบหมายให้สอนในการประชุมโควรัมปุโรหิตและในการเยี่ยมสอนประจำบ้าน เขาให้โอกาสข้าพเจ้าลงมือทำและเรียนรู้ ไม่ใช่ให้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์พระกิตติคุณ เขาวางใจข้าพเจ้ามากกว่าข้าพเจ้าวางใจตนเอง
ขอบคุณเหล่าเทพทั้งหมดนี้ และอีกหลายคนที่ข้าพเจ้าพบในช่วงปีแรกๆ ที่สำคัญนั้น ข้าพเจ้าได้รับพลังมากพอที่จะอยู่บนเส้นทางพระกิตติคุณต่อไปขณะได้รับพยานทางวิญญาณของความจริง
อีกอย่าง เทพหญิงสาวคนนั้น โมนิกา? หลังจากเราทั้งคู่รับใช้งานเผยแผ่ เธอกลายเป็นภรรยาข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าไม่คิดว่าเป็นความบังเอิญที่เพื่อนดีๆ ความรับผิดชอบในศาสนจักร และการบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนั้น ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์สอนอย่างฉลาดว่า: “การเปลี่ยนแปลงอันเนื่องจากการเข้าร่วมศาสนจักรนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นหมายถึงการตัดสายสัมพันธ์เดิมๆ หมายถึงการทิ้งเพื่อน อาจหมายถึงการทิ้งความเชื่อที่ยึดถือ อาจเรียกร้องให้เปลี่ยนนิสัยและข่มความอยาก ในหลายกรณีหมายถึงความเหงา และกลัวแม้กระทั่งสิ่งที่ไม่รู้ จะต้องมีการบำรุงเลี้ยงและเสริมสร้างความเข้มแข็งในฤดูกาลที่ยากนี้ของชีวิตผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใส” (“There Must Be Messengers,” Ensign, Oct. 1987, 5)
ต่อมาท่านเสริมว่า “พวกเขาทุกคนต้องการสามอย่างคือ เพื่อน ความรับผิดชอบ และการบำรุงเลี้ยงด้วย ‘พระวจนะอันประเสริฐของพระผู้เป็นเจ้า’” (“Converts and Young Men,” Ensign, May 1997, 47)
เหตุใดข้าพเจ้าจึงแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้กับท่าน?
หนึ่ง เพื่อส่งข่าวสารถึงคนที่กำลังประสบกระบวนการคล้ายกันในเวลานี้ ท่านอาจเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ หรือกลับมาศาสนจักรหลังจากเตร็ดเตร่ไปพักหนึ่ง หรือเป็นคนที่กำลังพยายามปรับตัว ได้โปรด ได้โปรดอย่าเลิกพยายามเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวใหญ่นี้ นี่คือศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์!
ถ้าจะพูดถึงความสุขและความรอดของท่าน การพยายามต่อไปย่อมคุ้มค่าเสมอ การปรับวิถีชีวิตและประเพณีของท่านคุ้มค่าความพยายามเช่นกัน พระเจ้าทรงทราบความท้าทายที่ท่านเผชิญ ทรงรู้จักท่าน ทรงรักท่าน และข้าพเจ้าสัญญาว่าพระองค์จะทรงส่งเหล่าเทพมาช่วยเหลือท่าน
ในพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอด พระองค์ตรัสว่า: “เราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ใน [ใจ] เจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้’ (หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:88)
จุดประสงค์ที่สองที่ข้าพเจ้าแบ่งปันประสบการณ์เหล่านี้คือเพื่อส่งข่าวสารถึงสมาชิกทุกคนของศาสนจักร—ถึงเราทุกคน เราควรจำไว้ว่าการเข้ามาส่วนหนึ่งทันทีไม่ง่ายสำหรับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ เพื่อนที่กลับมา และคนที่มีวิถีชีวิตแตกต่าง พระเจ้าทรงทราบความท้าทายที่พวกเขาเผชิญ และทรงกำลังมองหาเหล่าเทพที่เต็มใจช่วยเหลือ พระเจ้าทรงกำลังมองหาอาสาสมัครที่เต็มใจเป็นเทพในชีวิตผู้อื่น
พี่น้องทั้งหลาย ท่านเต็มใจจะเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระเจ้าหรือไม่? ท่านเต็มใจจะเป็นหนึ่งในเทพเหล่านี้หรือไม่? ท่านเต็มใจจะเป็นทูตที่พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งมาจากด้านนี้ของม่านเพื่อช่วยคนที่พระองค์ทรงห่วงใยหรือไม่? พระองค์ทรงต้องการท่าน พวกเขาต้องการท่าน
แน่นอนว่าเราพึ่งผู้สอนศาสนาได้เสมอ พวกเขาอยู่ที่นั่นตลอดเวลา เป็นคนแรกๆ ที่รับทำงานนี้ของเทพ แต่พวกเขามีไม่มากพอ
ถ้าท่านกวาดสายตาดูให้ดีท่านจะพบคนมากมายที่ต้องการความช่วยเหลือของเทพ คนเหล่านี้อาจไม่ได้สวมเสื้อเชิ้ตขาว ชุดกระโปรง หรือชุดมาตรฐานวันอาทิตย์ พวกเขาอาจนั่งหลังห้องนมัสการหรือหลังห้องเรียนคนเดียว บางครั้งรู้สึกประหนึ่งว่าไม่มีตัวตน ทรงผมของพวกเขาอาจสุดโต่งไปสักนิดหรือใช้ศัพท์แตกต่างจากเรา แต่พวกเขาอยู่ที่นั่นและกำลังพยายาม
บางคนอาจกำลังสงสัยว่า “ฉันควรจะกลับมาอีกหรือไม่? ฉันควรพยายามต่อไปไหม?” ส่วนคนอื่นอาจสงสัยว่าสักวันจะรู้สึกได้รับการยอมรับและความรักหรือไม่ เวลานี้เราต้องมีเหล่าเทพ เหล่าเทพที่เต็มใจออกจากมุมสบายเพื่อโอบกอดคนเหล่านั้น “[ผู้คนที่] แสนดีและแสนบริสุทธิ์จนคำว่า ดุจดังเทพ คือคำๆ เดียวที่นึกขึ้นได้ [เมื่อพูดถึงพวกเขา” (Jeffrey R. Holland, “The Ministry of Angels,” 30)
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อเรื่องเทพ! เราทุกคนที่นี่วันนี้เป็นกองทัพมหึมาของเหล่าเทพที่สงวนไว้สำหรับยุคสุดท้ายนี้เพื่อปฏิบัติศาสนกิจต่อผู้อื่นอันเป็นการขยายพระหัตถ์ของพระผู้สร้างที่เปี่ยมด้วยความรักให้แผ่ออกไป ข้าพเจ้าสัญญาว่าถ้าเราเต็มใจรับใช้ พระเจ้าจะประทานโอกาสให้เราเป็นเทพผู้ปฏิบัติศาสนกิจ พระองค์ทรงทราบว่าใครต้องการความช่วยเหลือจากเทพ และจะทรงวางคนเหล่านั้นไว้ในเส้นทางของเรา พระเจ้าทรงวางคนที่ต้องการความช่วยเหลือจากเทพไว้บนเส้นทางของเราทุกวัน
ข้าพเจ้าสำนึกคุณเช่นกันต่อเหล่าเทพมากมายที่พระเจ้าทรงวางไว้ในเส้นทางข้าพเจ้าตลอดชีวิต เราต้องการเทพเหล่านั้น ข้าพเจ้าสำนึกคุณเช่นกันต่อพระกิตติคุณที่ช่วยให้เราเปลี่ยนและเปิดโอกาสให้เราเป็นคนดีขึ้น
นี่คือพระกิตติคุณแห่งความรัก พระกิตติคุณแห่งการปฏิบัติศาสนกิจ ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงสิ่งนี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน