ท่านยังเต็มใจหรือไม่?
ความเต็มใจของเราในการติดตามพระเยซูคริสต์เป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนเวลาที่เราอุทิศให้กับการอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์
วันอาทิตย์วันหนึ่งขณะข้าพเจ้าเตรียมรับส่วนศีลระลึกหลังจากทำงานมอบหมายการประชุมใหญ่สเตคมาหลายสัปดาห์ บางอย่างที่น่าสนใจและทรงพลังเข้ามาในความคิดข้าพเจ้า
ขณะปุโรหิตเริ่มสวดให้พรขนมปัง คำสวดที่ข้าพเจ้าได้ยินมามากมายหลายครั้งกระตุ้นความคิดและจิตใจข้าพเจ้าอย่างมาก “และ เป็นพยานต่อพระองค์, ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, ว่า พวกเขาเต็มใจ รับพระนามของพระบุตรของพระองค์, และ ระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา และ รักษาพระบัญญัติของพระองค์ ซึ่งพระองค์ประทานให้พวกเขา; เพื่อพวกเขา จะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับพวกเขาตลอดเวลา”1 เราเป็นพยานต่อพระผู้เป็นเจ้ามาแล้วกี่ครั้งว่าเราเต็มใจ?
ขณะไตร่ตรองความสำคัญของคำศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ คำว่า เต็มใจ ประทับใจข้าพเจ้าอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ประสบการณ์ศักดิ์สิทธิ์และดีงามมากมายที่ถาโถมเข้ามาทำให้ความคิดและจิตใจข้าพเจ้าเปี่ยมด้วยความรักและความสำนึกคุณต่อการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและบทบาทอันสำคัญยิ่งของพระองค์ในแผนแห่งการไถ่ของพระบิดาสำหรับข้าพเจ้าและครอบครัว จากนั้นข้าพเจ้าได้ยินและรู้สึกถึงคำสวดอ้อนวอนให้พรน้ำที่ทะลวงจิตใจ: “เพื่อพวกเขาจะเป็นพยานต่อพระองค์ … ว่าพวกเขาระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลา”2 ข้าพเจ้าเข้าใจชัดเจนทันทีว่าการรักษาพันธสัญญาต้องเป็นมากกว่าเจตนาดี
การรับส่วนศีลระลึกไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาที่บอกเป็นนัยถึงความเห็นด้วยของเราเท่านั้น แต่เป็นเครื่องเตือนใจอันทรงพลังถึงความเป็นจริงของการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระคริสต์และความจำเป็นของการระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ การเต็มใจจดจ่ออยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะเป็นข่าวสารสำคัญของพระคัมภีร์สองข้อที่มีการอ้างถึงบ่อยที่สุดในศาสนจักร: คำสวดอ้อนวอนศีลระลึก การเข้าใจความจริงของสิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์เต็มพระทัยมอบให้เราแต่ละคนผ่านพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ควรเป็นเหตุให้เราพยายามเต็มใจจนถึงที่สุดเสมอเพื่อเป็นการตอบแทน
รากฐานทางวิญญาณของเราตั้งมั่นบนพระเยซูคริสต์หรือไม่?
หากรากฐานทางวิญญาณของเราตื้นเขินหรือผิวเผิน เราอาจมีแนวโน้มที่จะวางความเต็มใจของเราไว้บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ทางสังคมหรือดัชนีความไม่สะดวกส่วนตัว และหากเรายอมรับคำกล่าวขานที่ว่าศาสนจักรประกอบด้วยนโยบายทางสังคมที่ล้าสมัยหรือไม่ถูกต้องทางการเมือง ข้อจำกัดส่วนตัวที่เกินความเป็นจริง และข้อผูกมัดด้านเวลา เมื่อนั้นข้อสรุปของเราเรื่องความเต็มใจคงมีช่องโหว่ เราไม่ควรคาดหวังให้หลักธรรมเรื่องความเต็มใจติดกระแสเป็นที่นิยมด้วยผู้มีอิทธิพลทางโซเชียลมีเดียหรือแฟน TikTok หลักเกณฑ์ของมนุษย์มักไม่สอดคล้องกับความจริงของพระเจ้า
ศาสนจักรเป็นสถานที่รวมคนไม่ดีพร้อมที่รักพระผู้เป็นเจ้าและเต็มใจทำตามพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ความเต็มใจนั้นหยั่งรากในความเป็นจริงที่ว่าพระเยซูคือพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เราจะรู้ความจริงอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ความเต็มใจของเราจึงเป็นสัดส่วนโดยตรงกับจำนวนเวลาที่เราอุทิศให้กับการอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เราจะใช้เวลามากขึ้นกับการสนทนาที่มีความหมายเพื่อทูลข้อกังวลของเรากับพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงรักเรา และใช้เวลาน้อยลงกับการแสวงหาความคิดเห็นจากเสียงอื่น เราควรเลือกเปลี่ยนฟีดข่าวประจำวันของเรามาเป็นพระวจนะของพระคริสต์ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์และถ้อยคำของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต
ความสำคัญที่เราให้แก่การถือปฏิบัติวันสะบาโต การจ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์ การถือใบรับรองพระวิหารที่เป็นปัจจุบัน การเข้าพระวิหาร และการให้เกียรติพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของพระวิหาร ล้วนเป็นตัวบ่งชี้ความเต็มใจของเราและเป็นหลักฐานยืนยันการผูกมัดตนของเรา เราเต็มใจทุ่มเทมากกว่าแค่ความพยายามเพียงผิวเผินให้กับการเสริมสร้างศรัทธาของเราในพระคริสต์หรือไม่?
พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักเราอย่างสมบูรณ์ แต่ความรักนั้นมาพร้อมกับความคาดหวังอย่างมาก ทรงคาดหวังให้เราเต็มใจให้พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิต พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมของการเต็มใจยอมเชื่อฟังพระบิดาในทุกสิ่ง ทรงเป็น “ทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต”3 พระองค์เต็มพระทัยชดใช้บาปของเรา พระองค์เต็มพระทัยทำให้ภาระของเราเบาลง บรรเทาความกลัว ให้ความเข้มแข็ง นำสันติสุขและความเข้าใจมาสู่ใจเราในยามท้อใจและโศกเศร้า
ทว่าศรัทธาในพระเยซูคริสต์คือการเลือก “หาก [เรา] ทำไม่ได้มากไปกว่าปรารถนาที่จะเชื่อ”4ในพระวจนะของพระองค์ เรามีจุดเริ่มต้นให้เริ่มหรือตั้งต้นใหม่ในการเดินทางแห่งศรัทธา พระวจนะของพระองค์นั้น หากปลูกในใจเราเหมือนเมล็ดพืชและบำรุงเลี้ยงอย่างดี ย่อมออกรากและศรัทธาของเราจะเติบโตเป็นความเชื่อมั่นและกลายเป็นหลักธรรมแห่งการปฏิบัติและพลังอำนาจ พระคัมภีร์มอรมอนเป็นแหล่งช่วยที่ทรงพลังที่สุดในการพัฒนาและฟื้นฟูศรัทธา ความเต็มใจคือตัวเร่งศรัทธา
ตามแผนของพระองค์แล้ว ความเป็นมรรตัยไม่ง่ายและน่าหนักใจบางครั้ง แต่ “[เรา] เป็นอยู่, เพื่อ [เรา] จะมีปีติ”!5 การจดจ่ออยู่กับพระผู้ช่วยให้รอดและพันธสัญญาของเราทำให้เกิดปีติยั่งยืน! จุดประสงค์ของความเป็นมรรตัยคือพิสูจน์ความเต็มใจของเรา “ภารกิจสำคัญของชีวิต [และต้นทุนของการเป็นสานุศิษย์] คือเรียนรู้พระประสงค์ของพระเจ้าแล้วทำตามนั้น”6 การเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงนำไปสู่ความบริบูรณ์แห่งปีติ เราเต็มใจจ่ายราคาของการเป็นสานุศิษย์หรือไม่?
เส้นทางพันธสัญญาไม่ใช่รายการสิ่งที่ต้องทำ แต่คือกระบวนการเติบโตทางวิญญาณและการผูกมัดตนลึกซึ้งต่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์ จุดประสงค์หลักของทุกๆ พระบัญญัติ หลักธรรม พันธสัญญา และศาสนพิธีก็คือสร้างศรัทธาและวางใจในพระคริสต์ ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องมุ่งมั่นทำให้พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตเราอยู่เสมอ—ไม่ใช่ตามเงื่อนไข ตามสถานการณ์ หรือแบบผิวเผิน เราจะใช้วันหยุดพักร้อนหรือเวลาส่วนตัวพักจากการเต็มใจ “ยืนเป็นพยานเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าทุกเวลาและในทุกสิ่ง, และในทุกแห่ง”7ไม่ได้ การเป็นสานุศิษย์ไม่ได้ราคาถูก เพราะความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีค่าสุดประมาณ
พระเจ้าทรงนึกถึงสมัยของเราแน่นอนเมื่อทรงสอนอุปมาเรื่องหญิงพรหมจารีสิบคน พระองค์ตรัสถึงห้าคนที่ฉลาดว่า พวกเธอ “รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นผู้นำทางของพวกเขา, และไม่ถูกหลอก”8 ขณะที่ตะเกียงของคนโง่ “จวนดับ” เพราะขาดน้ำมัน9 บางทีถ้อยคำของนีไฟอาจจะพูดถึงสมาชิกศาสนจักรที่เคยซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ดีที่สุด: “และคนอื่นนั้นเขาจะปลอบโยน, และกล่อมพวกเขาไปในความมั่นคงทางเนื้อหนัง, จนพวกเขาจะกล่าวว่า: ทุกอย่างดีในไซอัน”10
ความมั่นคงทางเนื้อหนังคือการแสวงหาและไว้วางใจในสิ่งทางโลกแทนพระคริสต์—พูดอีกอย่างคือ มองผ่านเลนส์ทางโลกแทนเลนส์ทางวิญญาณ พระวิญญาณบริสุทธิ์ประทานความสามารถให้เราเห็น “เรื่องดังที่มันเป็นจริง, และ … ดังที่มันจะเป็นจริง”11 “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ [เท่านั้นที่เรา] จะรู้ความจริงของทุกเรื่อง”12 และไม่ถูกหลอก ที่เราให้พระคริสต์ทรงเป็นศูนย์กลางของชีวิตและให้คำมั่นว่าจะเต็มใจเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ไม่ใช่เพราะเราตาบอดแต่เพราะเรามองเห็น13
แล้วหญิงพรหมจารีโง่เล่า? ทำไมพวกเธอไม่เต็มใจถือขวดน้ำมันทางวิญญาณ? พวกเธอแค่ผัดวันประกันพรุ่งหรือ? พวกเธออาจจะประมาทเกินไปเพราะไม่สะดวกหรือดูเหมือนไม่จำเป็น ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม พวกเธอถูกหลอกเรื่องบทบาทสำคัญยิ่งของพระคริสต์ นี่เป็นการหลอกลวงขั้นพื้นฐานของซาตาน และเป็นสาเหตุที่ตะเกียงแห่งประจักษ์พยานของพวกเธอจวนดับเพราะขาดน้ำมันทางวิญญาณ อุปมานี้เป็นอุปลักษณ์สำหรับสมัยเรา หลายคนทิ้งพระผู้ช่วยให้รอดและพันธสัญญาไปนานก่อนที่จะออกจากศาสนจักร
เราอยู่ในยุคสมัยที่ไม่เคยมีมาก่อนซึ่งพยากรณ์ไว้โดยศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณ ยุคที่ซาตานลุกลาม “ในใจลูกหลานมนุษย์, และปลุกปั่นพวกเขาให้โกรธสิ่งที่ดี”14 พวกเราจำนวนมากอยู่ในโลกออนไลน์ที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและข้อความที่มุ่งร้ายต่ออัตลักษณ์อันสูงส่งและความเชื่อในพระคริสต์
อิทธิพลอันทรงพลังที่สุดทางวิญญาณในชีวิตเด็กคือแบบอย่างอันชอบธรรมของพ่อแม่ปู่ย่าตายายที่รักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ของตนอย่างซื่อสัตย์ พ่อแม่ที่รอบคอบจะสอนลูกๆ ให้มีศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เพื่อให้ลูกๆ “รู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา”15 การรักษาพันธสัญญาเพียงผิวเผินและไม่สม่ำเสมอนำไปสู่มหันตภัยทางวิญญาณ ความเสียหายทางวิญญาณมักเกิดกับลูกหลานของเรามากที่สุด พ่อแม่ปู่ย่าตายายทั้งหลาย ท่านยังเต็มใจหรือไม่?
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเตือนว่า “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน”16 คำเตือนที่ชัดเจนและไม่ผิดพลาดคือให้เราตกแต่งตะเกียงและเพิ่มน้ำมันสำรองทางวิญญาณ เรายังเต็มใจทำตามศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่? ระดับน้ำมันในตะเกียงของท่านอยู่ตรงไหน? การเปลี่ยนแปลงใดในชีวิตท่านจะช่วยให้ท่านมีอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ตลอดเวลามากขึ้น?
ในปัจจุบัน เช่นเดียวกับในสมัยพระเยซู จะมีคนหันหลังกลับ ไม่เต็มใจยอมรับราคาของการเป็นสานุศิษย์ ขณะที่คำวิจารณ์ศาสนจักรของพระผู้ช่วยให้รอดและคนที่ติดตามพระองค์เพิ่มระดับความรุนแรงและความเกลียดชังมากขึ้นเรื่อยๆ การเป็นสานุศิษย์ของเราจะเรียกร้องให้เราเต็มใจปรับกระดูกสันหลังทางวิญญาณให้ตรงและเสริมให้แข็งแรงขึ้น และไม่ใส่ใจคำวิจารณ์เหล่านั้น17
หากรากฐานทางวิญญาณของเราตั้งมั่นบนพระเยซูคริสต์ เราจะไม่ล้ม และเราไม่ต้องกลัว
“ดูเถิด, พระเจ้าทรงเรียกร้องใจและความคิดที่เต็มใจ; และคนเต็มใจและคนเชื่อฟังจะกินสิ่งดีของแผ่นดินแห่งไซอันในวันเวลาสุดท้ายนี้”18
ขอให้เราเต็มใจเสมอ ในพระนามแห่งอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ เอเมน